หลินซื่อรีบเอ่ย “จะไปเทียบกับน้องสาวได้เยี่ยงไร น้องสาว พี่สะใภ้หวังดีกับน้องสาว…”
หนานกงมั่วเอ่ยขัดคำพูดของนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไยตอนพี่สะใภ้ออกเรือนจึงไม่พาพี่น้องมาเป็นอนุด้วยล่ะเจ้าคะ ข้าว่า…เรือนของพี่ใหญ่ยังขาดอีกตั้งสองคน จะได้ช่วยพี่สะใภ้ดูแลเรื่องในเรือนด้วย”
“น้องสาว” สีหน้าของหลินซื่อบิดเบี้ยวขึ้น กัดฟันแน่น “น้องสาว สตรีเช่นเจ้ายุ่งเรื่องครอบครัวของพี่ชาย จะดูเป็นเยี่ยงไร”
“สิ่งใดที่ตนไม่ต้องการ อย่าได้ยัดเยียดมาให้กับผู้อื่น พี่สะใภ้ ท่านควรเข้าใจไม่ใช่หรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามกลับชัดถ้อยชัดคำ
หลินซื่อหันกลับไปมองหลินเย่ว์หลาน ดวงตาคับแค้นใจ ความจริงไม่ใช่นางที่คิดจะให้หลินเย่ว์หลานแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไปพร้อมกับหนานกงมั่ว นี่เป็นความคิดของมารดาของนาง นางปฏิเสธไม่ได้จึงจำต้องพาหลินเย่ว์หลานมาให้หนานกงมั่วได้ดู ตระกูลหลินมีนางที่ได้เป็นสะใภ้ของฉู่กั๋วกงก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาแก่ตระกูลแล้ว หากหลินเย่ว์หลานแต่งเข้าจวนไปเป็นอนุและกลายเป็นที่โปรดปรานของเว่ยจวินมั่ว…นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินซื่อจะยอมได้ นางรู้ดีว่าหลินเย่ว์หลานนั้นแตกต่างจากตนเอง นิสัยของหลินเย่ว์หลานนั้นเป็นที่รักของทุกคนมาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงตอนนั้นบิดาและมารดาคงให้ความสำคัญกับหลินเย่ว์หลานมากกว่าตนเป็นแน่
แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อถูกหนานกงมั่วปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ก็ทำให้หลินซื่อยอมมิได้ นึกถึงคำพูดที่เจิ้งซื่อบอกกับตน ใบหน้าของหลินซื่อยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้น กัดฟันเอ่ยตอบ “น้องสาว มารดาจากไปเร็ว ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า แน่นอนว่าย่อมต้องคิดเพื่อเจ้า เจ้ายังเด็กมิรู้ความ ฟังพี่สะใภ้บ้างก็ไม่ผิดอันใด”
คิดจะเอาตำแหน่งพี่สะใภ้มาข่มนางหรือ หนานกงมั่วตวัดสายตามองหลินซื่อด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย เพราะนางให้เกียรติหลินซื่อเกินไปจึงสำคัญตัวผิดไปแล้วหรือ แม้แต่หนานกงชวี่ยังรู้ตัวว่ามิควรเข้ามายุ่งเรื่องของนาง หลินซื่อไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าคิดจะมายุ่งเรื่องของนางเช่นนี้
แม่นมหลานทนฟังต่อไปไม่ได้ ก้าวขึ้นมา “ฮูหยินน้อย การพาพี่น้องออกเรือนไปพร้อมกันนั้นเป็นธรรมเนียมเมื่อครั้งโบราณ เมื่อครั้งหลายพันปีก่อน ไม่มีการสืบทอดต่อกันมาแต่อย่างใด แม้สตรีที่แต่งออกไปด้วยส่วนใหญ่จะเป็นอนุ แต่อย่างไรก็ยังเป็นสายเลือดของครอบครัวตนเอง บางครั้งอาจไม่สามารถแต่งออกไปเป็นภรรยาเอกให้บ้านใดได้ เมื่อมีการหวงแหนบุตรี หลายปีมานี้ บ้านตระกูลใดที่พอมีหน้ามีตาหรือจะยอมให้บุตรีของตนแต่งออกไปพร้อมกัน” ไปเป็นอนุ หรือหากพูดให้ไม่น่าฟังก็คือเพียงไปเป็นสินเจ้าสาวให้เชื้อสายหลักหนึ่งชิ้นก็เท่านั้น เพียงแค่สินเจ้าสาวชิ้นนี้นั้นขยับได้ มีคุณหนูที่เกิดจากอนุก็ต้องมีคุณชายที่เกิดจากอนุเช่นกัน สตรีที่มีเกียรตินางใดคิดจะยอมไปเป็นอนุให้ผู้อื่น ตระกูลที่มีเกียรติใดที่พร้อมใจส่งบุตรีไปเป็นอนุ เกรงว่าคงจะมีแต่เชื้อสายรองเพียงเท่านั้น
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหลินซื่อพลันเปลี่ยน เอ่ยเสียงเย็น “บังอาจ ข้าคุยกับคุณหนูใหญ่ บ่าวเช่นเจ้ามาแทรกแซงได้หรือ”
สีหน้าของแม่นมหลานไม่น่ามองขึ้นมา นางติดตามเมิ่งซื่อมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเมิ่งซื่อจากไป เจ้านายกับบ่าวแทบนับได้ว่าเป็นพี่น้องกันไปแล้ว เพราะเมิ่งซื่อปฏิบัติต่อนางดี บุตรธิดาทั้งสามของเมิ่งซื่อเองก็ให้เกียรตินาง หลายปีมานี้ไม่เคยมีใครไร้มารยาทกับนางมาก่อน โดยเฉพาะคนผู้นี้ที่เป็นภรรยาของคุณชายใหญ่ คนอื่นก็แล้วไป แต่หลินซื่อควรเห็นแก่หน้าแม่สามีที่จากไปและให้เกียรติแม่นมหลานบ้าง เช่นนี้เกรงว่าในใจของหลินซื่อนั้น คงมิได้ให้ความสำคัญใดๆ กับเมิ่งซื่อเลย
ปัง! ฝ่ามือของหนานกงมั่วตบลงไปบนโต๊ะ ดวงตาเย็นยะเยือกจ้องมองหลินซื่อเขม็ง “พี่สะใภ้ แม่นมหลานเป็นคนข้างกายของท่านแม่”
หลินซื่อชะงัก จ้องแม่นมหลานเขม็ง “น้องสาว พี่สะใภ้หวังดีกับเจ้า หญิงแก่คนนี้…เจ้าอย่าไปฟังคำยุยงของหญิงแก่ผู้นี้เลย…”
หนานกงมั่วเอ่ย “สิ่งที่พี่สะใภ้คิดจะเอ่ยข้ารู้แล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็กลับไปเถิด”
“เช่นนั้น…เรื่องของเย่ว์หลาน” หลินซื่อเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ข้าบอกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหนานกงหรือตระกูลเมิ่ง ล้วนไม่มีกฎเช่นนี้ แม่นางหลินผู้นี้หากมาอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ก็อยู่อีกสักวันสองวัน หากมาเพราะเหตุผลอื่นก็รีบกลับไปเสียเถิด”
ยิ่งเห็นหนานกงมั่วปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ หลินซื่อยิ่งรู้สึกไม่ยอมอยู่ในใจ ราวกับลืมไปแล้วว่าตนเองก็ไม่เห็นด้วยกับการให้หลินเย่ว์หลานแต่งเข้าไปพร้อมหนานกงมั่ว ในใจคิดจะยัดเยียดคนให้หนานกงมั่วให้ได้ “น้องสาว ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า พี่สะใภ้ดุจมารดา ตามหลักแล้วสินเจ้าสาวของเจ้าควรเป็นข้าที่จัดการ ตอนนี้เพียงเพิ่มให้เจ้าสักชิ้นก็เท่านั้น เจ้าจำต้องมิไว้หน้าพี่สะใภ้เช่นนี้เลยหรือ”
หนานกงมั่วสะบัดแขนเสื้ออย่างหมดความอดทน ส่งสายตาให้จือซูที่ยืนอยู่หน้าประตู จือซูพยักหน้าตอบรับและถอยออกไป
บรรยากาศในห้องโถงพลันเคร่งเครียดขึ้นมา หลินเย่ว์หลานที่นั่งอยู่ด้านข้างขยับตัวเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วนไม่รู้ต้องเอ่ยสิ่งใด แม้ว่านางจะอิจฉาความร่ำรวยของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง แม้ต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุก็ยังดีกว่าแต่งไปเป็นภรรยาเอกให้คนธรรมดาหรือนักปราชญ์ที่ยากจน แต่อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นสตรี กับเรื่องในห้องหอเช่นนี้ ใบหน้ายังมิได้หนาถึงเพียงนั้น เพียงแต่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของมารดา เดิมคิดว่าคงเป็นเรื่องง่าย มิได้คิดว่าจะถูกหนานกงมั่วปฏิเสธโดยไร้เยื่อใยเช่นนี้ ในใจของหลินเย่ว์จึงเกิดร้อนรนขึ้นมา
“พี่มั่วเอ๋อร์” อดทนอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดหลินเย่ว์หลานก็ทนไม่ไหว เอ่ยออกมาบ้าง “ข้า…ข้าไม่ขอเป็นอนุของเว่ยซื่อจื่อ เพียงคิดว่าอยากตามไปเป็นสาวใช้ นั่นคือความตั้งใจของข้า วันนี้ข้าตามพี่ใหญ่มา หากกลับไป ข้า…ข้าก็คงไม่มีหน้าอยู่ต่อไปแล้ว ขอพี่มั่วเอ๋อร์ได้โปรดเห็นใจ”
มองเด็กสาวที่กำลังน้ำตาคลออยู่ตรงหน้า หนานกงมั่วยิ้มเย็นอยู่ในใจ คิดจะเอาชีวิตตนเองมากดดันนางหรือ เลิกคิ้วด้วยความสนใจ หนานกงมั่วเอ่ยถามว่า “เจ้ายอมไปเป็นสาวใช้จริงๆ หรือ”
หลินเย่ว์หลานคิดเรื่องจะเปลี่ยนทิศทางอยู่เท่านั้นจึงรีบพยักหน้าลง หนานกงมั่วยิ้มเย็น “เจ้าคงไม่เข้าใจกฎของข้า สาวใช้ของข้าที่นี่ล้วนพาไปจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องด้วยทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ข้าเองตกลงกับพวกนางเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้ดีต่อไปจะได้ออกเรือนไปกับคนที่ดีแน่ ข้าเองจะเตรียมสินเจ้าสาวให้ แต่เมื่อใดคิดจะปีนเตียงข้า คิดหักหลังเจ้านาย…หมิงฉิน ข้าบอกไว้เยี่ยงไรหรือ”
หมิงฉินก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว จ้องหลินเย่ว์หลานนิ่ง เอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ “โบยให้ตาย”
หลินเย่ว์หลานมองหนานกงมั่วด้วยความหวาดกลัวอยู่ในใจ หนานกงมั่วเอนตัวพิงพนักพลางเอ่ย “ถูกแล้ว ข้าไม่สนว่าจะเป็นคนของใคร แต่คนข้างกายข้า ข้าให้โอกาสพวกนางแล้ว หากคิดจะหักหลังข้า เช่นนั้นก็ตายสถานเดียว” ตอนนี้มิใช่ยุคที่ฆ่าคนแล้วผิดกฎหมาย สาวใช้ที่ถูกโบยจนตายมีถมเถไป ยิ่งกว่านั้นหนานกงมั่วที่ก็เห็นๆ อยู่ว่าคิดสังหารคนในปกครองได้ ดังนั้นจะมามัวคาดหวังให้นางอภัยคนทรยศเหมือนกับพระแม่มารีล่ะก็ มิสู้ขุดหลุมฝังตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ดีกว่าหรือ
“เช่นนี้ เจ้ายังคิดจะเป็นสาวใช้ของข้าอยู่หรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าไม่ หากเป็นเช่นนั้น ชีวิตนี้ของนางจะยังมีความหวังอันใดได้อีกเล่า
อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เพียงข่มขู่เล็กน้อยก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองหนานกงมั่วเสียแล้ว