มุมปากหนานกงมั่วยกยิ้มหยัน ราวกับมองไม่เห็นรอยยิ้มใจดีที่เจิ้งซื่อรีบแสดงออกมา เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจัดการเองได้เจ้าค่ะ”
นี่นับเป็นการปฏิเสธแล้ว หนานกงไหวก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เงียบไปชั่วครู่ “เจ้ามีแผนในใจแล้วก็พอ” บุตรีแสดงออกว่าต่อต้านเจิ้งซื่ออย่างเห็นได้ชัด หนานกงไหวเองมิใช่คนโง่ ยิ่งบีบบังคับยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวายมากยิ่งขึ้น สุดท้ายเมื่อขายหน้าก็คือจวนฉู่กั๋วกง
เป็นจริงดังนั้น ได้ยินเพียงหนานกงมั่วเอ่ยตอบกลับ “มีพี่สะใภ้คอยช่วยเหลือก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปคารวะนายหญิงใหญ่เซี่ยด้วยตนเอง ถึงวันนั้นคงเชิญท่านป้าเซี่ยมาเร็วสักหน่อย”
หนานกงไหวลังเลเล็กน้อย เอ่ยถาม “รบกวนเซี่ยโหวฮูหยิน จะเหมาะสมหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “อย่างไรก็เหมาะสมกว่า… เมื่อครั้งท่านแม่ยังเยาว์นั้นเป็นมิตรที่ดีกับเซี่ยโหวฮูหยิน คิดว่าเห็นแก่ท่านแม่แล้วท่านป้าเซี่ยก็คงจะไม่ใส่ใจและช่วยชี้แนะหลานได้” ฟังแผนการของหนานกงมั่ว หนานกงไหวก็ไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร ตระกูลหนานกงในยามนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่รับรู้ สาเหตุเพราะผู้เป็นฮูหยินของจวน ผู้คนเหล่านั้นที่คิดว่าตนเองสูงส่งหรือผู้มีฐานะสูงส่งทั้งหลาย ต่างไม่เหยียบย่ำเข้ามายังจวนหนานกง ไม่ว่าเขา หนานกงไหวจะมีอำนาจค้ำฟ้า แต่กลับเข้าไม่ถึงสตรีเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของสตรีเหล่านี้ก็สะท้อนมาจากแนวคิดของฝ่าบาท ต่อให้เขาโกรธเพียงใดก็มิกล้าหาเรื่องใส่ตัววุ่นวาย หากการที่บุตรีคนโตกลับมาครั้งนี้จะทำให้จวนหนานกงกลับเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงได้ ไม่ได้หวังพึ่งเพียงอิทธิพลของเขา เขาก็คงจะผ่อนคลายไปมาก
“มั่วเอ๋อร์คิดไตร่ตรองรอบคอบก็ดีแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งานเลี้ยงครั้งนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการ” หนานกงไหวพยักหน้าลง สุดท้ายก็ตัดสินใจแล้ว สีหน้าเจิ้งซื่อเจื่อนลง การจัดงานเลี้ยงในจวนเป็นหน้าที่ของนายหญิงเช่นนาง นายท่านมอบหน้าที่นี้ไปให้หนานกงมั่ว สำหรับเจิ้งซื่อแล้วนับเป็นการโจมตีที่ร้ายแรง เมื่อหนานกงไหวตัดสินใจเสร็จสิ้น เจิ้งซื่อก็อดตัวสั่นระริกไม่ได้ ราวกับเห็นสายตาเย้ยหยันจากบ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องโถงแห่งนี้
“ท่านพ่อ” หนานกงซูไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านตัดสินใจเช่นนี้ จะให้ท่านแม่เอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน”
หนานกงไหวรู้สึกหงุดหงิด “เพียงเรื่องเล็กน้อย ใช่ว่าจะมิให้แม่เจ้าดูแลจวนแล้ว สตรีควรเรียนรู้สามคล้อยตามสี่คุณธรรม[1] อย่าคิดแต่จะชิงอำนาจกันอยู่ทุกวัน”
หนานกงซูดวงตาแดงก่ำ กระทืบเท้ากรีดร้อง “ตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมา ท่านพ่อก็ทำราวกับมีนางเป็นบุตรีคนเดียวใช่หรือไม่” ปิดหน้าร้องไห้และวิ่งหนีออกไป เจิ้งซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มกระวนกระวายมองตามบุตรีไป สุดท้ายจึงลุกขึ้นคล้ายจะรีบตามออกไป
“ซูเอ๋อร์” เจิ้งซื่อตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง หันกลับมามองหนานกงไหวเล็กน้อย กัดฟันพลางเอ่ยว่า “ซูเอ๋อร์กล่าวไม่ผิดเลย นายท่าน…หรือว่าความสัมพันธ์หลายปีของครอบครัวเราสู้คุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวมิได้เลยหรือ” ในวาจานั้นได้ดึงหนานกงมั่วออกไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงแห่งนี้กลับไม่สะท้านถึงหนานกงมั่วแม้แต่เพียงนิด หนานกงมั่วนั่งดื่มชานิ่งๆ อยู่ด้านข้าง มองสายตาเคียดแค้นของเจิ้งซื่อ เอ่ยตอบเชื่องช้า “หว่านฮูหยิน ไยพวกท่านต้องบีบบังคับท่านพ่อเช่นนี้ เรื่องฐานะก็ใช่ว่าท่านพ่อตั้งใจไม่ยอมให้พวกท่าน ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้…เพื่อท่าน ท่านพ่อจึงไม่แต่งภรรยาเอก กระทั่งจวนฉู่กั๋วกงไม่มีแม้แต่ผู้ที่คอยจัดการเรื่องใหญ่ๆ เท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ”
ดวงตาของหนานกงไหวไหววูบไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบุตรีที่รักร่ำไห้วิ่งออกไป อีกทั้งแววตากล้ำกลืนของภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีนั้นพลันแปรเปลี่ยน แววตาที่อ่อนลงแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง มั่วเอ๋อร์กล่าวไม่ผิดเลย หลายปีมานี้เขาเมตตาต่อเจิ้งซื่อมากแล้ว ฐานะของเจิ้งซื่อไม่เพียงพอต่อการแต่งตั้ง ไม่สามารถเข้าร่วมงานพิธีในวังได้ การที่บรรดาสตรีในเมืองหลวงไม่เหลียวแลนางนั่นมิใช่ความผิดของเขา หากเป็นเพราะฐานะที่ต่ำต้อยของเจิ้งซื่อเอง เจิ้งซื่อยังมาตัดพ้อต่อเขาในเรื่องนี้อีก
เมื่อเห็นสายตาของหนานกงไหว เจิ้งซื่อก็รู้ว่าอับจนหนทางเสียแล้ว หลับตาลงเก็บกักความโกรธในใจ เจิ้งซื่อก้มหน้า “คุณหนูใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าผิดไปแล้ว ท่านพี่ได้โปรดอภัย”
แม้หนานกงไหวจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปีจึงถอนหายใจออกมา โบกมือพลางเอ่ย “ช่างเถิด เรื่องนี้ให้มั่วเอ๋อร์จัดการ นางเป็นเชื้อสายหลักของจวนฉู่กั๋วกง เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไว้ก็สมควรแล้ว คนอื่นจะได้ว่าไม่ได้ หากขาดเหลือสิ่งใดก็ไปเบิกได้ที่บัญชี” สุดท้ายมองหนานกงมั่วอีกเล็กน้อย จากนั้นหนานกงไหวจึงลุกขึ้นเดินออกไป
ห้องโถงสงบลง หนานกงชวี่และหนานกงฮุยนั่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดสักคำ หนานกงฮุยมองเจิ้งซื่อด้วยสายตาระแวดระวัง เจิ้งซื่อคิดอยู่ในใจ เลี้ยงมากว่าหลายปี เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง
“คุณหนูใหญ่ช่างมีความสามารถ” ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ไม่สนใจว่าหนานกงชวี่และหนานกงฮุยยังอยู่ เจิ้งซื่อเอ่ยวาจาขึ้น
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น เอ่ยตอบเสียงเรียบ “หว่านฮูหยินล้อเล่นแล้ว”
“ที่ใดเล่า” เจิ้งซื่อกัดฟัน
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยอย่างเชื่องช้า “หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน”
หนานกงฮุยเองรีบวางถ้วยชาแล้วลุกตามไป “มั่วเอ๋อร์ ข้าไปด้วย พี่รองมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า” หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ พยักหน้าลงแล้วทั้งสองจึงเดินตามกันออกไป มองท่าทางไม่สนใจใครของทั้งคู่ เจิ้งซื่อยิ่งโกรธมากขึ้น ไม่มีกะจิตกะใจรับมือกับหนานกงชวี่ บิดผ้าเช็ดหน้าแล้วสะบัดตัวเดินออกไป ห้องโถงกลับมาว่างเปล่าเหลือหนานกงชวี่อยู่เพียงผู้เดียว เหม่อจ้องมองภาพแขวนที่ฝาผนังชั่วครู่หนึ่ง หนานกงชวี่จึงส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
วันต่อมา หนานกงมั่วนั่งอยู่บนรถม้าของจวนหนานกงมุ่งตรงไปยังตระกูลเซี่ย ตระกูลเซี่ยนั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่รุ่งเรืองของเมืองหลวงเช่นเดียวกัน เมื่อมองดูแล้วแม้มิได้ดูสวยหรูดังเช่นจวนฉู่กั๋วกง แต่พื้นที่กลับเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในจินหลิง แม้แต่จวนของชินอ๋อง จวิ้นอ๋อง หรือรัชทายาทก็เทียบไม่ได้กับจวนตระกูลเซี่ย เนื่องจากเป็นบ้านเก่าแก่ของตระกูลเซี่ย ตั้งแต่เมื่อครั้งเป่ยหยวนบุกเข้ายึดที่ราบตอนกลางได้ ยามนั้นสกุลเซี่ยทั้งหมดหลบหนีเข้าป่า จวนตระกูลเซี่ยถูกยึดไปปรับปรุงสร้างเป็นพระราชวัง เมื่อก่อตั้งประเทศใหม่แล้วจึงคืนบ้านให้แก่ตระกูลเซี่ย ดังนั้นสถานที่ต้องห้ามทั้งหมดจึงถูกรื้อถอน เพื่อเหตุผลบางอย่างตระกูลเซี่ยจึงไม่ได้ซ่อมแซม ดังนั้นพื้นที่ของตระกูลเซี่ยจึงใหญ่ที่สุด ทว่ากลับไม่มีความรุ่งเรืองดังเช่นเมื่อครั้งเก่าก่อน
รถม้าหยุดลงที่หน้าจวนตระกูลเซี่ย ด้านหน้ามีหญิงงามและบ่าวรับใช้มารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว หนานกงมั่วยื่นมือไปจับสาวใช้ที่เข้ามาประคองลงจากรถ หญิงงามผู้นั้นรีบเข้ามารับ “ท่านนี้คือคุณหนูใหญ่ของฉู่กั๋วกงหรือ” หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มบางๆ ให้ “เซี่ยฮูหยินน้อย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม เดินเข้าไปจูงมือหนานกงมั่วเอาไว้ “ได้ยินน้องสามเอ่ยถึงเจ้าตั้งนานแล้ว เรียกข้าว่าพี่สะใภ้เถิด ท่านยายและท่านแม่กำลังรอเจ้าอยู่พอดี เราเข้าไปกันเถิด”
“รบกวนพี่สะใภ้เซี่ยแล้ว”
เซี่ยฮูหยินน้อยพยักหน้าลง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “สมแล้วที่เป็นคุณหนูใหญ่ของฉู่กั๋วกง ข้าไม่ชอบหญิงสาวพวกที่เหนียมอายเช่นนั้น มา เราไปกันเถิด”
[1] สามคล้อยตามสี่คุณธรรม คือ สามคล้อยตาม หมายถึง 1. ผู้หญิงหากยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา 2. เมื่อแต่งงานมาต้องเชื่อฟังสามี 3. เมื่อสามีถึงแก่กรรมต้องเชื่อฟังบุตรชาย ส่วนสี่คุณธรรม หมายถึง 1. คุณธรรมของสตรี ให้รักษากิริยา สงบเสงี่ยม 2. วาจาสตรี 3. รูปลักษณ์สตรี 4. การงานสตรี