ครั้งนี้หนานกงมั่วมองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน ความโกรธพุ่งขึ้นมา หนานกงมั่วพุ่งเข้าไปด้านหน้า กัดคอเขาโดยไม่คิดลังเล
กึก
ถูกกัดเข้าที่จุดบอบบางที่สุด เว่ยจวินมั่วย่อมรู้สึกเจ็บขึ้นมา ทว่ากลับมิได้ต่อต้านหรือผลักนางออก อีกทั้งยังยกมือขึ้นไปรวบนางเข้าสู่อ้อมกอด ยกมือขึ้นไปลูบแผ่นหลังนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน “อู๋สยา เล่าเรื่องที่เจ้าไปฝั่งตรงข้ามให้ข้าฟังนะ”
เมื่อเจอกับความอ่อนโยนและใจเย็นของอีกฝ่าย หนานกงมั่วจึงยอมปล่อยเขาด้วยท่าทีไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แอบเอาหน้าแดงๆ ของตนซุกลงในที่ที่เขามองไม่เห็น นาง…นางลามกถึงเพียงนี้เลยหรือ คอยคิดเอาเปรียบเขาตลอดเวลาที่มีโอกาสเลยหรือ
แม้ปากจะบ่นพึมพำไม่พอใจ แต่นางเหนื่อยแล้วจริงๆ พิงซบลงบนอกเขาอย่างสบาย เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันมานี้ เริ่มต้นน้ำเสียงของนางยังชัดเจน ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เงียบหายไป เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมองหญิงสาวในอ้อมแขนก็เห็นว่าเปลือกตาของนางปิดสนิท เข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้างดงามยังคงดูซีดเซียวไร้สีเลือด สตรีที่ดูอ่อนโยนและบอบบางกลับไม่ลังเลที่จะทำในสิ่งที่บุรุษไม่กล้าที่จะทำ สตรีแปลกประหลาดผู้นี้
จ้องมองริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อของคนที่กำลังหลับสนิท หัวใจเว่ยจวินมั่วสั่นไหว โน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากเล็กเบาๆ ชะงักไปชั่วครู่ อดส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้ให้กับการเสียการควบคุมของตนเอง
เสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบก้าวเข้ามาใกล้ เว่ยจวินมั่วจึงยกมือลูบหนานกงมั่วที่เกือบจะรู้สึกตัวตื่นอย่างปลอบโยนเบาๆ พร้อมกับเงยหน้ามองผู้มาใหม่ไปด้วย หญิงสาวผู้ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราขมวดคิ้ว ไม่นานก็ผ่อนคลายลง
หนานกงฮุยมองทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย แม้จะคุ้นเคยกันมาสักระยะแล้ว ทว่าในสายตาของเขานั้นเว่ยจวินมั่วเป็นคนเย็นชาสันโดษ มีใบหน้าเฉยเมย ปกติแล้วแม้แต่การนั่งยังต้องนั่งหลังตรง ไหนเลยจะเคยคิดว่าเขาจะมานั่งอยู่บนพื้นหญ้าเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในอ้อมแขนของเขายังมีหญิงงามนอนหลับสนิทอยู่ด้วย ภาพนี้ช่างทำให้คนสะเทือนใจจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ข่าวแม่ทัพเว่ยอุ้มหญิงสาวจะกระจายไปทั่วกองทัพในระยะเวลาเพียงไม่นาน
แต่ว่าความสัมพันธ์ของมั่วเอ๋อร์และเว่ยจวินมั่วดีขนาดนี้ตั้งแม่เมื่อไรกัน
เหลือบมองไปเห็นรอยฟันที่ลำคอของเว่ยจวินมั่วโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าของหนานกงฮุยพลันแดงขึ้น
“มีเรื่องอันใด” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา
หนานกงฮุยโบกมือ หันหลังกลับเตรียมเดินออกไป “ไม่มีอันใด…แค่จะมาบอกว่ากระโจมของมั่วเอ๋อร์จัดเตรียมเสร็จแล้ว”
“ทราบแล้ว” เว่ยจวินมั่วพยักหน้า อุ้มหนานกงมั่วขึ้น เดินกลับไปตามทาง
หนานกงฮุยเดินอยู่เคียงข้างเขา มองหนานกงมั่วด้วยท่าทีประหลาดใจ “ไยนางจึงหลับแล้วเล่า”
เว่ยจวินมั่วตอบ “นางคงเหนื่อยแล้ว”
หนานกงฮุยไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาทำเรื่องน่าตกใจเพียงใด คิดว่านางเหนื่อยเพราะการเดินทางมาที่นี่ พยักหน้ารัวเร็ว “เช่นนั้นรีบพานางกลับไปพักผ่อนเถิด เรื่องนั้น…เอ่อ…” หนานกงฮุยลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาตามความคิดของตน “พวกเจ้าระวังหน่อย อย่างไรก็ยังไม่เข้าพิธีแต่งงาน ไม่ดีต่อชื่อเสียงของมั่วเอ๋อร์เท่าใดนัก”
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเขาเล็กน้อย จากนั้นอุ้มหนานกงมั่วก้าวเดินเร็วๆ ผ่านเขาไป
นี่คือท่าทีที่มีต่อพี่รองของภรรยางั้นหรือ!
หนานกงมั่วรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว หนานกงมั่วลุกขึ้นนั่งพลางส่ายศีรษะไปมาเพราะยังรู้สึกมึนศีรษะอยู่เล็กน้อย นางยกมือขึ้นนวดขมับ สุดท้ายพบว่าตนเองนั้นเป็นหวัดเสียแล้ว มิน่าเล่ายังไม่ทันลืมตานางก็ได้กลิ่นยาคละคลุ้งไปทั่ว ในปากก็รู้สึกแปลกๆ พึ่งลุกขึ้นนั่ง ม่านของกระโจมก็ถูกเปิดออก เว่ยจวินมั่วเดินถือถ้วยยาเข้ามา มองนางนิ่งๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าตื่นแล้วหรือ”
หนานกงมั่วตกใจเล็กน้อย “ไยจึงเป็นท่านที่เอายามาส่งเล่า”
“ในกองทัพไม่มีสาวใช้” ไม่มีสาวใช้หมายถึงย่อมไม่มีคนดูแลหนานกงมั่ว ดังนั้นหน้าที่ดูแลหนานกงมั่วจึงเป็นของหนานกงฮุยที่เป็นพี่ชายและเว่ยจวินมั่วที่เป็นว่าที่สามี ความจริงหนานกงฮุยดูจะมีอำนาจมากกว่า ทว่าน่าเสียดายที่สติปัญญานั้นสู้ใครบางคนมิได้จึงต้องรับหน้าที่เข้าเมืองไปหายาที่ยังขาดอยู่มาให้
“ดื่มเถิด” ส่งยาใส่มือให้หนานกงมั่วเสร็จแล้วจึงนั่งลงด้านข้าง หนานกงมั่วรับถ้วยยามาดมกลิ่นเล็กน้อย “เชียงหัวเซิ่งซือทังจริงด้วย หมอท่านใดจัดยาให้หรือ”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “หมอประจำกองทัพ” เขาจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าอีกฝ่ายจัดยาอะไรให้ เว่ยซื่อจื่อมีสิ่งที่เชี่ยวชาญมากมาย แต่สิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญก็มีไม่น้อย อย่างน้อยวิชาการแพทย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ หนานกงมั่วยกถ้วยยาคืนกลับไป “ไม่ดื่ม”
“เจ้าป่วย ไม่ดื่มยาจะดีขึ้นได้เยี่ยงไร” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม “หรือว่าคนเป็นหมอเช่นพวกเจ้ายังมีกฎห้ามใช้ยาของหมอท่านอื่นอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ดื่มเข้าไปแล้วก็ไม่หาย ท่านไปบอกหมอว่าให้เพิ่มฝังเฟิงอีกสองส่วน เพิ่มตู๋หัวไปอีกครึ่งเฉียน[1] กานเฉ่าเพิ่มอีกหนึ่งเฉียน” เว่ยจวินมั่วรู้ว่าหนานกงมั่วนั้นเก่งเรื่องการแพทย์ จึงพยักหน้าตอบรับแล้วเดินออกไป ทว่าหมออาวุโสแห่งกองทัพกลับไม่พอใจ เดินพุ่งเข้าไปหาหนานกงมั่วด้วยความโกรธ ตั้งใจจะไปคุยกับหนานกงมั่วให้รู้เรื่อง ทว่าเมื่อเข้าไปด้านในกระโจมก็พบว่าหนานกงมั่วกำลังฝังเข็มให้ตนเอง ความโกรธที่ปะทุอยู่ในใจพลันชะงักไป หากถูกรบกวนการฝังเข็ม เช่นนั้นผลที่ตามมาย่อมมีไม่มากก็น้อย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้หนานกงมั่วถอนเข็มเงินนั่นออก ชายชราจึงตะโกนเสียงดังอย่างอดไม่ได้ “เหลวไหลสิ้นดี เหลวไหล”
หนานกงมั่วกลอกตา “เหลวไหลอย่างไรหรือ”
นิ้วชายชราที่ชี้มายังหนานกงมั่วนั้นสั่นระริก “เจ้า…เจ้าช่างกล้าฝังเข็มที่ศีรษะตนเอง”
นางยังกล้าฝังเข็มที่หลังตัวเองด้วยนะ หนานกงมั่วบ่นอยู่ในใจ
“อีกอย่าง ยาที่ข้าออกให้นั้นมันไม่ดีอย่างไร ไยต้องเพิ่มอีก หากยาเข้มเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายเจ้าไม่รู้หรือ แม่นางเรียนการแพทย์มาน้อยนิดแล้วคิดเหลวไหลเอาอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วเองมิได้โกรธ ยิ้มจนตาหยี “ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ข้าดีขึ้นแล้ว ดื่มซังจวี๋อิ่นสักนิดก็พอแล้ว”
หมออาวุโสจ้องนางเขม็ง “เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นหมอ” หนานกงมั่วยื่นแขนออกไปเพื่อบอกใบ้ให้เขาตรวจดูชีพจร หมอยื่นมือไปจับชีพจรของนางด้วยท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเพราะเมื่อกลางวันนางยังมีไข้จนตัวแดงก่ำ ตามหลักแล้วตื่นมายามนี้จะต้องอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงถึงจะถูก แต่เมื่อตรวจดูชีพจรกลับพบว่าดีขึ้นไม่น้อยแล้ว หนานกงมั่วยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ท่านหมอ ข้าเรียนกำลังภายใน ร่างกายแข็งแรง ต่อให้จ่ายยาเข้มข้นขึ้นมาหน่อยก็รับไหว ท่านจ่ายยาที่เอาไว้สำหรับคุณหนูแบบนั้น จะให้ข้านอนซมไปกี่วันกันเล่า”
หมอส่งเสียงหึเบาๆ “แล้วเจ้าจะเพิ่มกานเฉ่าตั้งเยอะไปทำไมกันเล่า”
หนานกงมั่วตอบตามตรง “นั่นมิใช่เพราะยามันขมหรืออย่างไร”
เคราของหมอสั่นสะท้าน มองบางคนที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเดินหนีออกไป ก่อนจากไปยังไม่ลืมจ้องเว่ยจวินมั่วที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังนางด้วย มองเห็นท่านหมอเดินสะบัดผ้าม่านของกระโจมอย่างแรงจนมันสั่นไหวไม่หยุด หนานกงมั่วจึงหัวเราะออกมา จากนั้นค่อยหันกลับไปมองเว่ยจวินมั่วที่เดินเข้ามาหาตนเอง รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไร้เหตุผล พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงห่มผ้าคลุมตัวจนมิด “ข้ายังอยากนอนพักอีกสักหน่อย ท่านออกไปก่อนเถิด”
——————————————————–
[1] เฉียน หมายถึง หน่วยน้ำหนัก (เท่ากับสลึงของไทย)