“น้องสาวของเจ้าผู้นี้ ไม่ฉลาดเลยจริงๆ” ขณะเดินเคียงคู่กันไปกับเซี่ยเพ่ยหวน เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบพลางถอนหายใจ หนานกงมั่วยิ้มตอบ “ถ้านางฉลาด นางจะพาตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไรเล่า” เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มร่า “จะว่าไปก็ถูก แต่ว่า ดูเหมือนว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องจะดีกับหนานกงซูไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่บีบให้พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องมาถึงจุดนี้ได้”
ความวุ่นวายเมื่อสักครู่มีหรือคนฉลาดอย่างพวกนางทั้งสองจะดูไม่ออก เรื่องการเรียกร้องความรัก พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงซู จึงต้องสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงหนานกงซู ขณะเดียวกันยังเป็นการตบหน้าฉู่กั๋วกงอีกด้วย เมื่อสักครู่หากเป็นหย่งชังจวิ้นจู่ที่ตบลงบนใบหน้าของหนานกงซู ไม่เพียงจวนฉู่กั๋วกงเท่านั้น หนานกงมั่วเองก็คงดูไม่ดีไปด้วย ต่อให้ความสัมพันธ์จะจืดจางเพียงใด บอกให้โลกรู้ตัดความสัมพันธ์ อย่างไรก็คงละทิ้งคำว่าหนานกงสองคำนี้ออกไปไม่ได้อยู่ดี
“เจ้าต้องระวังบ้าง แม้เจ้าจะหวังดี แต่เจิ้งซื่อไม่แน่ว่าจะเข้าใจ ต่อให้เข้าใจก็คงไม่ยอมรับ” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเตือน
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “หากข้าคิดจะแตะต้องเจิ้งซื่อมีหรือนางจะรอดมาจนถึงตอนนี้ ข้ายังต้องกลัวนางอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าหวังดีที่ไหนกัน ข้าเพียงแต่ขัดตากับท่าทางจะร้องก็ไม่ร้องของนาง อีกทั้งยังคันมือ ตบไปสักครั้งเท่านั้นเอง”
เซี่ยเพ่ยหวนตกตะลึง อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ เมื่อหัวเราะจนพอแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังสองพี่น้องตระกูลจูที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ เอ่ยขึ้น “ดูพวกนางสิ แล้วหันมาดูพวกเรา…อย่างพวกนางคงเรียกว่าพี่น้องที่รักกัน พวกเราเล่า…เจ้าทำได้แค่รักข้าข้าก็ทำได้เพียงรักเจ้า”
หนานกงมั่วมองตามสายตาของนางไป เอ่ยอย่างขบขัน “เจ้าเชื่อหรือ”
เซี่ยเพ่ยหวนมองให้ดีอีกครั้ง ยิ้มตาหยี “ข้าเชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ พวกนางเชื่อก็เพียงพอแล้ว”
ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาสำรวจจากพวกตน จูชูอวี้และจูซื่อเงยหน้าขึ้นและมองมายังทั้งสองอย่างพร้อมเพียง จูซื่อรีบก้มหน้าลงไปก่อน ทว่าเป็นจูชูอวี้ที่มองมาและพยักหน้าให้ทั้งสองอย่างเปิดเผย ยิ้มบางๆ ราวกับไม่เคยมีเรื่องก่อนหน้านี้เกิดขึ้น เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ย “สตรีตระกูลจูนางนี่ไม่ธรรมดาเลย หนานกง มีน้องสาวเช่นนั้นเจ้าละอายหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มบางอย่างเข้าใจ “แม้เป็นศัตรูกับคนโง่มันน่าเบื่อ แต่ข้าก็หวังว่าศัตรูยิ่งโง่ยิ่งดี ตระกูลจูสองคนนั่น…” อนาคตไม่แน่ว่าใครจะตกอยู่ในกำมือของใคร คืนงานเลี้ยงฉลองวันไหว้พระจันทร์นับว่ายังสงบนิ่ง ไม่มีใครยั่วยุ และไม่มีการลอบสังหาร แม้แต่บรรดากวีผู้มีศิลปะที่คาดว่าจะออกมาโอ้อวดความสามารถก็ไม่มี มีนักปราชญ์เพียงไม่กี่คนนำเอาบทกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ออกมาให้ชื่นชม ท่าทางของฝ่าบาทก็สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสนใจเรื่องเหล่านี้ ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นาน เงยหน้าขึ้นไปมองฮ่องเต้ที่หนวดเคราผมเผ้าเป็นสีขาว แม้จะดูแก่ชราทว่ากลับมองออกว่าเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นพระองค์มีรูปร่างสูงใหญ่เพียงใด หนานกงมั่วเข้าใจในทันใด
จะว่าไป บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชวงศ์นี้คงรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ดังที่กล่าวว่าเบื้องบนนิยมชมชอบสิ่งใดเบื้องล่างก็ต้องนิยมชมชอบมากกว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นเกิดในครอบครัวยากจน ว่ากันว่าช่วงอายุก่อนยี่สิบปีนั้นไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินให้อิ่ม ที่บ้านไม่มีแม้แต่พื้นที่เอาไว้เลี้ยงวัวทำมาหากิน คนเช่นนี้แน่นอนไม่มีทางรู้หนังสือ วัยหนุ่มยังออกรบไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อก่อตั้งประเทศได้แล้วก็ต้องยุ่งกับการบริหารซ่อมแซมและจัดการข้าราชบริพารที่ไม่เชื่อฟัง ไหนเลยจะมีเวลาไปเล่าเรียนฉิน หมาก หนังสือ หรือศิลปะ ฝ่าบาทในตอนนี้สามารถเขียนตัวหนังสือได้สวยงามก็นับว่ามีความพยายามมาก บทกวีของนักประพันธ์รวมทั้งบทเพลงยกย่องเหล่านั้น ฝ่าบาทอ่านรู้เรื่องก็นับว่าไม่เลวแล้ว หากต้องให้พระองค์มาเพลิดเพลินกับมัน…ฝ่าบาทคงอยากลากพวกนักประพันธ์แก่ๆ ที่เขียนบทกวีเสียดสีไปไปโบยสักห้าสิบไม้ก่อนแล้วค่อยบอก เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังเขียนเสียใหญ่โต กำลังเย้ยหยันว่าเขาไม่เคยร่ำเรียนหนังสือใช่หรือไม่
ดังนั้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นของรัชศกหงกวงจึงหดหู่ใจอยู่ตลอด ดังนั้นการชื่นชมบทกวีในงานพิธีเฉลิมฉลองในวังหลวงจึงมีไม่มาก ในวังตั้งแต่ฮ่องเต้ยันนางสนม หาได้ยากยิ่งที่จะมีความรู้ความสามารถ ใครจะอยากฟังของเล่นไร้สาระพวกนั้นกัน แม้บรรดานักประพันธ์ทั้งหลายจะรู้สึกหดหู่ใจกับสิ่งนี้ แสดงออกมาว่าดูถูกเชื้อพระวงศ์ที่เกิดจากรากหญ้า แต่หนานกงมั่วกลับคิดว่างานอดิเรกนี้ของฝ่าบาทช่างดียิ่งนัก เพราะคุณหนูใหญ่หนานกงเองก็เขียนบนกวีไม่เป็น นางไม่ต้องการชื่นชมผลงานของใครหากไม่จำเป็นต้องทำ หากไม่ระวังและพลาดพลั้งขึ้นมา ‘ฉินหวงฮั่นอู่ ด้อยรู้วรรณศิลป์ ถังจงซ่งจู่ อ่อนด้อยวรรณกรรม…’ เช่นนี้ นางยังต้องเสียเวลาไปอธิบายต่อฮ่องเต้อีกว่า นางมิได้มีใจทะเยอทะยานอยากเป็นราชินีของแผ่นดิน
ดังนั้น การร่วมงานเลี้ยงฉลองในวังครั้งแรกของหนานกงมั่วจึงทำได้เพียงนั่งและยิ้มออกมา ยิ้มออกมาอย่างเสแสร้ง ทานอาหาร ทานอาหารด้วยความเสแสร้ง ดื่มเหล้า ดื่มเหล้าด้วยความเสแสร้ง…ไปเรื่อยๆ
เช้าวันต่อมา หนานกงมั่วกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งปล่อยให้สาวใช้แปรงผมให้ตนเอง สาวใช้จากเรือนของหนานกงไหวพลันเข้ามารายงานว่านายท่านเชิญคุณหนูไปพบ
หนานกงมั่ววางปิ่นทองในมือลง กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย แม่นมหลานเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “คุณหนูใหญ่ หรือนายท่านจะเรียกพบเพราะเรื่องเมื่อคืน…” เรื่องหนานกงมั่วตบหนานกงซูในงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนแม่นมหลานได้ฟังมาจากจือซูและหมิงฉินที่ติดตามหนานกงมั่วเข้าวังไปด้วย
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อวานหรือ เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้น” แม่นมหลานส่ายหน้า “เจิ้งซื่อนั่นช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่อย่างไรนายท่านก็รู้ถูกผิด คงไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
หน้าประตู หุยเสวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงเบา “คุณหนู สาวใช้ผู้นั้นแอบบอกบ่าวว่าคุณหนูรองกลับมาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เรือนจี้ชั่งถูกดูแลเป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อสืบข่าวให้กับเจ้านาย สาวใช้จึงค่อนข้างใจกว้างอยู่มากจึงมีมนุษยสัมพันธ์กับคนในจวนไม่เลวนัก
หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ย “หนานกงซูวิ่งแจ้นกลับมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยอย่างนั้นหรือ”
“ได้ยินมาว่าตอนคุณหนูรองกลับมาดวงตาบวมเป่งเลยเจ้าค่ะ เห็นว่าร้องไห้มาทั้งคืน” หุยเสวี่ยเอ่ยตอบ
หนานกงมั่วลุกขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น “ไปกัน ไปดูสักหน่อย” เพียงฝ่ามือเดียวเองมิใช่หรือ คุ้มค่ากับการร้องไห้ทั้งคืนจริงหรือ นางยังไม่ทันได้ออกแรงเลย หากนางออกแรงจริงๆ หนานกงซูไม่เพียงไม่รอด ฟันในปากคงหลุดร่วงไปไม่น้อย
หนานกงซูไม่เพียงร้องไห้มาทั้งคืน ตอนนี้นางก็ยังร้องอยู่
ในห้องหนังสือ หนานกงไหวนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยใบหน้าถมึงทึง หนานกงซูร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจอยู่ในอ้อมแขนของเจิ้งซื่อ เจิ้งซื่อโอบประคองบุตรีอย่างน่าสงสาร โกรธจนตัวสั่น “ท่านพี่ คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้หมายความเช่นไรเจ้าคะ หากท่านพี่ไม่ยอมรับซูเอ๋อร์บุตรีผู้นี้แล้ว แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นบุตรีของข้า”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว “พอแล้ว รอมั่วเอ๋อร์มาถึงแล้วถามกันให้รู้แจ้ง”
เจิ้งซื่อกัดฟัน “ไม่ว่าจะมีเรื่องใด คุณหนูใหญ่จะมาตบหน้าซูเอ๋อร์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ ซูเอ๋อร์เป็นน้องสาวของนาง ไม่ใช่สาวใช้เคียงกายของนาง เรื่องนี้ท่าพี่ต้องให้คำตอบกับข้านะเจ้าคะ” หนานกงไหวเลิกคิ้ว “มั่วเอ๋อร์ใกล้จะแต่งงานออกเรือนแล้ว เจ้ายังต้องการคำตอบอันใดเล่า”
เจิ้งซื่อเอ่ยตอบ “คุณหนูใหญ่ไม่มีความเมตตาต่อน้องสาวเชื้อสายรอง ไม่ควรอบรมสั่งสอนหรือเจ้าคะ หากให้คนอื่นรู้เข้า จะหาว่าเราอบรมสั่งสอนไม่ดีเอาได้”