“ขอรับ เจ้าสำนัก”
เรียกได้ว่าการบุกมาทั้งรังของสำนักกลเจ็ดดาวในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นและมุ่งมั่นของจินผิงอี้ได้อย่างชัดเจน
สายฝนพรำท่ามกลางราตรีมืดมิด เว่ยจวินมั่วพาหนานกงมั่วมุ่งหน้าเข้าไปในป่าด้วยวิชาตัวเบา ด้านหลังยังคงมีบรรดายอดฝีมือจากสำนักกลเจ็ดดาวติดตามมาด้วย เห็นได้ชัดว่าหากสังหารพวกเขาไม่สำเร็จคงไม่มีทางหยุดเป็นแน่ หลายครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกที่ตามมา ทว่าก็ย่อมถูกทั้งสองร่วมมือกันสังหารสิ้นไป รอกระทั่งเม็ดฝนเริ่มเบาบางลง พวกเขาทั้งสองเหนื่อยไม่เบา แม้แต่หนานกงมั่วก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืนนี้ตนสังหารคนไปจำนานเท่าใดแล้ว
“พักสักหน่อยเถิด” ฝนหยุดลงเม็ดแล้ว ดวงดาวเปล่งแสงระยิบระยับในคืนฤดูร้อน เนื่องจากฝนพึ่งหยุดลงทำให้บรรยากาศยามนี้เต็มไปด้วยละอองน้ำ เว่ยจวินมั่วประคองพาหนานกงมั่วไปนั่งลงบนก้อนหินข้างต้นไม้ใหญ่ หนานกงมั่วรู้สึกละอายอยู่ในใจ “ขอโทษด้วย เพราะข้าก่อเรื่องเอาไว้จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา” หากนางไม่ได้สังหารจินอู๋เฮ่อ จินผิงอี้คงไม่มีความกล้ามากพอจะหาเรื่องเว่ยจวินมั่วได้
เว่ยจวินมั่วจ้องนางอย่างไม่พอใจ เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า ดังนั้นจินอู๋เฮ่อ…นับว่าสังหารได้ดี”
หนานกงมั่วหัวเราะออกมาเบาๆ ทำเพียงฟังเว่ยจวินมั่วที่ยังคงเอ่ยต่อ “อย่างไรเสียจินผิงอี้ไม่ช้าเร็วก็ต้องตาย จะตายช้าตายเร็วก็ไม่ต่าง” หลายปีมานี้สำนักกลเจ็ดดาวเริ่มผยองขึ้นเรื่อยๆ ราชสำนักไม่สามารถทนพวกเขาได้อีกแล้ว เพียงแต่ฝ่าบาทนั้นยุ่งอยู่กับความเป็นอยู่ของราษฎรจึงไม่มีเวลามาสนใจจอมยุทธ์พวกนี้เท่าใดนัก จากเรื่องราวในครั้งนี้ที่เหล่าจอมยุทธ์มุ่งหน้าไปช่วยเหลือจังติ้งฟัง ซ้ำยังทำให้หนานกงไหวบาดเจ็บหนัก เว่ยจวินมั่วยังมาหายตัวไปอีก ราชสำนักย่อมต้องลงมือกับชาวยุทธภพทั้งหลายเป็นแน่
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ตอนนี้เราจะทำเช่นไรกันดี”
ยามนี้ไม่ใช่จะถกเรื่องจินผิงอี้จะตายหรือไม่ แต่เป็น…พวกเขาจะตายหรือไม่ ก้มลงไปมองมือที่กำลังสั่นระริก หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางไม่เคยผ่านการต่อสู้ที่ยาวนานยืดเยื้อเช่นนี้ การเป็นนักฆ่าอย่างมากก็ลงมือสังหารเพียงอึดใจเดียว เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นก็แยกตัวออกไปในทันที หลังจากตื่นขึ้นมาในร่างของหนานกงชิงนางก็รู้สึกอ่อนแอกว่าเดิมมาก หนานกงมั่วคนเดิมได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ส่วนหนานกงชิงเมื่อครั้งอายุก่อนสิบเอ็ดนั้นนางยังเป็นคุณหนูสูงศักดิ์อยู่เลย อีกทั้งร่างกายก็มิได้แข็งแรงมากนัก ถึงเวลานี้มาลองนับดูพึ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ยังไม่ถึงหกปีด้วยซ้ำ มีฝีมือถึงเพียงนี้นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยแล้ว ทว่าไม่เคยสังหารหมู่มากมายเช่นคืนนี้มาก่อน ยามนี้เมื่อหยุดการต่อสู้แล้วจึงรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมา
มือข้างหนึ่งยื่นออกมากุมมือนางข้างที่จับกระบี่เอาไว้ ปลายนิ้วนวดคลึงเบาๆ เอ่ยปลอบโยน “พักผ่อนเถิด จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
“ท่านไม่เหนื่อยหรือ”
“ไม่เท่าไหร่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ เห็นว่าหนานกงมั่วกำลังมองมาที่เขา เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ย “ไม่มีอะไรเหนื่อยกว่าการออกรบในสนามรบหรอก” อย่ามองแค่ว่าในสนามรบนั้นมีเพียงทหารธรรมดาไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่นั่นเป็นการพาตนเองเข้าไปอยู่ในวงล้อมของทหารเป็นพันเป็นหมื่น ดังนั้นการต่อสู้กับผู้มีวิทยายุทธเพียงไม่กี่สิบคนจึงกลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่ชนะก็พ่ายแพ้และตายไปก็เท่านั้น แต่ในสนามรบแม้ว่าทหารเหล่านั้นจะมิใช่คู่ปรับของเจ้า แต่ไม่ว่าจะสังหารมากเพียงใดก็ยากที่จะหมดไปง่ายๆ ทำได้เพียงฆ่าฟันกันต่อไป ไม่สามารถหยุดพักได้เลยแม้ชั่วพริบตา ครั้งแรกที่เว่ยจวินมั่วลงสนามรบก็เป็นการรบที่ดุเดือดเสียแล้ว แม้แต่ดาบคู่ใจของเขายังฟาดฟันจนบิ่น สุดท้ายก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากไปกว่านั้นทำได้เพียงสู้รบกันต่อไป
หนานกงมั่วพิงไหล่เว่ยจวินมั่วแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า เว่ยจวินมั่วหันไปมองใบหน้างดงามที่กำลังพิงไหล่ของตนอยู่ ใบหน้าเย็นชาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้น แม้ในยามที่กำลังถูกไล่ล่าเช่นนี้ เขากลับนึกชอบสถานการณ์ยามนี้เอามากๆ มีเพียงพวกเขาสองคน เคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ไปด้วยกัน สังหารฝ่ายตรงข้ามและปกป้องซึ่งกันและกัน บนโลกใบนี้มีเพียงหญิงสาวผู้นี้เท่านั้นที่ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นนางก็พร้อมจะเดินร่วมทางไปกับเขา ไม่มีทางถูกเขาทิ้งและไม่จำเป็นต้องให้เขาเฝ้ารอ เมื่อยามนางเหนื่อยก็สามารถพักพิงที่ไหล่ของเขาได้
สายตาเคลื่อนไปยังแผลบนไหล่ของนาง รอยแผลไม่ใหญ่มาก ทว่าเลือดที่ซึมออกมาเปื้อนอาภรณ์สีขาวทำให้รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย ความร้ายกาจวาดผ่านดวงตาของเว่ยจวินมั่ว เขายื่นมือเข้าไปหยิบขวดยางดงามออกมา ลังเลอยู่ชั่วครู่ทว่าสุดท้ายก็ยื่นมือไปเปิดบริเวณที่มีแผลเบาๆ เผยให้เห็นผิวขาวสวยและบาดแผลอันน่ากลัว โปรยยาลงไปบนแผลเบาๆ เว่ยจวินมั่วฉีกผ้าออกมาไว้ในมือของตน ไม่นานผ้าที่เปียกชื้นก็แห้งสนิท เว่ยจวินมั่วพันแผลให้นางอย่างเบามือ จากนั้นจัดเสื้อผ้าให้นางใหม่ เขาทำทั้งหมดด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำให้หนานกงมั่วรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลยสักครั้ง เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วจึงโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน เอนหลังพิงกับต้นไม้และหลับตาลง
การสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นนั้นไม่สบายตัวอย่างยิ่ง แม้ยามนี้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็มิได้ทำให้สบายขึ้นแต่อย่างใด หนานกงมั่วที่ยังคงหลับใหลสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ไหลหลั่งไปตามจุดเลือดลมในร่างกาย ขับความหนาวเย็นออกไปจนสิ้น แม้แต่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นแนบไปกับร่างกายยังแห้งตามไปด้วย หัวคิ้วที่ขมวดยุ่นเข้าหากันพลันค่อยๆ คลายออกเมื่อสบายตัวขึ้นมา
เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้นจากที่ไกลๆ เว่ยจวินมั่วลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีม่วงฉายแววร้ายกาจ
หนานกงมั่วขมวดคิ้วมุ่น ศีรษะที่พิงอยู่บนไหล่ของเขาขยับเล็กน้อยกำลังจะตื่นขึ้นมา เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมากดเบาๆ เข้าที่จุดลมปราณ เดิมดวงตาคู่สวยที่กำลังจะลืมขึ้น ยามนี้กลับปิดลงไป เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
จินผิงอี้จ้องเขม็งไปยังสองคนที่นอนพิงต้นไม้ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเพียงแค่คนสองคนเท่านั้นไยถึงได้จัดการยากเย็นเช่นนี้ได้ ยอดฝีมือที่พามาด้วยถูกกำจัดไปกว่าครึ่ง หากไม่สามารถสังหารทั้งสองคนนี้ได้ จินผิงอี้จะเอาหน้าที่ไหนไปอยู่ในยุทธภพ
“เว่ยจวินมั่ว ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าจะหนีไปไหนได้”
เว่ยจวินมั่วขยับวางหนานกงมั่วให้นอนพิงลงไปกับต้นไม้ ตนเองนั้นลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเรียบ “หนีงั้นหรือ ตอนนี้คนที่ต้องหนีมิใช่พวกเจ้าหรอกหรือ”
จินผิงอี้ชะงัก อดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ “เว่ยจวินมั่ว ต่อให้เจ้าเก่งกาจมากเพียงใดเจ้าก็มีตัวคนเดียว หนานกงมั่วเป็นอันใดไปเล่า ไม่ไหวแล้วหรือ ถึงเจ้าจะสังหารไปทั้งคืนแล้ว แต่คนของข้ายังมีอีกกว่าครึ่ง เก่งจริงเจ้าก็กำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก” เว่ยจวินมั่วยังคงนิ่ง “ข้ากำลังจะกำจัดพวกเจ้าให้สิ้นซาก ไม่กลัวตายก็เข้ามาได้เลย” เว่ยจวินมั่วมิได้ใช้กระบี่อ่อน ทว่ากระทืบเท้าลงไปเบาๆ หนึ่งครั้งก็เกี่ยวเอากระบี่ชิงหมิงของหนานกงมั่วขึ้นมาได้ ปลายแหลมของกระบี่ชิงหมิงชี้ไปยังคนของสำนักกลเจ็ดดาว ใบหน้างดงามของชายหนุ่มเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง สายตาคู่นั้นทำให้คนที่เผลอสบมองเข้ารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
“ลงมือเถิด”
ไม่รู้ทำไม ประสบการณ์ในยุทธภพหลายสิบปีกำลังเตือนจินผิงอี้ว่ามีอะไรแปลกไป แต่พวกเขามีเยอะเพียงนี้ต้องกลัวเว่ยจวินมั่วคนเดียวด้วยหรือ ก่อนหน้านี้มีหนานกงมั่วคอยช่วยเหลือ ยามนี้หนานกงมั่วไม่ไหวเสียแล้ว พวกเขายังต้องกลัวอีกหรือ
“ลุย” จินผิงอี้เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
เว่ยจวินมั่วยิ้มเย็น ยกกระบี่ขึ้นฟันเข้าไปในแนวนอน ชายสองคนที่พุ่งเข้ามาก่อนถูกโจมตีด้วยกระบี่และล้มลงไป