หนานกงมั่วกวาดตามองชายวัยกลางคนผู้นั้น เอ่ยบอก “เยี่ยม พวกท่านล้วนแล้วแต่เป็นทหารเก่า ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสอน ยี่สิบคนจับคู่สองคนไปแยกคนที่บาดเจ็บที่ผิวหนังธรรมดาออกมา มาเอายาที่ข้าแล้วไปทำแผลให้พวกเขา สิบหกคนจับคู่สองคนเช่นกัน แยกคนเจ็บหนักต้องการการรักษาโดยด่วนออกมา ส่งไปให้ท่านหมอตรงนั้น ที่เหลือสี่คน ตามข้ามา”
ชายวัยกลางคนยักไหล่ กำลังจะเดินออกไป แต่ถูกหนานกงมั่วเอ่ยเรียกไว้ “ช้าก่อน เจ้ามากับข้า”
ชายวัยกลางคนหันมามองหนานกงมั่วชัดๆ “คุณหนูหนานกง ข้ากำลัง…”
“เจ้ามากับข้า” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบแล้วหันกลับไปออกคำสั่งกับฝัง “เจ้าดูพวกเขาด้วย”
เอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไป ชายวัยกลางคนผู้นั้นทำท่าจะเอ่ยบางอย่างขึ้นมาอีก ทว่าถูกเวยใช้ปลายดาบคมจี้ไปที่แผ่นหลัง จำต้องยักไหล่อย่างยินยอมและเดินตามหนานกงมั่วไป
หนานกงมั่วพาพวกเขาเดินมายังกระโจมที่ใช้ในการรักษา ด้านในกำลังวุ่นวายทีเดียว หมอและลูกศิษย์นับสิบกำลังเดินสวนกันไปมา ด้านในกระโจมล้วนแล้วแต่เป็นเสียงร้องโอดครวญ ส่วนด้านนอกกระโจมก็มีผู้บาดเจ็บมากมาย มีทั้งที่ตายไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่
“ท่านหมอ” หนานกงมั่วเดินเข้าไปหาหมอที่กำลังคุกเข่าตรวจอาการนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก หมอชราหันกลับมามองนางเล็กน้อยจากนั้นก็หันกลับไป เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้าเด็กนี่มาทำอันใด…ไม่สิ เด็กนี่รู้วิชาการแพทย์ เร็ว…เจ้ามาดูนี่สักหน่อย”
“ทำไมหรือ” หนานกงมั่วคุกเข่าตามลงไป ชายชราเอ่ย “ถูกฟันไปหนึ่งครั้ง กระดูกหัก ยังห้ามเลือดไม่ได้”
“ยาห้ามเลือดเล่า” หนานกงมั่วขมวดคิ้ว ชายชราถลึงตามองนาง เอ่ยตอบ “ถ้ายาห้ามเลือดมีประโยชน์ข้าจะมามัวเสียเวลากับเจ้าทำไมกัน ยิ่งไปกว่านั้น…เจ้าคิดว่ายาชั้นสูงเช่นนั้นจะเอามาใช้กับใครก็ได้หรือ” นายทหารธรรมดาใช้ได้เพียงยาทั่วไปเท่านั้น ยาวิเศษพวกนั้นล้วนแล้วแต่เก็บเอาไว้ให้นายทหารชั้นนายพลหรือแม่ทัพเท่านั้น มิใช่ว่าพวกเขาเป็นหมอไร้น้ำใจแต่ทว่าพวกเขาเองก็จนปัญญา
หนานกงมั่วพูดไม่ออกชั่วครู่ จากนั้นหนานกงมั่วจึงยื่นมือขวากดลงจุดฝังเข็มบริเวณบาดแผลของนายทหารผู้นั้นด้วยน้ำหนักมืออันแผ่วเบาราวกับกระแสลม ขณะเดียวกันเข็มสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของนาง แทงเข็มลงไปโดยไม่คิดลังเล ชายชราดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองเข็มในมือของหนานกงมั่วพร้อมเอ่ยถาม “วิชาฝังเข็มเฉียนคุนผู่ตู้งั้นหรือ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ท่านหมอ ถ้าท่านยังไม่ต่อกระดูกอีกเขาจะเป็นลมเพราะความเจ็บปวดแล้วนะเจ้าคะ”
หมอชราได้สติ ฉีกทึ้งความคิดและตั้งใจต่อกระดูกให้นายทหารผู้นั้น
หนานกงมั่วบ่นอยู่ในใจ วิชาฝังเข็มเฉียนคุนผู่ตู้ ชื่อนี้ช่างเป็นชื่อที่มีเมตตา สวรรค์รู้ดีว่าที่นางต้องทนลำบากเรียนวิชาฝังเข็มนั้นมิใช่เพื่อช่วยชีวิตคน ทว่าเพื่อฆ่าคนต่างหาก สังหารให้ตายในเข็มเดียวให้ความรู้สึกดีกว่าใช้มีดใช้ดาบต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
นายทหารผู้นี้บาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงกระดูกหัก เอวยังถูกฟันจนเป็นแผลใหญ่ หนานกงมั่วมองหมอชราที่มีสีหน้าจริงจัง ถอนหายใจอย่างจำยอม “ข้าต้องการยาสักหน่อย”
หมอชราไม่เงยหน้าขึ้นมาเมื่อเขาเอ่ยเรียกลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง “ไป๋จื่อ เด็กคนนี้ต้องการสิ่งใดก็พานางไปหยิบเสีย”
หนานกงมั่วหยิบใบสั่งยาออกมาส่งให้ชายวัยกลางคนด้านหลัง “พาเขาไปเอายา ตั้งหม้อสองสามหม้อในค่ายเพื่อต้มยา นายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพียงผิวกายทางที่ดีให้ดื่มคนละถ้วย นอกจากนั้นก็เตรียมผ้าพันแผลและด้าย จำเอาไว้ว่าต้องใช้น้ำร้อนต้มด้วย” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว “ข้าไม่รู้หนังสือ”
“ถามเวย หากเกิดอะไรผิดพลาด ข้าจะเอาชีวิตเจ้า” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
ชายวัยกลางคนใบหน้าถอดสี ไม่เอ่ยสิ่งใดอีกรีบหมุนตัวเดินออกไป และไม่ได้ไปถามเวย เห็นได้ชัดว่าคำว่าไม่รู้หนังสือนั่นไม่เป็นความจริง
หมอชรามองหนานกงมั่วด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าหนานกงมั่วต้องการเพียงยา หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “แม้ข้าจะหวงแหนชีวิตของข้า เวลานี้ก็ไม่คิดแย่งยาของบรรดาทหารเหล่านี้” ขณะที่เอ่ยก็นั่งกลับลงไปบนพื้นอีกครั้ง รับเอาสุราแรงและผ้าพันแผล รวมถึงยาสมุนไพรต่างๆ ที่ลูกศิษย์เอามาให้ แล้วนำมาจัดการแผลบาดเจ็บนั่นภายใต้ความตกตะลึงของลูกศิษย์
“ข้าต้องล้างแผลให้สะอาด เจ้าทนสักหน่อย” มองใบหน้าซีดเซียวของนายทหารผู้นั้น หนานกงมั่วเอ่ยบอกเสียงเรียบ
บางทีอาจเพราะกำลังตกตะลึงกับวิชาฝังเข็มของหนานกงมั่ว นายทหารผู้นั้นจึงมิได้ตอบสนองมากมายแต่อย่างใด เพียงพยักหน้าตอบรับเบาๆ ส่วนทางด้านข้าง หมอชราเองก็จัดการต่อกระดูกเรียบร้อย ยืนมองหนานกงมั่วจัดการกับบาดแผลอยู่ตรงนั้น
ความเจ็บปวดเมื่อแผลถูกล้างด้วยสุราแรงทำให้นายทหารร้องเสียงดังออกมาอย่างทนไม่ไหว กระนั้นมือของหนานกงมั่วกลับไม่สั่นเลยสักนิด รีบใส่ยาและพันแผลอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานแผลที่เดิมเลือดไหลไม่หยุดก็ถูกทำความสะอาดจนเสร็จเรียบร้อย
“เจ้าเด็กคนนี้…น่าสนใจไม่น้อย” หมอชรามองหนานกงมั่วที่ลุกยืนขึ้นพลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทางคล้ายกำลังคิดบางสิ่งอยู่
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสชื่นชมเกินไปแล้ว”
หมอชราส่งเสียง หึ เบาๆ หมุนตัวหันกลับไปดูแลแผลให้คนไข้คนอื่นๆ
หนานกงมั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หันไปยังด้านข้าง ครั้งนี้เป็นเวยที่คอยยืนช่วยเหลืออยู่ด้านหลัง สถานการณ์ยังคงชุลมุนวุ่นวาย มีคนไม่มากนักที่จะสังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังวิ่งวุ่นทำหน้าที่หมอช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ
หนานกงมั่วเห็นว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว จึงหันกลับมาเขียนใบสั่งยาที่ใช้กับบาดแผลภายนอกแล้วให้คนไปเอายามา อีกทั้งยังสอนคนอื่นๆ ถึงการพันผ้าพันแผล นายทหารพวกนั้นแม้ส่วนใหญ่จะเป็นทหารอันธพาล เดิมคิดว่าหนานกงมั่วเป็นคุณหนูที่วิ่งแจ้นมาเที่ยวในสนามรบ ยามนี้เห็นว่านางช่วยเหลือคนด้วยความจริงใจ และวิธีที่สอนพวกเขานั้นก็มีประโยชน์ทีเดียว ยามนี้จึงวางความขุ่นเคืองใจและเต็มใจเชื่อฟังคำสั่งของนาง
หลังจากนั้นจึงมีนายทหารที่ว่างอยู่ติดตามเข้ามาช่วยเพิ่มมากขึ้น นายทหารที่มิได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแล้วจึงมาคอยช่วยหมอเพื่อดูแลนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้นอีกแรงหนึ่ง
หนานกงมั่วนั่งคุกเข่าช่วยดูแลแผลให้กับทหารที่ถูกตัดข้อมือ เอ่ยเสียงเรียบ “ช่วงนี้ระวังหน่อย อย่าให้โดนน้ำ พรุ่งนี้อย่าลืมไปเปลี่ยนยาที่กระโจมท่านหมอด้วย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ยืนกอดอกด้วยท่าทางเกียจคร้าน “คุณหนูใหญ่ ท่านพูดไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ถูกตัดมือไปหนึ่งข้าง ต่อไปก็กลายเป็นคนพิการ มีชีวิตต่อไปก็ลำบาก ตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
มองเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของนายทหารอายุน้อยผู้นั้น หนานกงมั่วเงียบไม่เอ่ยอันใด ความสามารถของคนมีขีดจำกัด สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการรักษาชีวิตของเขาเอาไว้เท่านั้น นางจึงหันกลับไป จ้องชายวัยกลางคนผู้นั้นด้วยใบหน้าเยือกเย็น “ถ้าตอนนี้ข้าตัดมือเจ้า เจ้าจะตายหรือไม่”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ฝืนยิ้มพลางตอบ “ข้าปากเสีย ขอคุณหนูโปรดอภัยด้วยขอรับ”
หนานกงมั่วยกมือขึ้นตบไหล่นายทหารคนนั้นเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรก็ต้องมีความหวัง หากตายไปก็จะไม่เหลือสิ่งใดเลย” เอ่ยจบก็ไม่สนใจชายน่าเบื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังอีก ลุกขึ้นและเดินจากไป ชายวัยกลางคนผู้นั้นมองตามแผ่นหลังของนางไป นิ่งคิดเนิ่นนาน สีหน้าสับสนขึ้นมา จากนั้นจึงทำตามหนานกงมั่ว ยกมือขึ้นตบไหล่ชายคนนั้นเบาๆ “น้องชาย เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วย คุณหนูใหญ่ผู้นั้นกล่าวไม่ผิดเลย หากตายไปก็ไม่เหลือสิ่งใดเลย ถ้ายังมีชีวิต ไม่แน่ว่าอาจจะมีความหวัง ใครจะรู้กันเล่า” กว่าเว่ยจวินมั่วจะพาร่างกายที่เปรอะเปื้อนกลับมาได้ฟ้าก็มืดเสียแล้ว กระโจมใหญ่สว่างเจิดจ้าด้วยแสงจากเปลวไฟส่องสะท้อนให้เห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา นัยน์ตาสวยปิดสนิท ดูนิ่งสงบ ทำให้กระโจมใหญ่ที่ดูธรรมดากลายเป็นสถานที่ที่เงียบสงบขึ้นมา ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วสั่นไหว ความนุ่มนวลและอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น