หนานกงมั่วนิ่งเงียบ เมื่อครู่ตอนที่ทายาให้เว่ยจวินมั่ว แผ่นหลังของเขามิได้มีเพียงรอยดาบ ยังมีรอยขีดข่วนอีกด้วย ทว่าตัวนางเองกลับไม่มีร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น คาดว่าตอนที่ร่วงลงมาเว่ยจวินมั่วอาจใช้ร่างกายของตนเองปกป้องนางเอาไว้ ส่วนที่เว่ยจวินมั่วบอกว่าสังหารไปไม่กี่คนนั้น นางย่อมไม่เชื่อ หากมีเพียงไม่กี่คนจริง ผ่านมาเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงนี้ คนของจินผิงอี้คงจะตามมาทันแล้ว
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับกำลังภายในของท่าน” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นมามองนางเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่มีอันใดหรอก เกิดจากความผิดพลาดขณะฝึกวิชาเมื่อนานมาแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“แล้วผลที่จะตามมาเล่า” มีพลังเพิ่มขึ้นมามหาศาลเช่นนี้ อย่างไรก็คงต้องมีสิ่งที่ต้องแลกตามมาใช่หรือไม่
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “พลังทั้งหมดจะหายไปภายในระยะเวลาหนึ่ง แต่จะค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา”
หนานกงมั่วเงียบ มิน่าศิษย์พี่จึงบอกว่าหากเขาไม่ได้รับการรักษาที่ดีจะอยู่ได้ไม่เกินห้าสิบปี เกรงว่าจะไม่ได้บาดเจ็บเพียงเพราะต่อสู้กับกงอวี้เฉิน พละกำลังเพิ่มขึ้นมากะทันหันแล้วไม่นานพลังก็จะหายไปทั้งหมด กลับไปกลับมาเช่นนี้ เส้นลมปราณของคนจะรับไหวได้เช่นไร อย่าว่าแต่ห้าสิบปีเลย เกรงว่าสี่สิบปีก็คงไม่ไหวแล้ว
เห็นว่านางเงียบไป เว่ยจวินมั่วจึงยกมือขึ้นมาลูบผมนางอย่างเบามือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะไม่เป็นไร”
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนานกงมั่ว “อืม ข้ารู้ว่าท่านจะไม่เป็นไร แต่ว่า ต่อไปถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก หากท่านสกัดจุดข้าไว้อีกล่ะก็ ข้าจะไม่เกรงใจท่านแน่”
เว่ยจวินมั่วทำเพียงนั่งมองนางเงียบๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่หนานกงมั่วรู้ดีว่าครั้งต่อไปหากเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกเขาก็ยังจะทำเช่นเดิม ดังนั้นเขาไม่มีทางให้คำสัญญากับนางเป็นแน่ หนานกงมั่วแสบจมูกขึ้นมา เอ่ยต่อว่าเขา “คุณชายเว่ย ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านไม่คิดว่าหากข้าสลบไม่ตื่นขึ้นมา แล้วเกิดมีคนมาสังหารข้าตายไปเล่า”
“ข้าไม่ตาย เจ้าจะไม่มีวันบาดเจ็บ ข้าไม่มีทางตาย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยท่าทางสงบ
หนานกงมั่วพลันรู้สึกคันฟันขึ้นมา เดินเข้าไปงับเข้าที่ลำคอของเขา ทว่ากลับไม่กล้ากัดรุนแรงเกินไป ทิ้งไว้เพียงรอยฟันบางๆ เงยหน้ามองดวงตาของเขา เอ่ย “เว่ยจวินมั่ว ท่านดีกับข้าเกินไปแล้วนะ”
“ไม่ดีหรือ” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยถาม
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยอย่างไม่สบายใจ “ท่านจะดีกับข้าเช่นนี้ตลอดไปหรือไม่ ถ้าในอนาคตท่านเปลี่ยนไป ข้าจะสังหารท่าน”
“ได้” เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปคว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมอก เอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าไม่ได้ดีกับท่านเลยสักนิด ไยท่านต้องทำดีกับข้าถึงเพียงนี้ด้วย” การกระทำของนางต่อเว่ยจวินมั่วนั้นไม่เรียกว่าดีด้วยซ้ำ คุณหนูหนานกงรู้สึกไม่เข้าใจเอาเสียเลย นิสัยของนางไม่นับว่าร้ายกาจก็จริง ทว่าความเกรี้ยวกราดเกือบทั้งหมดมักจะลงที่เว่ยจวินมั่ว พวกเรา…ไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำ
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมองเส้นผมสีดำสลวยของนาง เอ่ยเสียงเบา “เจ้าดีมาก” บนโลกใบนี้นอกจากเจ้าแล้วไม่มีใครที่จะวิ่งมาไกลเพื่อเข้ามาหาเขาในสนามรบ ไม่มีใครคอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เช่นนี้ และไม่มีใครคิดเคียงข้างไม่หนีหายไปไหนเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เก็บสมุนไพร รักษาให้ ซักผ้า… ทั้งหมดทั้งมวล สวยงามกว่าความฝันในวัยหนุ่มแรกแย้มของเขาเสียด้วยซ้ำ
เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วมองเห็นนางถือยาสมุนไพรที่เก็บมาใหม่เดินมาจากที่ไกลๆ เว่ยจวินมั่วไม่เคยคิดอยากขอบคุณสวรรค์ที่ส่งของขวัญอันงดงามมาให้เขาเท่านี้มาก่อนเลย
บางครั้งใจที่เต้นแรงอาจเพียงเพราะความงดงาม รอยยิ้มสดใสและบริสุทธิ์ ดวงตาที่เงียบสงบ หรืออาจเป็นแค่เพียงเพราะเจ้าเดินเข้ามาหาข้าเท่านั้น
ทั้งสองพักผ่อนอีกเล็กน้อย ก่อนจะล่องเรือไหลไปตามลำธาร แม้จะได้รับบาดเจ็บ ทว่าทั้งสองล้วนฝึกวรยุทธ์มาจึงไม่เป็นปัญหาต่อการเดินทาง ป่าไม้อันเงียบสงบมีเพียงเสียงนกร้องดังขึ้นมาบางครั้งบางครา ทำให้หนานกงมั่วอดไม่ได้นึกถึงช่วงเวลาเมื่ออยู่ตานหยาง เรือล่องไปกว่าสองชั่วยาม ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองไปเสียแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นหมู่บ้าน
ยืนอยู่ริมฝั่งลำธาร หนานกงมั่วตกตะลึง แม้มองเห็นอยู่ไกลๆ ทว่าหนานกงมั่วก็มองออกว่านั่นเป็นหมู่บ้านที่นางเข้าพักเมื่อคืนนี้นั่นเอง ต้นไม้ใหญ่หน้าหมู่บ้านยังมีม้าสองตัวของพวกเขาถูกผูกเอาไว้เช่นเดิม เพียงแต่ผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ม้าทั้งสองตัวยังคงนิ่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้ หนานกงมั่วรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
กำลังจะก้าวเดินเข้าไป ทว่ากลับถูกมือของคนด้านหลังคว้าเอาไว้ หนานกงมั่วหันกลับมามองเว่ยจวินมั่วด้วยความสงสัย เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องไป ตายหมดแล้ว”
หนานกงมั่วรู้สึกตกใจอยู่ในใจ พึ่งเข้าใจสิ่งที่เว่ยจวินมั่วเอ่ย เมื่อคืนหญิงชราผู้นั้นได้รับคำสั่งจากจินผิงอี้ให้มาวางยาพิษพวกเขา และสิ่งที่เอามาต่อรองกับหญิงชราผู้นั้นคือชีวิตของคนทั้งหมู่บ้าน เมื่อนึกถึงความโหดเหี้ยมของสำนักกลเจ็ดดาวแล้ว คนพวกนี้ยังจะเหลือทางรอดอีกหรือ หนานกงมั่วตัดสินใจว่า “ข้าอยากเข้าไปดู”
เว่ยจวินมั่วนิ่งไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้า
เพียงเดินเข้าไปใกล้ทางเข้าหมู้บ้าน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งพลันลอยเตะจมูก ร่างของชายชุดดำนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นไม่มีคนสนใจ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล ดังนั้นจึงน้อยมากที่จะมีคนนอกเข้ามา ยามนี้ถึงจะมีคนตายมากมาย แต่ไม่มีคนออกไปและไม่มีคนเข้ามา จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีคนรับรู้เรื่องนี้ หนานกงมั่วมองเห็นหญิงชราคนนั้นที่วางยาพวกเขา นั่งอยู่ริมกำแพงโดยไร้ซึ่งลมหายใจ กำแพงด้านหลังของนางเต็มไปด้วยรอยเลือด เห็นได้ชัดว่าคงถูกผลักชนผนังจนศีรษะกระแทก
เดินเข้าไปด้านใน สุสานบรรพบุรุษของหมู่บ้านเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณของคนแก่เฒ่าชายหญิง เพียงหนานกงมั่วกวาดมองก็มองออกทันทีว่าคนเหล่านี้ตายด้วยยาพิษ มิน่าเมื่อเดินเข้ามาในหมู่บ้านจึงมิได้กลิ่นคาวเลือด ความจริงเพียงคิดก็พอรู้ได้ว่าต่อให้จินผิงอี้สังหารพวกเขาทั้งสองสำเร็จ เพื่อไม่ปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไป อย่างไรเสียเขาก็ต้องกำจัดคนพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจินผิงอี้จึงลงมือสังหารตั้งแต่แรกเริ่ม ทว่ากลับเอาคนตายเหล่านี้ไปข่มขู่หญิงชราให้นางมาวางยาพวกเขา คิดดูแล้วก็เกิดโทษตัวเองและนึกสงสัยขึ้นมา
หนานกงมั่วรู้สึกราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในใจไม่สามารถระบายมันออกมาได้ คนเหล่านี้…ต้องมาตายเพราะนาง ถ้านางไม่สังหารจินอู๋เฮ่อ…ถ้าหาก…ไม่ คนอย่างจินอู๋เฮ่อนั่นสมควรตาย หากนางสังหารจินผิงอี้เร็วกว่านี้สักนิด…คนบริสุทธิ์เหล่านี้คงไม่ต้องโชคร้ายเช่นนี้
“จินผิงอี้”
เว่ยจวินมั่วคว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ยกมือขึ้นปิดตาคู่นั้นของนางเอาไว้ไม่ยอมให้มองร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นอีก เอ่ยเสียงทุ้ม “จินผิงอี้ตายไปแล้ว อู๋สยา นี่มิใช่ความผิดของเจ้า…”
หนานกงมั่วยกมือขึ้นจับมือของเขาออก เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ นี่เป็นความผิดของข้า หากมิใช่เพราะข้า…” ข้าไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ ทว่าพวกเขากลับต้องมาตายเพราะข้า หากจินผิงอี้มายืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางไม่คิดลังเลเลยที่จะต้องสังหารเขา แต่ถึงกระนั้นชีวิตของคนบริสุทธิ์เหล่านี้ก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว
“ใคร ออกมา” ใบหน้าของเว่ยจวินมั่วทะมึนขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ข้าน้อยหลิ่วขอรับ คารวะคุณชาย” ชายในชุดสีเทาปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูด้วยท่าทีนอบน้อม ด้านหลังมีชายที่แต่งตัวคล้ายกันยืนอยู่ด้วยเจ็ดถึงแปดคน