ตอนที่ 296 ซาลาเปาตีหมา (3)
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เห็นได้ชัดว่านายท่านลิ่นคงไม่คิดเช่นนั้นเพคะ” และและกิจการในมือตระกูลชนชั้นสูงกับกิจการที่ดูแลเองก็ไม่เหมือนกันเลย บรรดาลูกหลานชนชั้นสูงต่อให้เอาการเอางานอย่างไรก็ไม่มีทางลงไปดูแลกิจการและที่ดินด้วยตัวเองเป็นแน่ อย่างมากก็แค่ดูบัญชีบ้างเท่านั้น ห้องโถงใหญ่บนชั้นสองของหอเทียนอียามนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด หอเทียนอีมีพื้นที่กว้างขวาง กินพื้นที่ตำแหน่งร้านที่ดีที่สุดในถนนเส้นนี้เท่ากับห้าหกร้าน ทั้งยังมีสองชั้นและมีเรือนด้านหลังด้วย ตรงกลางมีหอเล็กๆ สี่ชั้น สวนห้าหกสวนด้านหลังถูกตกแต่งเป็นสวนดอกไม้งดงาม ทำให้บรรดานักปราชญ์และนักวิชาการทั้งหลายเพลิดเพลินจนลืมกลับบ้าน นอกจากนี้ นอกจากห้องพิเศษที่ถูกตกแต่งแปลกตาแตกต่างกันไปแล้ว ยังมีห้องโถงเอาไว้จัดพิธีกว่าหกห้อง นี่เป็นผลงานของลิ่นฉังเฟิงที่จัดการตกแต่งตามความต้องการของหนานกงมั่ว แขกของที่นี่มาจากรายชื่อผู้เข้าสอบจอหงวนที่จะจัดสอบสามปีหนึ่งครั้ง นักวรรณกรรมที่ชื่นชอบศิลปะความงดงามเป็นต้น แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกจับจอง แต่ตั้งแต่เปิดกิจการตลอดสองเดือนมานี้ขอเพียงมีการเหมาห้องโถงเอาไว้ ก็จะได้รายรับเทียบเท่ากับการเปิดหอเทียนอีทั้งวันเป็นเวลาเจ็ดแปดวันทีเดียว
ยามนี้หอเทียนอีกลับไม่ได้มีความเงียบสงบดังเช่นด้านนอกที่เห็นแล้ว ลิ่นฉังเฟิงยืนอยู่ในห้องโถงจ้องมองชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่ รอยยิ้มขี้เล่นที่เคยมียามนี้กลับหายไป เหลือไว้เพียงความเฉยเมยและเย่อหยิ่ง ในห้องโถงกว้างใหญ่ ที่นั่งเหนือสุดมีชายวัยกว่าสี่สิบต้นๆ นั่งอยู่ แม้อายุมากแล้วทว่ายังคงมีความสง่างามและหล่อเหลา นั่นคือผู้นำตระกูลลิ่นในเวลานี้ บิดาของลิ่นฉังเฟิง ถัดลงมามีชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยซึ่งสีหน้าที่แตกต่างออกไป ข้างกายมีสตรีวัยสามสิบสี่นั่งอยู่ด้านข้างอีกคน นั่นคือนายหญิงของนายท่านลิ่นแห่งตระกูลลิ่น
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะกลับไปหรือไม่” นายท่านลิ่นชี้หน้าลิ่นฉังเฟิงแล้วเอ่ยถามเสียงดังด้วยความโกรธ
ลิ่นฉังเฟิงยิ้มหยัน “กลับไปทำไมกัน ให้ถูกท่านโบยจนลุกไม่ได้ต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือ”
ปึง!
ฝ่ามือของนายท่านลิ่นตบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง เอ่ยเสียงดัง “ต่อให้ข้าโบยเจ้าให้ตายก็ย่อมดีกว่าเจ้าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำเช่นนี้”
“ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำอย่างนั้นหรือ” ลิ่นฉังเฟิงยิ้มเย็น “พูดได้ดี อย่างไรจึงจะเรียกว่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำหรือ เหมือนคนพวกนี้ที่วันๆ เอาแต่เที่ยวหอนางโลมและดื่มเหล้า กินข้าวไม่จ่ายเงิน ทะเลาะต่อยตีไปทั่ว รอลูกชายสุดที่รักของท่านสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว พึ่งจมูกคนอื่นหายใจ ขอทานจากคนอื่นกินเอาหรือ ข้าลิ่นฉังเฟิงไม่ได้ตกต่ำถึงเพียงนั้น”
หนุ่มสาวที่อยู่ตรงนั้นใบหน้าไม่น่ามองขึ้นมา เด็กหนุ่มที่น่าจะอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีก้าวเดินออกมาด้านหน้า เอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านเอ่ยอันใดกัน พวกเราล้วนเป็นพี่น้อง ไยจึง…” ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะเยาะขัดจังหวะคำพูดของเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามาเล่นละครสงสาร ท่านพ่อ ท่านไล่ข้าออกจากบ้านแล้วมิใช่หรือ วันนี้มาทำอันใดกันเล่า”
นายท่านลิ่นเอ่ยเสียงดัง “ต่อให้ไล่ออกจากบ้าน ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้ามาทำลายชื่อเสียงตระกูลลิ่น”
“ท่านพ่อหมายความว่าต่อไปข้าจะใช้แซ่ลิ่นไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ เอ่ยเสียงเรียบ “ตามใจ ต่อไปข้าไม่แซ่ลิ่นก็ได้”
“ลูกสารเลว สารเลว” นายท่านลิ่นโกรธจนตัวสั่น ลิ่นฮูหยินที่อยู่ด้านข้างรีบปลอบโยนพลางเอ่ย “คุณชายใหญ่ ท่านอย่าพึ่งพูดมากเลย นายท่าน…” ลิ่นฉังเฟิงไม่ยอม “หุบปากของเจ้าเสีย อย่ามาแสดงบทแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงต่อหน้าข้า เห็นท่าทางเสแสร้งของเจ้ากับลูกชายของเจ้าข้าก็ขยะแขยงเต็มทีแล้ว”
“บังอาจ!” นายท่านลิ่นเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
ลิ่นฉังเฟิงราวกับมองไม่เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของนายท่านลิ่น เลิกคิ้วหันไปมองชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่นั่งอยู่ด้านข้างไม่กี่คนนั้น กล่าวว่า “พวกเจ้ายุยงตาแก่มาหาเรื่องที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินหรือ เป็นถึงคุณชายตระกูลลิ่นแม้แต่เงินกินข้าวก็ไม่มีจ่ายอย่างนั้นหรือ ไม่เป็นไร ข้ามีเงิน ถือเสียว่าเป็นรางวัลให้แก่พวกเจ้า เด็กๆ” ลิ่นฉังเฟิงตบมือ ไม่นานเสี่ยวเอ้อร์สี่คนก็ยกถาดเดินเข้ามา บนถาดมีก้อนตำลึงเงินวางอยู่ หนึ่งก้อนเป็นเงินสิบตำลึง ชั่วพริบตาชายหนุ่มเหล่านั้นต่างจับจ้องจนตาพร่าโดยไม่รู้ตัว ถาดที่ทั้งสี่คนยกเข้ามานั้นมีก้อนตำลึงเงินวางอยู่ถาดละยี่สิบก้อน นับรวมกันแล้วเป็นเงินกว่าแปดร้อยตำลึง
สำหรับคุณชายตระกูลลิ่นอย่างเช่นน้องชายของลิ่นฉังเฟิง แปดร้อยตำลึงไม่นับประสาอะไร แต่สำหรับคุณชายคนอื่นๆ ที่แอบมองอยู่ไกลๆ นับได้ว่าเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว ตระกูลร่ำรวยแค่ไหนก็ย่อมมีญาติยากจนอยู่บ้าง การต่อสู้ในตระกูลชนชั้นสูงเป็นสิ่งที่คนนอกไม่อาจจินตนาการถึงได้ เช่นพวกเขาที่คอยแอบฟังอยู่นี้เดิมก็มิได้ร่ำรวย เพราะว่าตระกูลลิ่นไม่ยอมให้ขายหน้าตาคนอื่น ดังนั้นเมื่อใช้จ่ายจึงไม่ธรรมดา ดังนั้นในแต่ละวันจึงผ่านไปอย่างยากจนข้นแค้น ไยคนพวกนี้จึงชอบประจบประแจงคุณชายรองตระกูลลิ่นที่เกิดจากฮูหยินคนใหม่ ก็เพราะว่าอาจมีผลประโยชน์บางอย่างจากคุณชายแห่งตระกูลลิ่นมาถึงพวกเขาบ้าง แต่ทว่าความจริงแล้ว ต่อให้เป็นคุณชายน้อยคนสุดท้องของตระกูลลิ่น แต่ยามนี้ยังไม่ขึ้นปกครองตระกูลและยังไม่ได้รับแบ่งกิจการใดๆ เงินแปดร้อยตำลึงก็ไม่ใช่จะควักออกมาได้ง่ายๆ
ลิ่นฉังเฟิงหยิบก้อนตำลึงเงินหนึ่งก้อนขึ้นมาโยนชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ จากนั้นโยนไปให้ใครคนหนึ่ง
“โอ้” เงินสิบตำลึงกระแทกเข้ากับร่างคนคนนั้น แม้ลิ่นฉังเฟิงจะไม่ได้ออกแรงแต่ก็ไม่เบาเลย คนที่ถูกก้อนเงินตำลึงกระแทกเข้าใส่จึงร้องออกมา แต่กลับไม่สนใจหน้าตารีบคว้าหยิบเอาก้อนเงินนั้นไปทันที คิ้วคมของลิ่นฉังเฟิงเลิกขึ้น ออกคำสั่งด้วยรอยยิ้ม “ทุบมันให้ข้า ทุบตายแล้วข้าจะรับผิดชอบเอง พวกเขาอยากได้เงินไม่ใช่หรือ เพียงเงินเหลือๆ ในมือของข้าก็มีมากกว่าลิ่นฉังอานที่พวกเขาประจบประแจงมาโข”
“ขอรับ คุณชาย” ช่วงนี้หอเทียนอีถูกตระกูลลิ่นมาก่อความวุ่นวายไม่น้อย แม้กระทั่งบรรดาเสี่ยวเอ้อร์เองยังรู้สึกรำคาญ ยามนี้มีโอกาสลงมือแน่นอนว่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงหยิบก้อนตำลึงเงินขึ้นมาแล้วขว้างปาออกไปด้วยความสะใจ ชั่วพริบตาทั่วทั้งห้องโถงพลันเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดโอย ต่างวิ่งหลบซ่อนตัวกันระนาว บางคนด่าทอไม่หยุด ทว่ายังมีสองคนที่เงินขาดมืออดไม่ได้อยากเข้าไปเก็บเอาก้อนตำลึงเงินเหล่านั้น แน่นอนว่าจึงถูกก้อนตำลึงเงินกระแทกเข้าที่ศีรษะจนเลือดไหลนอง
“บังอาจ บังอาจยิ่งนัก” นายท่านลิ่นโกรธจนตัวสั่นใบหน้าเขียวคล้ำ ลิ่นฉังเฟิงยืนอยู่ตรงหน้าเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นบิดาผู้นี้อยู่ในสายตา ที่ทำให้เขาไม่พอใจไปกว่านั้นคือลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องพวกนี้ มองสายตาเย้ยหยันของบุตรชายแล้ว นายท่านลิ่นก็รู้สึกราวกับถูกใครมาตบเข้าใส่จนหน้าชา
“ลิ่นฉังเฟิง” นายท่านลิ่นลุกขึ้นยืนทันใด เอ่ยเสียงดัง “เจ้าคิดว่าเจ้าหาเงินได้ไม่กี่ตำลึงก็เก่งมากนักหรือ ตระกูลลิ่นของข้าไม่ขาดเงินเล็กน้อยเท่านี้หรอก ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากแค่ไหนกัน หอเทียนอีของเจ้าจะอยู่ไปได้นานเพียงใด” ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว รังสีอาฆาตพุ่งออกมาจากดวงตาเหยี่ยวของเขา “ความหมายของท่านพ่อก็คือคิดจะใช้อำนาจของตระกูลลิ่นมากดดันข้าเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วอย่างไร” นายท่านลิ่นยิ้มเย็น มองลิ่นฉังเฟิงอย่างดูถูก “วันนี้บิดาผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าถึงจุดจบของชีวิต โบราณว่าจนไม่ต่อกับสู้รวย รวยไม่ต่อสู้กับขุนนาง เรื่องง่ายๆ แค่นี้เจ้ายังไม่รู้หรือ เพียงตระกูลลิ่นของข้าเอ่ยปาก เจ้าคิดว่าในจินหลิงใครจะกล้าคุ้มครองเจ้า ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงหรือ หึ รอเขาได้เป็นจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก่อนค่อยว่ากันเถิด”
“เอ๋ นายท่านลิ่นช่างยโสโอหังเสียจริง” น้ำเสียงติดหัวเราะดังออกมาจากประตู “ได้ยินวาจานี้ของนายท่านลิ่น ข้านึกว่าทั่วทั้งจินหลิงนี้มีเพียงนายท่านลิ่นเป็นใหญ่ที่สุดเสียอีก”