ทั้งสองจูงมือเดินเข้าประตูใหญ่ตระกูลเซี่ย เซี่ยเพ่ยหวนมารอที่ประตูสองตั้งนานแล้ว ด้านหลังมีหญิงสาวและเด็กๆ มากมายรุมล้อมอยู่ “มั่วเอ๋อร์”
“เพ่ยหวน ไม่เจอกันนานเลย”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้ม “ถ้าเจ้ายังไม่มาหาข้า ข้าจะหน้าด้านไปหาเจ้าที่จวนฉู่กั๋วกงแล้วล่ะ”
เซี่ยฮูหยินน้อยยืนอยู่ด้านหลัง มองหญิงสาวที่แตกต่างกัน ปิดปากยิ้มขำ “น้องสาม ท่านยายยังรออยู่นะ เจ้าอย่าพึ่งรั้งมั่วเอ๋อร์ไว้ที่นี่”
เซี่ยเพ่ยหวนแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน จูงมือหนานกงมั่ว “เราไปกันเถิด”
หนานกงมั่วพยักหน้าทักทายเหล่าหญิงสาวและเด็กๆ ของตระกูลเซี่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เดินตามการจูงของเซี่ยเพ่ยหวนไปยังเรือนของหญิงชรา
“ท่านยาย มั่วเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ” พึ่งมาถึงประตู เซี่ยเพ่ยหวนก็ตะโกนเสียงดัง คุณหนูเซี่ยสามที่มีท่าทีสง่างามเมื่ออยู่ด้านนอก แต่เมื่ออยู่บ้านกลับกลายเป็นเด็กหญิงผู้ซุกซน เมื่อเดินเข้าประตูไป พลันมองเห็นหญิงชราท่าทางใจดีที่เต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นนั่งอยู่ที่ห้องโถงในทันใด นายหญิงใหญ่เซี่ยมิได้สวมอาภรณ์หรูหรา และไม่เหมือนฮูหยินผู้เฒ่าในบ้านผู้มีอำนาจอื่นๆ ที่มีเครื่องประดับมากมาย สวมเพียงอาภรณ์ปักลายเมฆาธรรมดาๆ ผมสีขาวถูกม้วนขึ้นไปและปักด้วยปิ่นไม้จันทน์สองชิ้น ดวงตาของหญิงชรานั้นทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวั่นเกรง
“หนานกงมั่วคารวะนายหญิงใหญ่” หนานกงมั่วก้าวเข้าไป ทำความเคารพอย่างมีมารยาท
นายหญิงใหญ่เซี่ยหรี่ตาลง มองสำรวจหนานกงมั่วอย่างละเอียดไปหนหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เจ้าเด็กคนนี้เหมือนมารดาของนางเมื่อสมัยยังเยาว์ไปกว่าแปดส่วน เข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ สิ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยตอบ “นายหญิงใหญ่ชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยจะเทียบกับมารดาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยส่ายหน้า “แก่แล้วดูคนมานับว่าไม่น้อย ข้าว่าเจ้าคงจะดีกว่าแม่เจ้ามาก” หญิงชรานั้นผ่านเรื่องราวมามาก เห็นตระกูลเซี่ยตั้งแต่ครั้งต้องหลบๆ ซ่อนๆ จนหวนกลับมาได้อีกครั้ง เห็นตั้งแต่ยามศึกสงครามจนเวลานี้สุขสงบ ตั้งแต่เย่อหยิ่งทะนงตนจนยามนี้ต้องคอยระมัดระวังการกระทำอยู่ตลอด ดวงตาฉลาดแหลมคมไหนเลยจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้
นายหญิงใหญ่เซี่ยดึงหนานกงมั่วมานั่งข้างตน เซี่ยเพ่ยหวนอดบ่นเสียงอ่อนเสียงหวานออกมาไม่ได้ “ท่านยาย เห็นมั่วเอ๋อร์เข้า ท่านก็ไม่ชอบหลานแล้วหรือเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยหัวเราะ หันไปมองเซี่ยเพ่ยหวน “ไม่รู้ว่าใครกันที่เอาแต่เอ่ยถึงมั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ อยู่ทั้งวัน เช่นนี้แล้วจะมาโทษยายไม่รักเจ้าได้เยี่ยงไร”
เห็นความสนิทสนมของทั้งคู่ หนานกงมั่วก็อดยิ้มไม่ได้ โลกก่อนหน้านี้ของนางนั้นโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เล็กจนโตมีญาติเพียงสองคนคือพี่ชายและน้องสาว ในโลกนี้นางก็มีเพียงอาจารย์ อาจารย์อา และศิษย์พี่ เพียงสามคน ไม่ว่าโลกใดนางก็ไม่เคยได้รับความรักจากปู่ย่าหรือตายายเช่นนี้ นายหญิงใหญ่เซี่ยสัมผัสใบหน้าเล็กของนางด้วยความรัก เอ่ยกับเซี่ยเพ่ยหวนว่า “ดูสิ แม้แต่มั่วเอ๋อร์ยังหัวเราะเจ้า เจ้าโตกว่านางอีกนะ”
เซี่ยเพ่ยหวนเกาะแขนมั่วเอ๋อร์พลางยิ้ม “มั่วเอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะข้าเสียหน่อย”
บรรดาสตรีตระกูลเซี่ยที่ตามเข้ามานั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงได้แต่ตกใจนิ่ง นายหญิงใหญ่เซี่ยเป็นเหล่าเฟิงจวิน[1]ของตระกูลเซี่ย แม้จะมิได้เย็นชาเข้มงวด ทว่าคนรุ่นหลานที่กล้าเล่นกับนางไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ก็คงมีเพียงเซี่ยเพ่ยหวนเท่านั้น ไม่คิดว่านายหญิงใหญ่เซี่ยจะมีเมตตาต่อคุณหนูหนานกงที่พบกันเป็นครั้งแรกถึงเพียงนี้
“ดูเหมือนคุณหนูหนานกงจะมีชะตาต่อนายหญิงใหญ่เซี่ย พบกันครั้งแรกท่านยายก็เอ็นดูถึงเพียงนี้ พวกเราช่างอิจฉาเหลือเกิน” เด็กหญิงอายุราวๆ สิบห้าสิบหกเอ่ยขึ้นพลางปิดปากยิ้มขำ
นายหญิงใหญ่เซี่ยเหลือบมองนางนิ่งๆ “เด็กอย่างพวกเจ้าจะไปรู้อันใดเล่า เมื่อครั้งที่เจ้าเด็กมั่วเกิดข้ายังได้อุ้มอยู่เลย” เมื่อครั้งเมิ่งซื่อให้กำเนิดหนานกงมั่ว ร่างกายจึงอ่อนแอลง ความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยและตระกูลหนานกงจึงไกลห่าง ไปมาหาสู่กันได้น้อยครั้ง จนกระทั่งเมิ่งซื่อจากไป สตรีตระกูลเซี่ยยิ่งไม่เหยียบย่างเข้าไปในจวนหนานกงอีกเลย
เซี่ยฮูหยินน้อยเอ่ยขึ้นบ้าง “ได้ยินท่านยายกล่าวถึงความงามของหนานกงฮูหยินอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้พบคุณหนูใหญ่หนานกงข้าถึงได้เชื่อคำของท่านยายแล้วจริงๆ”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่สะใภ้เซี่ยชมเกินไปแล้ว เรียกข้าว่ามั่วเอ๋อร์ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฮูหยินน้อยส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าพี่สะใภ้เซี่ยคำนี้ถูกเรียกบ่อยแล้ว ครอบครัวข้าแซ่ซู มั่วเอ๋อร์เรียกข้าว่าพี่ซูจะเป็นการดีทีเดียว ท่านยายว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยมองเหล่าผู้น้อยด้วยความดีใจ ยิ้มจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้ โบกมือไปมา “เรื่องของพวกเจ้า ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก”
เซี่ยฮูหยินน้อยยิ้มให้หนานกงมั่ว “ได้ยินหรือยัง ลองเรียกข้าว่าพี่สาวให้ข้าได้ฟังเถิด”
“พี่ซู” หนานกงมั่วไม่รีรอ เอ่ยออกมาเสียงดัง
นายหญิงใหญ่เซี่ยเป็นผู้นำ เห็นได้ชัดว่ามีเพียงหลานสาวอย่างเซี่ยเพ่ยหวนและภรรยาของหลานชายอย่างเซี่ยฮูหยินน้อยเท่านั้นที่ร่วมพูดคุย สตรีผู้อื่นแม้อยากร่วมการสนทนาทว่าก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ทำได้เพียงมองพวกนางสนทนาสนุกสนาน นายหญิงใหญ่เซี่ยอายุมากแล้วมิชอบเมื่อมีผู้คนอยู่ด้วยมากมาย ไม่นานจึงให้คนอื่นๆ ออกไป เหลือไว้เพียงเซี่ยเพ่ยหวน แม้แต่เซี่ยฮูหยินน้อยยังถูกไล่ออกไปเตรียมมื้อกลางวัน
ห้องโถงที่มีเสียงจอแจเงียบลงไปทันใด รอยยิ้มบนใบหน้านายหญิงใหญ่เซี่ยค่อยๆ หายไป กุมมือหนานกงมั่วพลางถอนหายใจออกมา “เด็กน้อย…หลายปีมานี้เจ้าคงลำบาก”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “นายหญิงใหญ่กล่าวเกินไป มั่วเอ๋อร์สบายดีเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยมองนางนิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหญิงชราเช่นข้ากำลังปลอบโยนเจ้าอยู่หรือ ข้ากำลังด่าเจ้าอยู่นะ ได้รับความไม่เป็นธรรมไยไม่ให้คนมารายงานพวกเรา แม้ข้าจะทำอันใดไม่ได้มากแต่ข้าก็ช่วยออกหน้ากล่าวแทนเจ้าได้ เจ้านี่ ไม่ต่อล้อต่อเถียงซ้ำยังหนีไปถึงตานหยางเพียงลำพัง หากพวกข้าเข้าไปเองก็คงเป็นการยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตระกูลใหญ่เช่นพวกเรา ใครๆ ต่างก็บอกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นดั่งพี่น้อง สิ่งใดเรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ยามผู้อาวุโสล้วนไม่อยู่แล้ว หรือคิดเห็นว่าหญิงชราเช่นข้าจะดูแลลูกหลานไม่ได้เลยหรือ”
แม้จะไม่เกี่ยวกับตนเอง ทว่าเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่เซี่ยแล้ว หนานกงมั่วก็อดก้มหน้ารู้สึกผิดมิได้ “มั่วเอ๋อร์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว” หญิงชรามิได้คิดโกรธเคืองผู้อ่อนวัยกว่าจริงจัง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็มิได้บอกว่าเจ้าทำผิด สตรีเช่นเราแม้บอกว่าผู้รู้สถานการณ์เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ แต่หากรู้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตนเอง ไปอยู่ชนบทยังมีความสุขกว่าอยู่กับพวกคนประจบสอพลอ เพียงแต่เจ้าอายุยังน้อย เมื่อครั้งยามที่แม่เจ้าจะจากไป เรื่องที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือเจ้า…”
“นายหญิงใหญ่ ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาน่าสงสารของหนานกงมั่วมองไปยังนายหญิงใหญ่เซี่ย เอ่ยอย่างว่าง่าย
นายหญิงใหญ่เซี่ยพยักหน้า ลูบแผ่นหลังนางอย่างปลอบประโลมใจ “เด็กดี เจ้ายังมีอนาคตที่ดีกว่าเซี่ยสามของเรานัก เรื่องก่อนหน้านี้หยวนเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าในนามตระกูลเซี่ย” หนานกงมั่วรู้ว่านายหญิงใหญ่เซี่ยกล่าวถึงเรื่องที่นางมอบเงินให้กับสำนักศึกษาของตระกูลเซี่ย ส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยตอบ “นายหญิงใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว เซี่ยโหวทำเพื่อราษฎร ท่านแม่ก็ไม่อยู่แล้ว มั่วเอ๋อร์เพียงทำเรื่องเล็กน้อยแทนท่านแม่บ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”
[1] เหล่าเฟิงจวิน คือบรรดาศักดิ์ที่อ๋องมอบให้แก่ผู้อาวุโสในจวนขุนนางที่มีความดีความชอบ