“เอ่อ…” หนานกงฮุยรู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “มั่วเอ๋อร์ นี่ข้าให้เจ้านะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ท่านแม่เก็บกิจการร้านค้าไว้ให้ข้ายี่สิบกว่าร้าน ท่านพ่อต้องให้เพิ่มมาอีก มากเกินไปก็เห็นจะไม่ดี พี่รอง ท่าน…ท่านอายุก็ไม่น้อยแล้ว เก็บเงินไว้บ้าง เมื่อถึงยามจำจะได้มีใช้” หนานกงฮุยถือโฉนดและเงินในมือเอาไว้ ใบหน้าคล้ายจะร้องไห้ทว่ายังคงยิ้ม สีหน้าสลับสับเปลี่ยนไปมา ไม่นานจึงเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ “มั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์…เจ้าเป็นห่วงพี่รองใช่หรือไม่ ขอโทษ หลายปีมานี้พี่รองไม่ได้ดูแลเจ้าเลย ปล่อยให้เจ้าต้องลำบาก เจ้าให้อภัยพี่รองได้หรือไม่”
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบา “พี่รอง ท่านดีมาก ของพวกนี้ท่านเก็บเอาไว้ เชื่อข้า”
“ได้ พี่รองเชื่อเจ้า” หนานกงฮุยพยักหน้ารัวเร็ว ยกมือยัดโฉนดและตั๋วเงินไว้ในแขนเสื้อของตน มองหนานกงมั่วแล้วเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “ข้าคิดว่า…เจ้าแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ได้ยินมาว่าพวกเขาวุ่นวายกันมาก เจ้ามีเงินติดตัวไว้ก็ดี ส่วนท่านพ่อ…ท่านพ่อเป็นห่วงเจ้ามาก แต่ว่า…” ท่านพ่อทิ้งมั่วเอ๋อร์ไว้ที่ชนบทไม่ถามไม่ไถ่ หนานกงฮุยไม่มั่นใจว่าหากมั่วเอ๋อร์เกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ท่านพ่อจะช่วยออกหน้าแทนนางหรือไม่ และตนเอง…ตอนนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่สำเร็จ ถึงแม้อยากออกหน้าแทนนางก็คงทำไม่ได้
“พี่รอง ข้าเข้าใจ ท่านวางใจเถิด” หนานกงมั่วเอ่ยตอบ
“ได้ ได้” หนานกงฮุยพยักหน้า
“พี่รอง ไยท่านถึงมาอยู่ที่นี่” ที่ด้านหลัง เสียงของหนานกงซูดังขึ้น แน่นอนว่าหนานกงมั่วนั้นมองเห็นหนานกงซูตั้งนานแล้ว ขณะยื่นกล่องไปให้เฟิงเหอที่อยู่ด้านหลังก็มองหนานกงซูที่จับแขนสาวใช้เดินเข้ามา หนานกงมั่วกวาดตามองสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังไม่กี่คนนั้นด้วยแววตาเยือกเย็น หนานกงซูเข้ามาถึงในเรือนแล้วทว่าไม่มีใครรายงาน ดูเหมือนว่ายังต้องจัดการคนในเรือนอีก เมื่อถูกมองจนรู้สึกหนาวสั่น หลายคนจึงรีบก้มหน้าลงเพราะรู้ถึงความผิดของตน
“ซูเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” หนานกงฮุยหันกลับไป มองหนานกงซูพลางเอ่ยถาม “เจ้า…ไม่สบายมิใช่หรือ”
ใบหน้าสวยของหนานกงซูบิดเบี้ยว เอ่ยตอบ “ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้ว คนทั้งจวนกำลังยุ่งเพราะพี่ใหญ่ ข้ามาดูว่ามีสิ่งใดพอช่วยได้หรือไม่” นึกถึงเมื่อวานตอนที่เซียวเชียนเยี่ยมาที่จวนฉู่กั๋วกง ทว่าตั้งแต่ต้นจบจบกลับไม่ชายตามองตนเองแม้แต่น้อย หนานกงซูทนไม่ไหว ไม่ได้การแล้ว นางต้องหาวิธีออกไปข้างนอกเพื่อไปพบเซียวหลาง[1] ตั้งแต่กลับมาถึงจินหลิงนางกับเขาไม่มีโอกาสได้คุยกันดีๆ ด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หนานกงซูกังวลว่าเซียวเชียนเยี่ยจะลืมตนหรือไม่
หนานกงฮุยไม่เห็นสีหน้าของนาง เพียงยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดี แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าช่วยหรอก ที่นี่มีอาสะใภ้อยู่”
หนานกงซูเหลือบตามองหนานกงมั่ว ยกมือขึ้นทัดหูพลางเอ่ยเสียงหวาน “ไม่รู้พี่ใหญ่คิดเช่นไร ถึงคิดให้คนนอกมาช่วยจัดเตรียมสินเจ้าสาว…หากเกิดอะไรผิดพลาด คนอื่นคงจะโทษว่าท่านแม่ทำไม่ดี”
หนานกงมั่วตอบเสียงเรียบ “น้องรองก็ใกล้จะแต่งแล้วมิใช่หรือ ข้าก็เพียงกลัวว่าหว่านฮูหยินจะยุ่งจนเกินไป”
หนานกงซูส่งเสียงหยัน ท่านพ่อบอกว่าต้องให้หนานกงมั่วแต่งออกไปก่อน นางถึงจะแต่งกับหวงจั่งซุนได้ ตอนนี้แม้แต่เงาก็ไม่ได้เจอ เมื่อวานที่หวงจั่งซุนมาก็ไม่รู้ว่าเพียงเพราะ…คิดถึงที่นี่หรือไม่ ใบหน้าหนานกงซูแดงระเรื่อขึ้น
“น้องสาวยังมีธุระอันใดอีกหรือไม่” หนานกงมั่วถาม
หนานกงซูหันกลับมา เอ่ยเสียงหวาน “พี่สาว หลายวันมานี้ดอกโบตั๋นที่เขาจื่ออวิ๋นบานสวยมาก พี่สาวอยากออกไปชมหรือไม่ พวกเราจะได้ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดด้วย พี่สาวว่าเช่นไร” หนานกงมั่วมองหนานกงซูด้วยความสงสัย อะไรทำให้ความสัมพันธ์ของพวกนางสองพี่น้องดีขึ้นจนทำให้หนานกงซูต้องมาชวนนางออกไปเที่ยวเล่น
หนานกงซูถูกนางจ้องมองเข้าก็ทำตัวไม่ถูก เอ่ยถามออกมาอีก “พี่สาว ท่านไปหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าไปเถิด ข้ายังมีธุระต้องทำ”
หากนางไปเองได้นางจะมาชวนทำไมกันเล่า หนานกงซูคับแค้นใจ ตั้งแต่กลับจากตานหยาง ท่านพ่อก็ไม่ให้นางออกไปไหนมาไหนคนเดียว ดังนั้นนางจึงจำต้องมาชวนหนานกงมั่วออกไปด้วยกัน อย่างไรเสียท่านพ่อก็ไม่เคยห้ามหนานกงมั่วออกไปข้างนอก รอออกไปได้แล้วค่อยสะบัดหนานกงมั่วทิ้งก็ได้แล้ว “พี่สาว…อีกไม่กี่เดือนท่านก็จะออกเรือนแล้ว รอถึงตอนนั้นแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไปแล้วท่านคงจะมิได้มีอิสระเช่นนี้แล้ว เราออกไปเที่ยวเล่นหน่อยจะดีหรือไม่”
“แต่งงานออกเรือนไปแล้วข้ายิ่งจะมีอิสระต่างหาก” แม้ยามนี้ไม่ได้ห้ามหญิงสาวออกไปข้างนอก ทว่ากลับไม่ได้สะดวกสบาย แต่เมื่อแต่งงานออกไปแล้วก็ไม่มีข้อจำกัดอะไรมากแล้ว
หนานกงฮุยรู้สึกไม่ปกติ ไยซูเอ๋อร์ต้องลากมั่วเอ๋อร์ออกไปข้างนอกให้ได้ด้วย หนานกงฮุยนวดหัวคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ซูเอ๋อร์ เจ้าอยากชมดอกไม้ ไปเองก็ได้นี่ ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ว่ามั่วเอ๋อร์กำลังจัดเตรียมสินเจ้าสาว”
หนานกงซูส่งเสียงหยัน “ข้ามาชวนพี่สาวออกไปข้างนอกก็ผิดหรือ ตั้งแต่พี่สาวกลับมา พี่รอง ท่านก็ไม่ต้องการน้องสาวอย่างข้าแล้ว เราเติบโตมาด้วยกันด้วยซ้ำ…” หนานกงฮุยรู้สึกปวดหัว มองหนานกงมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง มั่วเอ๋อร์ไม่เคยเอาแต่ใจเหมือนซูเอ๋อร์เลยสักครั้ง “ข้ารู้ว่าท่านพ่อไม่ให้เจ้าออกไปข้างนอก เจ้าจึงต้องมาลากมั่วเอ๋อร์ออกไปด้วยใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะได้ผลหรือ อย่าลืมว่าท่านพ่อกักบริเวณเจ้าอยู่ในจวน หากเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ล่ะก็ ท่านพ่อกลับมาจะไม่ลงโทษเจ้างั้นหรือ”
หนานกงซูไม่สนใจ รอนางออกไปแล้วกลับเข้ามา ท่านพ่อจะมาลงโทษนางทันหรือ อย่างมากก็เพียงกล่าวสั่งสอนนางไม่กี่ประโยคเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าชวนหนานกงมั่วไม่สำเร็จ หนานกงซูจึงกลับไปด้วยความโกรธ หนานกงฮุยเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นใดแล้วจึงกลับไปเช่นกัน
หนานกงมั่วมองสาวใช้ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาเย็นชาพร้อมเอ่ย “โบยคนละสิบไม้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเคยปรนนิบัติหว่านฮูหยินมา ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกก็เก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวไปซะ”
เหล่าสาวใช้กลัวจนหน้าซีดเผือด หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวก้าวมาข้างหน้า เอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ ไม่ทราบว่าพวกเราทำผิดอันใดหรือเจ้าคะ”
ดวงตาเรียวของหนานกงมั่วหรี่แคบ มองสาวใช้คนนี้ที่ดูคุ้นตา เฟิงเหอที่อยู่ด้านหลังเอ่ยกระซิบ “คุณหนูใหญ่ นางเป็นคนที่เจิ้งฮูหยินส่งมาเป็นสาวใช้เคียงกายคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” น่าเสียดายกลับถูกแม่นมหลานลากไปเป็นสาวใช้ปลายแถว แม้ว่างานในเรือนจี้ชั่งจะไม่หนักมาก ทว่าสาวใช้เคียงกายและสาวใช้ปลายแถวนั้นแตกต่างกัน เพียงไม่ถึงเดือน เด็กสาวที่ดูบอบบางและหยิ่งยโสกลับกลายเป็นผอมบางและผิวหยาบกร้าน ทว่าความยโสของนางยังคงไม่ลดเลือน คงคิดว่าเจิ้งฮูหยินจะยังหนุนหลังนางอยู่ เฟิงเหอเองก็แอบเตือนตนเองอยู่ในใจว่าอย่าได้ทำความผิดเช่นนี้ สามารถขยับจากสาวใช้เล็กๆ ในเรือนอื่นมาอยู่ข้างกายคุณหนูได้อย่างทุกวันนี้นับว่าเป็นวาสนาแล้ว หากหาเรื่องตายให้ตัวเองเช่นสาวใช้ผู้นี้ ย่อมนับว่าวาสนาของนางได้เสียเปล่า
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เจ้าถามว่าพวกเจ้าทำผิดอันใดงั้นหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “เฟิงเหอ บอกพวกนางไปว่านางทำผิดอันใด”
[1] หลาง ใช้เรียกชายหนุ่มที่สนิทสนม โดยจะใช้ต่อท้ายแซ่