หนานกงมั่วถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ศิษย์พี่…เรื่องเล็กน้อยอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ได้หรือไม่ จวินมั่วดุข้าไปแล้วนะ”
“…” ข้าดุเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน
“เขากล้าดุเจ้าหรือ” ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะมองไปยังใครบางคน
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ เบี่ยงหน้าหลบ “ถึงเวลาต้องไปแล้ว” ฝากความหวังไว้มิได้จริงๆ หากเขาพอมีประโยชน์บ้าง ไหนเลยอู๋สยาจะต้องไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น
เห็นแก่สมบัติ กลับมาข้าจะจัดการเจ้า คุณชายเสียนเกอผลักสิ่งที่อยู่ในมือกลับคืนไปนิ่งๆ หันกลับไปหาหนานกงมั่ว “อย่าคิดบ่ายเบี่ยง ใครใช้ให้เจ้าวิ่งไปหาจินผิงอี้”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่ เมื่อก่อนข้าทำอะไรท่านก็ไม่เคยว่า หรือว่าท่านไม่เชื่อใจข้าแล้ว ท่านทำสิ่งใดข้าเองไม่เคยว่า อย่าลืมล่ะว่าท่านไป…อือหึ ข้าก็มิเคยบอกอาจารย์กับอาจารย์อาเลยนะ”
คุณชายเสียนเกอลูบจมูก กระแอมไอเบาๆ กล่าว “บุตรีที่แต่งออกไปแล้วเป็นของใคร อย่างไรเสียต่อไปเรื่องของเจ้าก็ไม่ต้องให้ข้ายุ่งแล้ว”
…
เดิมควรเป็นกลางดึกที่เงียบสงัด แต่ชานเมืองฝั่งตะวันตกของจิ่นโจวกลับดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เหล่าจอมยุทธ์ไปๆ มาๆ บริเวณนอกค่ายชานเมืองฝั่งตะวันตก ทำให้ทหารที่ทำการอยู่ด้านในระแวดระวังมากขึ้น ทั่วทั้งค่ายทหารสว่างจ้า ในมุมมืดมุมหนึ่ง หนานกงมั่วที่ยืนอยู่ข้างเว่ยจวินมั่วทอดสายตามองไปยังค่ายทหารที่อยู่ไกลออกไป “คนมากมายเพียงนี้ จะเข้าไปได้เช่นไร”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ยามนี้แม้จะหาพบแล้วก็จริง แต่พวกเราก็ยังนำเอาสมบัติพวกนั้นไปไม่ได้หรอก” คิดจะเอาสมบัติออกมาโดยผ่านด่านทหารนับหมื่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน นั่นมิใช่อัญมณีหนึ่งก้อน กระบี่หนึ่งเล่ม หรือตั๋วเงินหนึ่งใบ เพียงการขนย้ายก็ไม่รู้ต้องใช้คนมากมายเพียงใด คิดจะเอาสมบัติออกไปท่ามกลางทหารเป็นหมื่นใช่เรื่องง่ายดายที่ไหนกัน
“พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะมีคนรีบกว่าพวกเรา” เว่ยจวินมั่วเอนตัวพิงต้นไม้ด้านหลัง เอ่ยเสียงเรียบ
ที่ห่างออกไปเล็กน้อย คุณชายเสียนเกอยืนอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ หัวเราะออกมาพลางเอ่ย “เจ้าคิดจะฉวยโอกาสหรือ จินผิงอี้มิใช่คนโง่หรอกนะ”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
อีกด้านหนึ่ง จินผิงอี้และกงอวี้เฉินยืนอยู่ในมุมมืดมองดูค่ายทหารที่ครึกครื้นอยู่เช่นกัน คิ้วคมของจินผิงอี้ขมวดมุ่น “มีสมบัติอยู่ในค่ายทหารจริงหรือ ว่ากันว่าค่ายทหารถูกสร้างไว้ชั่วคราวเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เหมือนสถานที่ซ่อนสมบัติเลยนะ”
กงอวี้เฉินยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าสำนักจินคิดว่าไยจังติ้งฟังจึงต้องตั้งค่ายทหารชั่วคราวไว้ที่นี่กันเล่า ที่นี่ภูมิประเทศดีหรือ หรือว่าเส้นทางสะดวกสะบาย ต่อให้สมบัติมิได้อยู่ที่นี่ อย่างน้อยย่อมต้องอยู่ในระยะห้าลี้ในบริเวณนี้”
“ท่านมีความมั่นใจกี่ส่วน” จินผิงอี้เอ่ยถาม กงอวี้เฉินเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยตอบ “แปดส่วน”
“แปดส่วนงั้นหรือ” จินผิงอี้คิด พยักหน้าเบาๆ “เพียงพอแล้ว แต่ว่า…เราจะนำเอาสมบัติออกมาเช่นไรเล่า”
กงอวี้เฉินหัวเราะ “ไยเราต้องเอาสมบัติออกมา ข้าเพียงต้องการมั่นใจว่าสมบัติอยู่ที่นี่ แน่นอนว่ามีเวลาค่อยๆ ขนย้าย สำหรับจอมยุทธ์พวกนั้น… มีจอมยุทธ์มากไป ตายกันไปเสียบ้างก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ได้ยินน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนของกงอวี้เฉิน ไม่รู้ทำไมจินผิงอี้ถึงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา ไม่นานจึงกัดฟันเอ่ย “ดี ตามที่เจ้าว่า หวังว่าเจ้าสำนักกงจะรักษาคำพูด”
กงอวี้เฉินยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว อนาคตข้ายังมีหลายอย่างที่ต้องพึ่งพาเจ้าสำนักจิน ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” จินผิงอี้แปลกใจ กงอวี้เฉินยิ้ม “ท่านคงไม่คิดว่าสมบัติจะอยู่ในค่ายทหารจริงๆ หรอกใช่ไหม ท่านพูดเอง ค่ายทหารดูไม่เหมือนที่เก็บสมบัติ เช่นนั้น…ที่เหลือจะเป็นที่ไหนได้อีก”
“…วัดซั่งหลิน” จินผิงอี้กดเสียงต่ำ
กงอวี้เฉินหัวเราะเบาๆ ร่างสีดำกลายเป็นเงามืดพุ่งขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว
ในจวนแม่ทัพเฉินโจว
“ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งขอรับ” นายทหารถือจดหมายเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
จังติ้งฟังขมวดคิ้ว รับจดหมายในมือของนายทหารมา เป็นจดหมายธรรมดาๆ ไม่ว่าจะเป็นตราประทับซองหรือตัวอักษร ไม่มีอะไรโดดเด่นแม้แต่น้อย “มาจากไหน”
“เมื่อสักครู่มีคนยิงมาที่ประตูขอรับ มีคนตามไปแล้ว” แต่โอกาสที่จะตามจับได้มีไม่มากนัก
จังติ้งฟังพยักหน้าพลางเอ่ยสั่ง “เจ้าออกไปก่อน”
นายทหารเดินออกไปด้วนท่าทางนอบน้อม จังติ้งฟังมองจดหมายอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงยื่นมือไปฉีกเปิดออก ด้านในมีกระดาษบางๆ หนึ่งแผ่น ในกระดาษเต็มไปด้วยตัวอักษร และหน้าซองจดหมายนั่นทำให้จังติ้งฟังต้องตกละลึง เบิกตากว้างขึ้น
ปัง! จังติ้งฟังตบลงบนโต๊ะหนักๆ สูดลมหายใจหนัก “ทหาร ให้คนไปเชิญกุนซือมา”
ไม่นานชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามา มองเห็นท่าทางตอนนี้ของจังติ้งฟังก็อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ รีบเอ่ย “ท่านแม่ทัพ เกิดอันใดขึ้นขอรับ” จังติ้งฟังยื่นกระดาษจดหมายนั่นไปให้ “เจ้าลองดูสิ” นายทหารรับจดหมายมาอ่าน สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เพียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่ทัพ…คุณชายกงทำไมถึง…ฝ่ายตรงข้ามพยายามทำให้เราแตกคอกันหรือไม่ขอรับ”
จังติ้งฟังเสียงเข้ม “ยามนี้กงอวี้เฉินอยู่ที่จิ่นโจวจริง”
“เอ่อ…” นายทหารที่เป็นกุนซืออีกคนนั้นนิ่งคิด สีหน้าหนักอึ้ง หากกงอวี้เฉินเข้าใกล้แม่ทัพเพื่อสมบัติจริงๆ เล่า เช่นนั้นแผนการของคนผู้นี้… มิใช่ใครจะใจเย็นได้มากพอเพื่อให้ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ในขณะเดียวกันหากเป็นเช่นนั้นจริงล่ะก็ สำหรับพวกเขานับว่าเป็นหายนะโดยแท้จริง
“ท่านแม่ทัพ หากสมบัติมีความเสียหาย เกรงว่าพวกเรา…” กองทัพของพวกเราอาศัยสมบัติพวกนั้นทั้งนั้น มิเช่นนั้นระยะเวลาหลายเดือนเราจะเลี้ยงดูทหารจำนวนมากเช่นนี้ได้เยี่ยงไร หากไม่มีสมบัติเหล่านั้นแล้ว อย่าว่าแต่ทหารของราชสำนักเลย อาจทำให้กองทัพถึงขั้นอดตายได้เลยทีเดียว จังติ้งฟังกัดฟัน “รีบส่งคนไปจิ่นโจว ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ…หากเป็นความจริง ให้สังหารกงอวี้เฉินและจินผิงอี้ทันที”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” กุนซือกล่าวตอบรับเสียงเข้ม
เมืองจิ่นโจววุ่นวายกว่าที่หนานกงมั่วคิดเอาไว้ วันต่อมาทหารที่เฝ้าอยู่เริ่มลงมือสังหารคนในยุทธภพ แน่นอนว่าเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายมิได้อ่อนแอ ยิ่งพุ่งไปยังชานเมืองฝั่งตะวันตก ทั้งสองฝั่งตะลุมบอนยุ่งเหยิง แม้บรรดาจอมยุทธ์จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทหารนับพันนับหมื่นก็ทำสิ่งใดไม่ได้มากนัก ทั้งสองฝ่ายล้มตายกันไปไม่น้อย ที่แย่ที่สุดคือไม่รู้ทำไมข่าวเรื่องสมบัติถึงได้โด่งดังไปทั่ว ไม่เพียงแต่ในยุทธภพแล้ว เพียงชั่วข้ามคืนกลับถูกส่งต่อกันไปทุกซอกทุกมุม ชาวบ้านจากเมืองใกล้ๆ ต่างพากันหลั่งไหลมาร่วมสนุกไปด้วยกัน ชั่วพริบตาเดียวมีคนถูกสังหารไปแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งจิ่นโจวเจิ่งนองไปด้วยเลือดแดงฉาน
ต่อเนื่องมาถึงวันที่สอง เหล่าจอมยุทธ์อาศัยวรยุทธ์บุกเข้าไปยังค่ายทหาร แต่ว่าทหารที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นได้เปรียบเรื่องจำนวนที่มากกว่า แม้จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายทว่ายังคงอยู่ในค่ายไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน นี่ยิ่งเป็นการสนับสนุนความคิดที่ว่าสมบัติอยู่ภายในค่ายทหาร ดังนั้นจอมยุทธ์จึงบุกเข้าค่ายทหารอย่างบ้าคลั่งมากขึ้น
วัดซั่งหลินที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเองก็ไร้ซึ่งความเงียบสงบเช่นกัน วัดซั่งหลินที่เดิมควรเป็นสถานที่ที่เงียบสงบได้ตัดขาดจากธูปเทียนไปนานพักใหญ่แล้ว เนื่องจากในยามนี้ได้ถูกสำนักกลเจ็ดดาวและหอธาราเข้ายึดครองเอาไว้เรียบร้อย