บนตัวหลินสวินมีป้ายคำสั่งที่ ‘จักรพรรดิดาบชิงหยาง’ มอบให้ แต่แน่นอนว่าไร้ประโยชน์
อวี่อวิ๋นเหอเป็นถึงบุตรชายของผู้นำตระกูลอวี่ แต่ก็ไม่อาจขวางความตั้งใจของพวกอวี่อวิ๋นเจิงได้ แค่ป้ายคำสั่งป้ายเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน
เดิมทีหลินสวินมาตระกูลอวี่คราวนี้ แค่อยากเจอสหายเก่าอย่างจักรพรรดิดาบชิงหยางเพื่อถามเรื่องบางอย่างเท่านั้น
แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ต่อให้เขาอยากจากไปก็ยังทำไม่ได้
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินผิดคาดอยู่บ้างคือ ในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดนี้ อวี่อวิ๋นเหอถึงกับขวางอยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่ลังเล
นี่ทำให้หลินสวินสะเทือนใจอยู่บ้าง
ขณะเดียวกันพวกอวี่อวิ๋นเจิงก็ไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน อยากจะโจมตีแต่ก็กลัวทำร้ายคนของตน วันนี้เจ้าโง่อวี่อวิ๋นเหอนี่เป็นอะไร เพื่อคนนอกคนหนึ่งถึงกับไม่สนใจชีวิตตัวเองแล้วหรือ
สถานการณ์ติดขัดกันอยู่ตรงนั้นทันที
“พี่หลิน ข้าเชื่อว่าหากพวกท่านพ่อรู้เข้า ต้องไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแน่”
อวี่อวิ๋นเหอเจือความรู้สึกผิด
เขาคิดว่าตัวเองทำให้หลินสวินติดร่างแห
“พวกท่านพ่อของเจ้า…”
นัยน์ตาดำของหลินสวินวูบไหว “บางทีนะคุณชายอวี่ ปีนั้นข้าก็เหมือนเจ้า สิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจของตระกูลถูกคนในตระกูลรองมากมายกลุ้มรุม ถึงขั้นมีคนมากมายอยากกำจัดข้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าทำอย่างไร”
อวี่อวิ๋นเหอชะงักไป
ไม่รอคำตอบหลินสวินก็พูดว่า “ฆ่า ถ้าไม่ฆ่าก็ไม่อาจรักษาอำนาจ ไม่ฆ่าก็ไม่อาจปัดกวาดอุปสรรคขวากหนามบนหนทางข้างหน้า”
อวี่อวิ๋นเหอสูดหายใจเย็นเยียบ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ “แน่นอนว่าตระกูลอวี่ของพวกเจ้าห้ามฆ่าฟันกันเอง เช่นนั้นตอนนี้ก็เหลือแค่สองทางให้เลือกแล้ว”
“สองทางไหนหรือ”
อวี่อวิ๋นเหออดถามไม่ได้
“สละสิทธิ์ในการสืบทอดแล้วจากไปตอนนี้”
หลินสวินกล่าว
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา พวกอวี่อวิ๋นเจิงก็สีหน้าแตกต่างกันออกไป หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองมาเพ่งเล็งอวี่อวิ๋นเหออีก
อวี่อวิ๋นเหอในยามนี้สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ในใจดิ้นรน
ครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึกกล่าว “หลายปีมานี้ข้าถูกมองเป็นคนโง่ คนไร้ประโยชน์ ถูกหยามหน้าและโจมตีมากเกินไปแล้ว รสชาตินี้ข้าไม่อยากลิ้มลองอีก”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตามองไปที่พวกอวี่อวิ๋นเจิงแล้วกัดฟันกล่าว “ดูคนพวกนี้สิ ทั้งหมดล้วนเป็นคนในตระกูลของข้า แต่พวกเขากลับไม่เห็นข้าอวี่อวิ๋นเหออยู่ในสายตาสักนิด ถึงขั้นขวางข้าให้อยู่นอกประตูเขา!”
น้ำเสียงเจือความเดือดดาลเหลือคณา “หากให้พวกเขากลายเป็นผู้นำตระกูลน้อย ข้าคงไม่มีทางยกโทษให้ตัวเองไปชั่วชีวิต!”
สีหน้าของพวกอวี่อวิ๋นเจิงต่างอึมครึมลง
หลินสวินกลับยิ้มกล่าว “เช่นนั้นก็เหลือแค่หนทางสุดท้ายแล้ว”
เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
อวี่อวิ๋นเหอที่ขวางอยู่ข้างหน้า ถูกพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจขวางกั้นหอบพัดมาอยู่ข้างๆ
“พี่หลินเจ้า…”
อวี่อวิ๋นเหอตื่นตะลึง
“ดูไม่ออกหรือ พวกเขาไม่มีทางยอมให้คนชั่วอย่างข้าจากไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฉวยโอกาสนี้ ข้าจะช่วยเจ้าปัดกวาดขวากหนามพวกนี้เอง!”
พูดถึงตอนท้ายหลินสวินก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวกำชับ “ช่วยข้าดูแลหนานชิวให้ดี”
“คุยโวไม่กระดาก ลงมือ!”
อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มหยัน ตวาดออกคำสั่งลงมา
ตูม!
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลอวี่ทั้งหมดที่เตรียมตัวอยู่นานแล้ว ยามนี้ลงมือโดยไม่ลังเล
“ฆ่า!”
“ฆ่าเจ้าหมอนี่ซะ!”
เสียงตวาดราวอสนีบาตดังก้องไปทั่วทิศ
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลอวี่พวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่พวกอวี่อวิ๋นเจิงเตรียมมาอย่างดี มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันอริยะเก้าคนเป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังมีมกุฎมหาอริยะอีกมากมาย
ทันทีที่ออกโจมตี ฟ้าดินแถบนี้ก็สั่นสะเทือน สุริยันจันทราหม่นแสง
“เจ้าสาม ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพวกเราวางกระบวนรบใหญ่โตเช่นนี้ แต่กลับนำมาใช้จัดการมกุฎมหาอริยะแค่คนเดียวเท่านั้น ออกจะใช้คนไม่เป็นเกินไปหน่อยหรือไม่”
อวี่อวิ๋นหลงอดกล่าวไม่ได้
“ต้องจัดการในคราเดียว จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด”
อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ทุกคนอย่าลืมสิ ว่าเจ้าชั่วนี่เคยฆ่าผู้อาวุโสระดับราชันอริยะสองคนของสำนักปราณศิลาเมฆมาก่อน ไม่อาจดูหมิ่นได้เด็ดขาด”
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลอวี่ที่ลงมือในครั้งนี้ต่างเป็นผู้สนับสนุนของพวกเขา
อันที่จริงตระกูลเก่าแก่อย่างตระกูลอวี่ ข้างกายลูกหลานตระกูลที่เป็นเลิศแต่ละคนล้วนมีกำลังพลเป็นของตนเอง ด้วยอาศัยกำลังพลข้างกายพวกนี้ จึงทำให้พวกเขามีรากฐานไปแย่งชิงอำนาจของตระกูล
เหมือนอย่างอวี่อวิ๋นเจิง ในตระกูลเขาก็มีกำลังพลสนับสนุนมากมาย และเพื่อขยายอำนาจของตัวเอง เขายังแต่งงานกับหลันไฉ่อี เป็นการหา ‘คนนอก’ ที่แข็งแกร่งด้วย
จุดประสงค์ทั้งหมดล้วนทำเพื่อแย่งชิงสิทธิ์สืบทอดในตำแหน่งผู้นำตระกูลน้อยนั่น!
ลูกหลานตระกูลคนอื่นในที่นี้ก็เหมือนกัน
อวี่อวิ๋นเยี่ยนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงแค่นเสียงเย็นชาเหยียดหยาม “ข้ากลับอยากดูนักว่าเขามกุฎมหาอริยะคนเดียว จะฆ่าราชันอริยะได้อย่างไร”
จนถึงตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะเกิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้น
คนที่คิดเหมือนกับนางก็มีไม่น้อย
…
ขณะพูดคุยการต่อสู้ก็ปะทุขึ้นนานแล้ว
ตูม!
แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกระจาย แสงสมบัติดุจสายฝน
ระดับราชันอริยะมากมายออกโจมตี ภาพนั้นจะน่าหวาดกลัวระดับใด
ก็เห็นพลังกฎเกณฑ์ของเขตแดนทั่วฟ้าร้อยถักเข้าด้วยกัน วิวัฒน์เป็นลักษณ์ประหลาดไร้ใดเปรียบ เปล่งประกายเรืองรอง เข้าปกคลุมฟ้าดินแถบนี้จนสิ้น
เปลี่ยนเป็นมกุฎมหาอริยะคนอื่น เกรงว่าคงตกใจจนความกล้าทั้งมวลพังทลายไปนานแล้ว
แต่ยามนี้หลินสวินกลับไม่ถอยร่นแต่บุกเข้าไป พุ่งเข้าไปรับด้วยตนเอง
เงาร่างเขายากจับต้อง แสงมรรคไหลวนไปทั้งตัว สองมือกุมกระบี่อเวจีและกระบี่ยอดสังหาร พลังขับเคลื่อนภายในร่างส่งเสียงกัมปนาทไม่หยุด เหมือนเตาหลอมผลาญพิภพที่พลุ่งพล่าน
ยามต่อสู้กับหม่าไท่เจิ้น ต่อให้หลินสวินไม่ใช้สมบัติก็ยังกำราบอีกฝ่ายได้ในคราเดียว
แม้แต่ตอนที่ฆ่าราชันอริยะสองคนอย่างเหวยชงและไฉเฟิง หลินสวินก็ใช้แค่ดาบหักจบการต่อสู้ได้ในชั่วขณะเดียว
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินที่ใช้กระบี่คู่อย่างอเวจีและยอดสังหารตั้งแต่เริ่ม ย่อมไม่คิดจะออมมืออยู่แล้ว!
“ฟัน!”
กระบี่มรรคสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามา สำแดงพลังกฎเกณฑ์ของเขตแดนออกมาราวกับม่านนภาทิ้งตัวลง ปราณกระบี่หนาแน่นส่งเสียงครวญคร่ำ
หลินสวินวาดกระบี่ ท่ามกลางเสียงปะทะอึกทึกสนั่นหู กระบี่อเวจีแหวกผ่านม่านฟ้าปราณกระบี่ เหมือนนรกปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เคร้ง!
กระบี่มรรคสีเงินเล่มนั้นถูกฟันกระเด็นออกไป ระเบิดออกสนั่นหวั่นไหวกลางอากาศ
ราชันอริยะคนหนึ่งที่ควบคุมกระบี่นี้พลันกระอักเลือด เผยสีหน้าตกตะลึง แต่ไม่รอให้เขาได้หลบหลีก กระบี่อเวจีก็พุ่งเข้ามาราวกับเปิดประตูใหญ่สู่นรก
พรูด!
ฝนโลหิตสาดกระเซ็นราวน้ำตก
ราชันอริยะของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่คนนี้ตายคาที่ หลังจากถูกกระบี่อเวจีกวาดโดน ร่างกายก็กลายเป็นเถ้าถ่านกระจัดกระจาย
ในที่นั้นพลันแตกตื่น เสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่รู้เท่าไร
ลูกหลานตระกูลอวี่มากมายที่เดิมทีสงสัยในพลังต่อสู้ของหลินสวินอย่างยิ่ง ยามนี้ต่างเบิกตากว้าง ร่างกายแข็งทื่อไปหมด
สังหารราชันอริยะในหนึ่งการโจมตี?
อวี่อวิ๋นเจิงยังอดสูดหายใจหนาวเยือกไม่ได้ เขาก็ไม่เคยเห็นภาพที่หลินสวินสังหารพวกเหวยชงและไฉเฟิงกับตามาก่อน เดิมทีในใจก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
แต่ตอนนี้ดูท่าว่าทุกอย่างคงเป็นเรื่องจริง!
เจ้าคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนี้ ถึงกับมีพลังพลิกฟ้าที่ข้ามระดับมาสังหารราชันอริยะได้!
ตูม…
การต่อสู้ในที่นั้นยังปะทุระอุ หลินสวินสองมือถือกระบี่บุกตะลุยทั่วทิศ ปราณกระบี่กดข่มท้องฟ้า ทุกที่ล้วนแตกพ่าย
ฟุ่บๆๆ…
ภายใต้กระบี่ที่ไร้ใดเปรียบนั้น ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังแค่ระดับมกุฎมหาอริยะพวกนั้นถูกฆ่าตายคาที่ราวกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา หัวคนหล่นกลิ้ง น้ำเลือดแดงก่ำสาดพรม
ภาพนองเลือดต่างๆ นั้นช่างสะเทือนใต้หล้า!
“ไม่…!”
เพียงครู่เดียวก็มีราชันอริยะอีกคนกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดผวา จากนั้นทั้งตัวเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
สภาพการตายที่น่ากลัวนั้นทำเอาผู้คนกลัวจนตัวสั่นงันงก
“นี่เป็นไปได้อย่างไร”
“ขะ ขะ เขา…”
“น่าชังนัก!”
หน้าประตูเขา อวี่อวิ๋นเจิง อวี่อวิ๋นหลงและลูกหลานตระกูลทุกคนต่างไม่อาจรักษาความสุขุมเยือกเย็นได้ หน้าเปลี่ยนสีอย่างถึงที่สุด
เดิมทีพวกเขาคิดว่าแค่จัดการหลินสวินมกุฎมหาอริยะคนเดียวแต่กลับวางกระบวนรบยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นการทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เกินไปหน่อย
แต่ตอนนี้พวกเขาเพิ่งได้รู้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินอย่างสุดซึ้ง
มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งข้ามระดับมาต่อสู้กับราชันอริยะได้ ก็เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าแล้ว
แต่หลินสวินนั่นไม่เพียงแต่ข้ามระดับมาต่อสู้ ยังทำให้ระดับราชันอริยะที่ถือครองพลังเขตแดนมรรคดูไม่เอาไหนในมือเขาได้ ถูกจู่โจมสังหารอย่างรวดเร็วรุนแรง
ภาพการฆ่าฟันเย้ยฟ้านั่นน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง เข้าปกคลุมจิตใจของพวกอวี่อวิ๋นเจิง
ร่างกายของพวกเขาสั่นงันงก นิ่งอึ้งราวกับรูปปั้นดิน
คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน เลือดดุจสายฝนเข้าปกคลุม ณ ที่นั้น เสียงร้องโหยหวน หวาดผวา สิ้นหวังดังต่อเนื่องเป็นระลอก
หลินสวินในยามนี้ผงาดผยองไร้คู่ต่อกร มาดสง่างามที่หาใดเปรียบนั้น กลายเป็นสิ่งเดียวที่ยืนหยัดอยู่กลางฟ้าดิน
ริมฝีปากของอวี่อวิ๋นเหอสั่นระริก อ้าปากอยากจะพูด
หนานชิวกล่าวเงียบๆ “ในเผ่าของพวกเรามีสำนวนที่พูดต่อกันมานานแล้วประโยคหนึ่ง บนหนทางมุ่งสู่อำนาจอันสูงสุด จำเป็นต้องมีสีเลือดเป็นฉาก ปกคลุมไปด้วยซากศพ พี่หลินกำลังช่วยเจ้า หากเจ้าพูดขวางตอนนี้ คงได้แต่ทำให้เขาหดหู่ใจ”
อวี่อวิ๋นเหออึ้งงัน นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
ตูม!
ในที่นั้นมีเสียงสะท้านฟ้าปั่นป่วน
คันฉ่องปกป้องหัวใจที่อยู่เบื้องหน้าราชันอริยะคนหนึ่งถูกผ่าแตกละเอียด ทั้งตัวถูกปราณกระบี่ไร้ใดเปรียบบดจนเลือดเนื้อแหลกเหลว
ตั้งแต่เปิดศึกมาถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่นี่ก็เป็นราชันอริยะคนที่ห้าที่ถูกสังหารแล้ว!
พวกอวี่อวิ๋นเจิงเสียอาการอย่างถึงที่สุด อารมณ์สูญเสียการควบคุม หวาดกลัวทำอะไรไม่ถูกเหมือนมดฝูงหนึ่งที่อยู่บนหม้อร้อน
นี่คือหน้าประตูใหญ่ตระกูลอวี่ของพวกเขา
แต่ตอนนี้ที่นี่กลับมีโลหิตหลั่งอย่างต่อเนื่อง เปิดฉากการเข่นฆ่านองเลือด!
“เร็วเข้า รีบไปเชิญคนใหญ่คนโตในตระกูลมา!”
อวี่อวิ๋นเจิงตะโกนลั่น
สถานการณ์ตอนนี้มาถึงขั้นร้ายแรงหาใดเปรียบแล้ว หากไม่ขัดขวางอีก ต่อให้สุดท้ายพวกเขารอดชีวิตไปได้ แต่ต้องถูกลิขิตให้แบกรับผลที่ตามมาซึ่งรุนแรงจนไม่อาจจินตนาการได้แน่
แต่ไม่นานก็มีคนส่งข่าวกลับมาอย่างตื่นตระหนก “แย่แล้ว กระบวนค่ายกลพิทักษ์ตระกูลในภูเขาไม่รู้ถูกใครเปิดใช้ ส่งข่าวไปในตระกูลไม่ได้เลย”
“อะไรนะ”
นี่ก็เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้พวกอวี่อวิ๋นเจิงอึ้งงันแล้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ทำไมกระบวนค่ายกลใหญ่พิทักษ์ตระกูลถึงถูกเปิดใช้ ทั้งยังไม่อาจส่งข่าวกลับไปได้ด้วย
ตูม!
ห่างออกไป ศึกนองเลือดยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่จำนวนของศัตรูที่ล้อมโจมตีหลินสวินเริ่มเปลี่ยนเป็นน้อยลงแล้ว
บนพื้นดินเต็มไปด้วยแอ่งโลหิต มีซากศพนอนก่ายกันอยู่ไม่รู้เท่าไร!
“เร็วเข้า ถอยกลับไปที่ประตูเขา ข้าไม่เชื่อว่าคนใหญ่คนโตในตระกูลพวกนั้นจะมองดูพวกเราถูกศัตรูภายนอกคนหนึ่งสังหารตาปริบๆ!”
อวี่อวิ๋นเจิงคำราม ดวงตาปูดโปนแทบถลน
ขณะกล่าวเขาชิงถอยก่อนแล้ว คนอื่นตกใจสุดขีดนานแล้ว สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เห็นดังนี้ก็ลนลานถอยกันหมด
แม้แต่คู่ต่อสู้ที่ห้ำหั่นอยู่กับหลินสวินนั้น แต่ละคนก็ต่างลนลานแล้ว ถอยตัวหลบหนีหัวซุกหัวซุน ไม่กล้าฝืนปะทะอีก
“อยากตามไปไหม”
แววตาของหลินสวินล้ำลึก หันหน้ากลับมามองอวี่อวิ๋นเหอที่อยู่ห่างออกไป
ใต้ฝ่าเท้าเขาเลือดหลั่งรินเป็นสายน้ำ ซากศพกองพะเนิน บนกระบี่คู่อเวจีและยอดสังหารมีมุกโลหิตสีแดงสดหลั่งชโลม
ตัวเขาเหมือนเทพมาร เผด็จการเหนือโลก!
….