ตอนที่ 275 โบยก่อนค่อยว่ากัน (1)
“เกิดอันใดขึ้น ทำสิ่งใดกันอยู่รึ” ผู้ตรวจการเดินฝ่ากลุ่มคนที่รุมล้อมเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กวาดตามองผู้คนที่อยู่บนพื้น ดวงตามีประสบการณ์ไหววูบน้ำเสียงอ่อนโยนลงมาก “ทำอันใดกันอยู่หรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “สามคนนี้มีเจตนาร้ายแอบอ้างเป็นญาติของข้า”
เวลานี้ผู้ตรวจการพึ่งมองเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่ยืนอยู่ด้านบน เมื่อมองเห็นใบหน้าเฉยชาของเว่ยจวินมั่วความหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา รีบเข้าไปคารวะ “คารวะใต้เท้า คารวะพระชายาซื่อจื่อขอรับ” แม้ว่าผู้ตรวจการเหล่านี้จะไม่ได้สังกัดกองบัญชาการคุ้มกันเมืองหลวง แต่กองบัญชาการดังกล่าวเป็นผู้สั่งการหัวหน้าของพวกเขาโดยตรง รวมทั้งฐานะซื่อจื่ออีก เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกิน
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองคนที่อยู่บนพื้น “สามคนนี้มีที่มาไม่ชัดเจน โกหกหลอกลวง พาตัวไปสอบสวน” แม้ไม่รู้ว่าอู๋สยาคิดจะทำอันใด แต่เมื่อเป็นสิ่งที่อู๋สยาอยากทำ แน่นอนว่าคุณชายเว่ยจะสานต่อให้สำเร็จเพื่อภรรยาที่รักของเขา
“ขอรับ ใต้เท้า” ผู้ตรวจการไม่กล้ามีใจทะนุถนอมต่อสตรีอีกแล้ว รีบลากตัวเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกออกไป เฉียวเฟยเยียนต่อต้าน ร้องเสียงดัง “ปล่อยข้านะ อย่ามาแตะต้องข้า ฮือ…มั่วเอ๋อร์ เจ้าใจร้ายเพียงนี้เลยหรือ ข้าไม่ได้โกหกนะ…ช่างกล้านัก พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” ผู้ตรวจการถูกนางต่อต้านจึงเริ่มไม่พอใจขึ้นมา ไม่มีความปรานีอีกต่อไป เดิมทีคิดว่าลากออกไปจากตรงนี้แล้วจะเกรงใจต่อสามแม่ลูกสักหน่อย ในเมื่อไม่รู้คุณค่าของคนอื่นก็อย่ามาหาว่าพวกเขาไม่เกรงใจแล้วกัน คำสั่งของใต้เท้าหากจัดการไม่ดีล่ะก็…
“ยังนิ่งอยู่ทำไม เอาตัวไปสิ ช่างกล้านัก ใต้เท้าโอรสสวรรค์ยังกล้าโกหกหลอกลวง”
เซียวเย่ว์อู่ถูกสองคนยึดตัวเอาไว้จึงต่อต้านไม่ได้ โกรธจนหน้าแดงก่ำ นางไหนเลยจะรับความน่าน้อยใจนี้ได้ เอ่ยเสียงดังขึ้นมา “พวกเจ้าช่างกล้านัก มารดาของข้าเป็นฮูหยินฉู่กั๋วกง ยังไม่รีบระวังชีวิตพวกพวกเจ้าอีกหรือ”
ผู้คนโดยรอบหันไปมองหนานกงมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว ดูว่านางจะมีปฏิกิริยาเช่นไรทันที นอกจากนั้นยังมีบางส่วนที่ใช้สายตาราวกับมองตัวประหลาดจับจ้องไปยังเซียวเย่ว์อู่… นี่มันตัวประหลาดนี่นา มาพร่ำโวยวายอยู่ตรงหน้าคุณหนูใหญ่หนานกงว่ามารดาของตนเป็นฮูหยินฉู่กั๋วกง นั่นไม่ได้หมายความว่าสตรีชุดขาวผู้นี้เป็นมารดาของคุณหนูใหญ่หนานกงหรอกหรือ แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยเห็นหนานกงฮูหยินเมิ่งซื่อ แต่อย่างน้อยสตรีตรงหน้านอกจากความสวยที่คล้ายกัน ก็หาสิ่งที่เหมือนกันไม่เจอเลยสักที่
หนานกงมั่วรูปร่างหน้าตาคล้ายเมิ่งซื่อ แต่เมิ่งซื่อและเฉียวเฟยเยียนไม่คล้ายกันเลยแม้เพียงนิด อย่างไรก็เป็นเพียงญาติผู้น้อง อีกทั้งยังเป็นญาติห่างๆ อีกด้วย มารดาเฉียวเฟยเยียนเป็นเพียงบุตรีเชื้อสายรองของพี่น้องท่านปู่ของเมิ่งซื่อคนหนึ่งเท่านั้น เพียงเพราะเชื้อสายหลักในตระกูลเมิ่งนั้นมีไม่มากจึงได้ใกล้ชิดกัน
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ดวงตานิ่งเรียบไม่ได้มีความโกรธเหมือนผู้คนที่มามุงดู เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “มารดาข้าจากไปนานหลายปีแล้ว พวกท่าน…ได้โปรดให้เกียรติด้วย”
“เอาตัวไป” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด สำหรับที่สามแม่ลูกทำลายชื่อเสียงของหนานกงไหว ในเมื่ออู๋สยาไม่ว่าอันใดเขาจึงทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้ตรวจการกลัวว่าทั้งสามจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกจึงรีบคุมตัวพวกเขาออกไป เซียวเชียนหนิงที่เดินอยู่หลังสุดจ้องหนานกงมั่วด้วยความเกลียดชัง ดวงดาฉายแววมาดร้ายและกรุ่นโกรธ หนานกงมั่วเอนตัวพิงเว่ยจวินมั่ว พลางนึกสงสัยว่าสามแม่ลูกนี้จะทำสิ่งใดได้บ้าง
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดให้ดูแล้ว ผู้คนจึงพากันแยกย้าย อย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้านทานต่อสายตาเย็นชาของเว่ยซื่อจื่อได้ แต่ในจำนวนนั้นแน่นอนว่ามีผู้ที่แตกต่าง คุณชายฉังเฟิงที่เคยยืนยิ้มอยู่มุมหนึ่งของถนนกำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ เอ่ยกับทั้งสอง “พระชายาซื่อจื่อนับวันยิ่งมีชื่อเสียง ไปไหนก็ครึกครื้นดีจริงๆ”
หนานกงมั่วกลอกตาใส่เขาอย่างเบื่อหน่าย วาจากลั้วหัวเราะแปลกประหลาดที่ดังขึ้นเมื่อครู่คาดว่าคงออกมาจากปากของเขาอย่างแน่นอน
“เจ้ามาทำอันใด” เว่ยจวินมั่วเหลือบตามองเขา เอ่ยถาม ลิ่นฉังเฟิงยักคิ้วหลิ่วตามองหนานกงมั่วด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แต่งงานแล้ว ก็ไม่สนใจพี่น้องแล้วหรือ เว่ยซื่อจื่อ ให้ความสำคัญกับภรรยามากกว่าเพื่อนไม่ถูกนะ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ…ภรรยาเป็นดั่งเสื้อผ้า พี่น้องเป็นดั่งแขนขา”
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองขึ้นลงสำรวจเขา เอ่ยเสียงเรียบ “เช่นนั้นหรือ เช่นนี้…เจ้าก็ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหรือ” ขณะที่เอ่ย มือของเขาก็เลื่อนมาสัมผัสยังชิ้นหยกที่ห้อยอยู่บริเวณเอว แน่นอนลิ่นฉังเฟิงรู้ดีว่าที่เอวนั้นซ่อนสิ่งใดอยู่ หากเขาดึงดาบอ่อนออกมาตวัดใส่ ต่อให้ไม่บาดเจ็บ วิ่งหนีมันก็ขายหน้านะรู้หรือไม่
เบี่ยงตัวมาหลบด้านข้างหนานกงมั่ว จากนั้นก็เอ่ยประจบขึ้นว่า “แม่นางมั่ว ยินดีกับการแต่งงานนะ”
หนานกงมั่วยิ้ม ทว่ากลับทำให้ลิ่นฉังเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือก เอ่ย “ขอโทษด้วย คุณชายฉังเฟิงได้โปรดอยู่ห่างข้าสักนิด ข้าเป็นเสื้อผ้าของคนอื่น ไม่รู้ว่าคุณชายลิ่นเคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่”
“ว่าอย่างไร” นึกขึ้นได้ว่าล่วงเกินใครอยู่ คุณชายฉังเฟิงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ
หนานกงมั่วเอ่ย “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของข้า ข้าจะตัดมือมันทิ้งเสีย”
โหดร้าย สตรีมีพิษ
ลิ่นฉังเฟิงยกมือขึ้นปิดปาก ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว มองดูคู่สามีภรรยาชั่วร้ายด้วยใบหน้าสลด มองท่าทางน่าสงสารของเขา หนานกงมั่วแค่นยิ้มชี้ไปยังหอหลิงซีด้านหลัง เอ่ยขึ้น “พึ่งหารือการค้าไป ท่านเข้าไปคุยรายละเอียดกับผู้จัดการร้านเถิด เรื่องหลังจากนี้คงต้องรบกวนคุณชายลิ่นแล้ว”
“รับรองภารกิจสำเร็จลุล่วง” คุณชายฉังเฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น ตั้งแต่รับกิจการของหนานกงมั่วมาอยู่ในมือ คุณชายฉังเฟิงรู้สึกว่าตนเองยุ่งจนจะกลายเป็นลูกข่างอยู่แล้ว เทียบกับการจัดการกิจการเหล่านี้ การแขวนชื่อเป็นเจ้าสำนักวังจื่อเซียวสบายกว่าอีก คุณชายฉังเฟิงผู้รักสนุกรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนไม่อยากออกไปเตร็ดเตร่ที่ใดแล้ว ไม่ง่ายกว่าจะได้ออกมาเดินสูดอากาศเช่นวันนี้ ใครจะรู้ว่ามาเจอกับละครฉากใหญ่โดยบังเอิญแล้วยังถูกหนานกงมั่วใช้งานอีกแล้ว
มองใครบางคนเดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวเศร้าใจ ไม่นานก็ดีใจขึ้นมาอีก หนานกงมั่วจึงหันกลับไปมองเว่ยจวินมั่วราวกับต้องการถาม
เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกมาคว้านางเข้าสู่อ้อมแขน เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอันใดหรอก เขาป่วยน่ะ เราไปกันเถิด”
ดังนั้น สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันจึงเดินจูงมือกันออกไปด้วยความหวานชื่น ปล่อยคุณชายกับใบหน้าหล่อเหลาที่เปลี่ยนอารมณ์ไปมาไว้ผู้เดียวที่หน้าหอหลิงซี จนคนอื่นตกใจหลีกหนีออกห่าง คิดอยู่ในใจ คนผู้นี้บ้าไปกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อคุณชายฉังเฟิงได้สติกลับมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของทั้งสองแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธ “เว่ยจวินมั่ว ต้องมีสักวันที่เราจะได้เห็นดีกัน”
ผู้คนที่เดินผ่านรีบเดินหนีห่าง ผู้จัดการและเสี่ยวเอ้อร์หอหลิงซีมีท่าทีระแวดระวัง คนบ้ามายืนขวางหน้าร้านกลางวันแสกๆ เช่นนี้ วันนี้มันวันอะไรกันนะ
ทางด้านจวนฉู่กั๋วกง หนานกงไหวกำลังสนทนากับหนานกงชวี่และหนานกงฮุย พูดคุยพลางสังเกตท่าทีของบุตรชายทั้งสอง ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าจะแต่งงานใหม่ ท่าทีของบุตรชายทั้งสองนั้นแตกต่างไปจากที่เขาคาดเอาไว้ เดิมทีคิดว่าหนานกงฮุยผู้ใจร้อนมุทะลุจะต่อต้าน และหนานกงชวี่ที่สุขุมนุ่มลึกคงไม่ตอบรับง่ายๆ ทว่าไม่คิดว่าทั้งสองจะทำราวกับไม่ใส่ใจว่าเขาจะแต่งใคร และสิ่งที่ทำให้หนานกงไหวให้ความสนใจก็คือ… “ชวี่เอ๋อร์ เจ้ายังจำเยียน…น้าของเจ้าได้หรือไม่”