ไม่เอ่ยถึงสิ่งนี้คงดี เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ใบหน้าหนานกงไหวยิ่งไม่น่ามองมากขึ้น ส่งเสียงหยัน “ทำเพื่อจวนหรือ ตลอดหลายปีมานี้มารดาของเจ้าก็เอาเงินใส่กระเป๋าของตนไปไม่น้อย” หากไม่ใช่เพราะตนเองไว้หน้าเจิ้งซื่ออยู่ไม่มาก มอบอำนาจการดูแลกิจการและการดูแลภายในจวนของจวนฉู่กั๋วกงให้ไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าคลังส่วนตัวของเจิ้งซื่อจะมีเงินมากมายเพียงใดแล้ว เมื่อนำตัวเจิ้งซื่อไปขังไว้ในคุกมืดแล้วหนานกงไหวจึงให้คนสืบและค้นเรือนของเจิ้งซื่ออย่างจริงจัง หลายวันก่อนหน้านี้พบเรื่องน่าตกใจจนตนเองนั้นแทบกระอักเลือดอีกครั้ง คลังส่วนตัวของเจิ้งซื่อนั้นมีเงินส่วนตัวและทรัพท์ย์สินมีค่าอีกมากมาย ไม่ต้องบอกก็รู้ได้…สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเงินของจวนที่เจิ้งซื่อทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บมันเอาไว้เอง
หนานกงซูไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด หนานกงไหวมองเซียวเชียนเยี่ย เอ่ย “ท่านอ๋องบอกให้ข้าละเว้นเจิ้งซื่อ ท่านรู้หรือไม่ว่านางทำเรื่องอันใดบ้าง”
“เรื่องนี้…” เซียวเชียนเยี่ยไม่รู้จริงๆ
หนานกงไหวหัวเราะเสียงหยัน โยนหนังสือเล่มหนึ่งไปตรงหน้าหนานกงซู กล่าวว่า “ดูเอาเองเถิด ดูเรื่องที่แม่เจ้าทำเอาไว้ให้ดี ท่านอ๋องจะดูด้วยก็ได้”
เซียวเชียนเยี่ยหยิบขึ้นมากวาดสายตาอ่านด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันหัวใจพลันหนักอึ้ง สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องขายหน้าของตระกูล หนานกงไหวยังเอาให้เขาดู บ่งบอกว่าหนานกงไหวไม่คิดปกปิดเรื่องนี้ หนานกงไหวคงตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการกับเจิ้งซื่อ อ่านลงไปอีกนิด ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยยิ่งทะมึนมากขึ้น หนานกงซูที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มกระวนกระวาย “เซียวหลาง…”
เดิมคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยของเรือนหลัง ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวมากมายเช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยพลันตระหนก เจิ้งซื่อที่เคยคิดว่าอ่อนโยนบอบบางและจิตใจดีกลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ พลันเกิดรู้สึกรังเกียจเจิ้งซื่อขึ้นมา ขณะเดียวกันต้องลอบเช็ดเหงื่ออยู่ในใจ เจิ้งซื่อผู้นี้รนหาที่ตายชัดๆ แม้ว่าตอนแรกนั้นเพียงทำผิดต่อคนในครอบครัวและหนานกงมั่วเท่านั้น แต่ตอนนี้…ใครใช้ให้หนานกงมั่วมีชะตาชีวิตที่ดีเล่า ยามนี้รายชื่อคนที่เจิ้งซื่อล่วงเกินยังมีเว่ยจวินมั่ว องค์หญิงฉังผิง เยี่ยนอ๋อง และฉีอ๋องอีกด้วย รวมทั้งบุตรชายทั้งสองของภรรยาเก่าอย่างเมิ่งซื่อ…มองใบหน้าเย็นชาของหนานกงชวี่และหนานกงฮุยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น พบว่าบุตรชายทั้งสองก็มีใจออกห่างไปเสียแล้ว ยามนี้เจิ้งซื่อ…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจออกมา ไม่ได้อ่านต่ออีก ทว่าปิดหนังสือในมือและส่งกลับคืนให้หนานกงไหว เอ่ยเสียงเข้ม “ข้าล่วงเกินแล้ว ขอฉู่กั๋วกงให้อภัยด้วย”
“เซียว…ท่านอ๋อง” หนานกงซูนิ่งอึ้ง จ้องเซียวเชียนเยี่ยนิ่งงัน นางคิดว่าพาเซียวเชียนเยี่ยมาด้วยอย่างน้อยบิดาของนางคงจะเห็นแก่หน้าเขาบ้าง พอดีกับที่นางพึ่งตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์ ไม่คิดว่าเซียวเชียนเยี่ยจะเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคก็ยอมแพ้แล้ว เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ ไม่กล้าบอกถึงตัวตนที่แท้จริงของมารดาให้หนานกงซูได้รับรู้ เพียงเอ่ยเสียงเบา “ซูเอ๋อร์ ต่อไปเจ้ายังคงเป็นบุตรีจวนฉู่กั๋วกง ข้าเองก็จะดูแลเจ้าให้ดี”
“แต่ว่า ท่านแม่ของข้า… ท่านพ่อ ท่าน ท่านเชื่อคำของพี่สาวจริงหรือ แม่ข้าถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ”
หนานกงไหวแม้แต่จะมองยังคร้านที่จะมองบุตรีผู้นี้ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ใส่ร้ายหรือ เรื่องพวกนั้นหลายเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน เรื่องพวกนั้นก็เป็นเรื่องที่พี่สาวเจ้าบีบบังคับให้นางทำหรือ”
“ท่านแม่… ท่านแม่ของข้า…” เรื่องเหล่านั้นที่เจิ้งซื่อทำ หนานกงซูมิได้รับรู้ทั้งหมด เพียงได้ยินผ่านหูมาบ้าง ยามนี้ไม่รู้ว่าต้องแก่ต่างเช่นไร เพียงเอ่ย “แต่ว่า ท่านแม่ของข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านพ่อให้อภัยนางได้หรือไม่ พี่ใหญ่…พี่รอง…” หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ซูเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของจวนฉู่กั๋วกง หากเจ้ากตัญญูเช่นนี้มิสู้ไปอธิบายกับองค์หญิงฉังผิงและเยี่ยนอ๋องดีหรือไม่ อีกทั้งเรื่องที่มั่วเอ๋อร์ได้รับอันตราย มารดาเชื้อสายรองลอบทำร้ายบุตรีเชื้อสายหลัก เป็นความผิดต้องโทษถึงชีวิต…”
“ข้า…” หนานกงซูหน้าซีด นางไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้น มองใบหน้าเย็นชาของเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างหนานกงมั่ว หนานกงซูตัวสั่นเทา “พี่สาว…”
หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง มองไปยังหนานกงชวี่ราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอ่ยเสียงเรียบ “นี่ ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดนะ ยามนี้เจ้ามาขอให้ข้าช่วยอ้อนวอนแทนหว่านฮูหยินหรือ ไม่มีใครในโลกเคยสอนข้าว่าควรตอบแทนคนที่ทำร้าย ข้าออกเรือนแล้ว เรื่องนี้คงไม่สะดวกสอดมือเข้าไปยุ่ง แน่นอนว่าต้องแล้วแต่ท่านพ่อจะจัดการ”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “พอแล้ว ความผิดของเจิ้งซื่อไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว”
หนานกงซูตอบโต้เสียงดัง “ไม่ได้ ท่านแม่ของข้าเป็นฮูหยินจวนฉู่กั๋วกงนะ”
หนานกงไหวยิ้มเย็น “ฮูหยินจวนฉู่กั๋วกงหรือ ฮูหยินจวนฉู่กั๋วกงคือเมิ่งซื่อมารดาของพี่ใหญ่พวกเขานั่นต่างหาก และอาจจะเป็นฮูหยินที่ข้าจะแต่งเข้ามาใหม่ แต่ไม่ใช่มารดาของเจ้า” จะว่าไป ตลอดหลายปีมานี้เจิ้งซื่อเป็นเพียงผู้มีอำนาจบางส่วนของฮูหยินฉู่กั๋วกงเท่านั้น แต่ไม่มีฐานะเป็นฮูหยินฉู่กั๋วกง และไม่ได้ตบแต่งยกเข้ามาทางประตูใหญ่อย่างเอิกเกริก
หนานกงซูจ้องมองหนานกงไหว ความโกรธในดวงตานั้นเปลี่ยนเป็นความแค้น “ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อ ท่านกลัวองค์หญิงฉังผิงและเยี่ยนอ๋อง ดังนั้นจึงสละท่านแม่ของข้าทิ้งเพื่อไม่ให้พวกเขาโกรธใช่หรือไม่”
“บังอาจ” หนานกงไหวเอ่ยเสียงดัง
หนานกงซูกัดฟันเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “หรือว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะว่ากลัวพวกเขาเอาเรื่องถึงได้จัดการท่านแม่ของข้าหรอกหรือ ข้า…ข้า…โอ๊ย เจ็บ…” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบ หนานกงซูก็ต้องยกมือขึ้นกุมท้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “ฮือ…เจ็บจังเลย…”
“ซูเอ๋อร์” เซียวเชียนเยี่ยรีบรุดเข้าไปประคองนางเอาไว้ เอ่ย “รีบตามหมอ”
“ฮือ เซียวหลาง…เจ็บ ลูกของเรา…” หนานกงซูซบอยู่ในอ้อมแขนของเซียวเชียนเยี่ย ใบหน้าเจ็บปวด ห้องโถงพลันชุลมุนวุ่นวาย หนานกงฮุยถอนหายใจเดินออกไปบอกคนให้ตามหมอมา หนานกงมั่วเบะปากจากนั้นเดินเข้าไป “ถอยไป” เซียวเชียนเยี่ยชะงัก เงยหน้ามองหนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้าง นึกขึ้นได้ว่านางรู้วิชาการแพทย์
“เจ้าออกไป” หนานกงซูร้องเสียงดัง “เจ้าอย่าคิดทำร้ายลูกของข้า… ออกไป”
หนานกงมั่วกวาดตามองรอยเลือดสีแดงที่เปรอะเปื้อนชุด เอ่ยด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน “ไม่ต้องการเด็กแล้วก็รีบบอกเสีย อย่างไรก็ไม่ใช่ลูกของข้า”
หนานกงซูกัดฟัน จ้องหนานกงมั่วเขม็ง ราวกับว่าหากหนานกงมั่วกล้าทำอะไรไม่ดีกับลูกของนางแล้วนางจะสู้ตายอย่างไรอย่างนั้น หนานกงมั่วหัวเราะเสียงหยัน หากตนคิดไม่ดีกับลูกของนาง ไหนเลยต้องทำอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
หนานกงไหวเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ขมวดคิ้วก้าวเข้ามาดู เอ่ย “ให้มั่วเอ๋อร์ดูก่อน วิชาการแพทย์นางดีมาก”
หนานกงมั่วยกมือขึ้นตรวจชีพจร หยิบเข็มที่ติดตัวมาฝังลงไปไม่กี่เข็ม เอ่ยเสียงเรียบ “พึ่งท้องได้เพียงเดือนเดียวก็วิ่งแจ้นไปทั่ว ไม่อยากได้เด็กแล้วก็บอกมาตรงๆ กลับไปแล้วทางที่ดีก็นอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ เสีย อีกสามเดือนค่อยตรวจดูอีกครั้ง แน่นอนถ้าไม่วางใจก็ตามหมอมาตรวจอีกรอบ ยาข้าไม่ให้แล้วกัน ให้ไปเจ้าก็คงไม่กล้ากิน”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้า เอ่ย “ขอบคุณจวิ้นจู่มาก”
หนานกงมั่วยักไหล่ไม่ใส่ใจ หนานกงไหวเอ่ย “พานางกลับเรือนไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถิด”
เซียวเชียนเยี่ยกำลังจะอุ้มนางขึ้นมา หนานกงซูกลับดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ กล่าว “ไม่ ท่านอ๋อง พวกเรากลับจวน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ความโกรธแค้นนี้มิได้มีต่อหนานกงมั่ว กลับเป็นหนานกงไหว หนานกงไหวใบหน้าถมึงทึง ถูกบุตรีโกรธแค้นทำให้เขารู้สึกขายหน้า ขณะเดียวกันก็โมโหขึ้นมา หลายปีมานี้หลังจากเมิ่งซื่อจากไปสายตาของหนานกงมั่วที่หันมามองเขานั้นมีเพียงความโกรธและเสียใจ ไม่ใช่ความแค้น ทว่าบุตรีผู้นี้กลับโกรธแค้นเขาเพราะเจิ้งซื่อทำความผิด หลายปีมานี้ช่างเสียแรงที่เอ็นดูนาง