หนานกงมั่วหันไปมองหญิงสาวที่สวมอาภรณ์สีขาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจ พยักหน้าตอบ “ข้าคือหนานกงมั่ว”
เซี่ยเพ่ยเหวินยิ้มเยาะ “หากมิใช่หญิงสาวชาวบ้านที่ไร้ความรู้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันว่าเซี่ยเพ่ยหวนนั้นมีดวงกินสามี ยังกล้ามาเข้าใกล้นางอีก หรือว่าเจ้าเองก็อยากจะรีบให้เว่ยจวินมั่วตายเร็วๆ แล้วตัวเองก็มาไว้ทุกข์อย่างนั้นหรือ”
กึก! ใบหน้าของเซี่ยเพ่ยหวนราวกับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง “เด็กๆ เอาพี่รองออกไปให้ฮูหยินรองจัดการเดี๋ยวนี้”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินคำสั่งเซี่ยเพ่ยหวน รีบเดินเข้ามาพาเซี่ยเพ่ยเหวินออกไป เซี่ยเพ่ยเหวินผลักมือสาวใช้ออก ยิ้มเย็น “เซี่ยเพ่ยหวน นอกจากที่เจ้าเอาเชื้อสายหลักของเจ้ามากดขี่ข้า แล้วเรายังมีสิ่งใดต่างกันขนาดนั้นเชียว ผู้หญิงที่เป็นตัวอัปมงคลเช่นเจ้า หากมิใช่เพราะเป็นคุณหนูเชื้อสายหลักของตระกูลเซี่ยคงถูกจับไปขังกรงแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากเด็กที่มาจากชนบทนี่แล้ว มีคุณหนูตระกูลไหนกล้ามาเป็นเพื่อนกับเจ้าอีกงั้นหรือ”
“คุณหนูรอง” สาวรับใช้ของเซี่ยเพ่ยเหวินเมื่อมาถึงก็ได้ยินวาจาของนาง สีหน้าพลันซีดเซียวขึ้นทันใด อยากเข้ามาจับเซี่ยเพ่ยเหวินเอาไว้ ทว่ากลับถูกนางผลักออกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เซี่ยเพ่ยเหวินนั้นควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว พุ่งเข้ามาหาเซี่ยเพ่ยหวนที่นั่งอยู่ในศาลา ยกมือคิดจะตบหน้าของนาง
มือหนึ่งยื่นมาจับมือของเซี่ยเพ่ยเหวินที่กำลังพุ่งเข้าหาใบหน้าเซี่ยเพ่ยหวนไว้อย่างเบามือ หนานกงมั่วยืนอยู่อีกฝั่งมองเซี่ยเพ่ยเหวินอย่างสนอกสนใจ เอ่ยถาม “เจ้าลืมกินยาหรือเจ้ากินยาเกินขนาดไปอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเอ่ยบ้าอันใดของเจ้า หลบไป มิใช่เรื่องของเจ้า” เซี่ยเพ่ยเหวินกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด
น่าเสียดาย แม้มือของหนานกงมั่วจะดูบอบบางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทว่าไม่ว่านางจะออกแรงเพียงใดก็สู้มิได้เลยแม้แต่น้อย หนานกงมั่วค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างยืดยาด “ในเมื่อรู้ว่าต้องโดนทำโทษ ยังกล้าวิ่งแจ้นมาก่อเรื่องที่นี่ เจ้ามิใช่ว่าควรต้องกินยาแล้วหรอกหรือ”
เซี่ยเพ่ยเหวินยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจ “ทำโทษงั้นหรือ จะทำอะไรข้าได้อีก ฆ่าข้าหรือ”
หนานกงมั่วยักไหล่ ดูเหมือนกลับมาครั้งนี้เซี่ยเพ่ยเหวินจะถูกทำโทษมิเบา ถึงขั้นมิสนใจอันใดทั้งสิ้นเช่นในตอนนี้ แต่นางดูหมิ่นการทำโทษของคนที่ฝ่าฝืนกฎครอบครัวไปแล้ว หากฝ่าฝืนกฎจนถึงขั้นสุด บทลงโทษนั้นก็ราวกับตายทั้งเป็น
“ยังมิพาคุณหนูรองออกไปอีก” ที่ด้านข้าง เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยขึ้นเสียงเย็น สาวใช้จึงได้สติกลับมา รีบเข้ามาล็อกตัวเซี่ยเพ่ยเหวินเอาไว้เตรียมพาออกจากศาลาไป มองเซี่ยเพ่ยเหวินที่ต่อต้านมิหยุด เซี่ยเพ่ยหวนจึงเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “พี่รอง ท่านคิดว่าทุกอย่างคือเรื่องของท่าน เมื่อครั้งนั้นท่านเคยร่วมมือกับคนนอกล่อลวงข้าก็ควรนึกถึงผลที่จะตามมาเมื่อมันมิสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านต้องโง่ถึงเพียงใดถึงได้เชื่อคำสัญญาของเขา หากแผนการของท่านสำเร็จแล้ว ท่านคิดว่า…มันยังจะมีเรื่องของท่านอยู่อีกหรือ”
เซี่ยเพ่ยเหวินชะงัก มินานก็ตะโกนออกมา “เป็นไปมิได้ เขามิมีทางหลอกลวงข้า เซี่ยเพ่ยหวน เป็นเพราะเจ้า…ไยเจ้าต้องเป็นศัตรูกับข้าทุกเรื่อง เจ้าอยากให้ข้าถูกขังไว้ที่หอบรรพบุรุษไปชั่วชีวิตออกมามิได้ใช่หรือไม่”
เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยตอบกลับ “ท่านแม่บอกแล้ว เพียงจนกว่าท่านจะออกเรือนเพียงเท่านั้น”
“พวกเจ้าคิดทำลายชะตาคู่ครองของข้า เซี่ยเพ่ยหวน เจ้าริษยาข้า เจ้ายอมรับสิ ว่าเจ้าริษยาข้า…เจ้าริษยาข้า เพราะชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็มิมีวันได้แต่งงานออกเรือนเป็นแน่”
“บังอาจ” เซี่ยฮูหยินน้อยที่รีบวิ่งมาได้ยินประโยคนั้นเข้า โกรธจนใบหน้าเปลี่ยนสี สูดหายใจอย่างแรง เอ่ยเสียงดังลั่น “ทำอันใดกันอยู่ ยังมิพานางออกไปอีก ขายหน้าต่อหน้าแขกเสียแล้ว”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย” เห็นได้ชัดว่าเซี่ยฮูหยินน้อยนั้นมีอำนาจต่อบ่าวรับใช้อยู่ไม่น้อย เมื่อนางเอ่ยปากบรรดาสาวใช้จึงรีบรุดเข้ามาโดยไว ชั่วพริบตาเซี่ยเพ่ยเหวินก็ถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้ เซี่ยฮูหยินน้อยขมวดคิ้ว มองเซี่ยเพ่ยเหวินที่คิดจะตะโกนโวยวายออกมาอีกอย่างรังเกียจ “อุดปากนาง พาออกไป”
“ต้องขออภัยด้วย น่าละอายต่อหน้าน้องสาวแล้ว” มองเซี่ยเพ่ยเหวินถูกนำตัวออกไป เซี่ยฮูหยินน้อยก็เดินเข้ามาในศาลา กล่าวอย่างละอายใจ
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่ซูกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้น”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยฮูหยินน้อยยกขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณน้องสาวมาก ท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปข้างนอก เพราะข้าดูแลมิรอบคอบจึงทำให้นางออกมา ทำให้น้องสาวและน้องสามต้องตกใจแล้ว น้องสาวมิโทษข้าก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว”
“คารวะฮูหยินน้อย คุณหนูสาม คุณหนูหนานกง” สาวใช้คนหนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามา เมื่อมองเห็นทั้งสามจึงย่อตัวทำความเคารพ เมื่อเซี่ยฮูหยินน้อยเห็นว่าเป็นสาวรับใช้เคียงกายนายหญิงใหญ่เซี่ยจึงรีบเอ่ยถาม “นายหญิงใหญ่มีอันใดหรือ”
สาวใช้คนนั้นมองหนานกงมั่วเล็กน้อย เอ่ยตอบ “รายงานฮูหยินน้อย องค์หญิงฉังผิงเชิญคุณหนูหนานกงเจ้าค่ะ”
เมื่อเซี่ยฮูหยินน้อยและเซี่ยเพ่ยหวนได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับหนานกงมั่ว เซี่ยฮูหยินน้อยผลักหลังหนานกงมั่วเบาๆ เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวรีบไปเถิด อย่าให้องค์หญิงฉังผิงต้องรอนาน” นานหลายปีแล้วที่องค์หญิงฉังผิงไม่ออกมาปรากฏตัว ครั้งนี้ออกมา ซ้ำยังมาที่จวนตระกูลเซี่ยเพื่อมาเจอกับว่าที่ลูกสะใภ้ จะทำเพียงเจอหน้ากันเล็กน้อย ไม่พูดคุยสักประโยคสองประโยคได้เยี่ยงไรเล่า
หนานกงมั่วลอบถอนหายใจอยู่ภายใน พยักหน้าตอบเซี่ยเพ่ยหวนและเซี่ยฮูหยินน้อยแล้วตามสาวใช้ไป
ยังคงอยู่ที่เรือนของนายหญิงใหญ่เซี่ยอยู่ เพียงแต่เมื่อหนานกงมั่วเดินเข้าไปมีเพียงองค์หญิงฉังผิงผู้เดียวที่นั่งอยู่ด้านใน ตระกูลเซียวโดยเฉพาะผู้ที่เป็นองค์ชายองค์หญิงต่างมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทว่าเยี่ยนอ๋องและพี่น้องนั้นกลับเกิดมาหน้าตาดีเป็นที่สุด เยี่ยนอ๋องนั้นสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาน่าเกรงขาม องค์หญิงฉังผิงกลับดูบอบบางอ่อนหวาน ใบหน้างดงาม มององค์หญิงฉังผิงที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเว่ยจวินมั่วอยู่หลายส่วน หนานกงมั่วคิดว่าหากเว่ยจวินมั่วอ่อนหวานเยี่ยงองค์หญิงฉังผิงเล่า… มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“คุณหนูหนานกง”
“ถวายพระพรองค์หญิงฉังผิงเพคะ” หนานกงมั่วถอนสายบัว เอ่ยถวายพระพรอย่างมีมารยาท องค์หญิงฉังผิงยื่นมือออกมาประคองนางเอาไว้ มองสำรวจหนานกงมั่ว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จวินเอ๋อร์บอกว่าจื้อของเจ้าคืออู๋สยางั้นหรือ ข้าเรียกเจ้าว่าอู๋สยาดีหรือไม่”
หนานกงมั่วพยักหน้ายิ้ม “ตามที่องค์หญิงพอพระทัยเพคะ”
“นั่งลงคุยกันก่อน” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยบอก
หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ภายใน นางมิค่อยชอบใจต่อการพูดคุยกับเชื้อพระวงศ์ แม้ว่าในภพนี้นางจะรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาสูงส่งอยู่บ้าง มิต้องคุกเข่าให้ใครมากนัก แต่นางก็มิใช่คนที่จะชอบคุกเข่าให้ใครอยู่ดี โชคดีที่องค์หญิงฉังผิงผู้นี้ดูมิถือยศถือศักดิ์เท่าใดนัก มิเช่นนั้นหากนางต้องคุกเข่าแล้วคุกเข่าอีกก็คงต้องตายเป็นแน่
เมื่อนั่งลงด้านข้างองค์หญิงฉังผังอย่างว่าง่ายแล้ว หนานกงมั่วหลุบตาลง เฝ้ารอองค์หญิงฉังผิงเอ่ยสิ่งใดออกมาก่อน เนิ่นนานถึงได้ยินองค์หญิงฉังผิงเอ่ยถามออกมา “อู๋สยาคิดว่าจวินมั่วเป็นเช่นไร” หนานกงมั่วขยับมุมปาก เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา “ซื่อจื่อเป็นคนดีเพคะ” องค์หญิงฉังผิงยิ้มบางๆ ผู้เป็นมารดาชอบที่สุดคือการที่ผู้อื่นชื่นชมบุตรของตน ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเพียงชื่นชมเพื่อเอาใจ
“จวินเอ๋อร์เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เป็นข้าที่…ทำร้ายเขา…” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเบา มินานพลันรู้ตัวว่าเอ่ยสิ่งมิควรต่อหน้าหนานกงมั่ว องค์หญิงฉังผิงกักเก็บความทุกข์ใจบนใบหน้า กุมมือหนานกงมั่วเอาไว้ เอ่ยต่อว่า “ได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ข้าก็วางใจ เจ้าวางใจได้ จวินเอ๋อร์เป็นคนมีความพอดี จะมิทำให้เจ้าต้องเสียใจเป็นแน่ หากเขามีสิ่งใดมิดี เจ้าบอกกับข้า ข้าจะสั่งสอนเขาแทนเจ้าเอง”