ตอนที่ 308 จุดยืนของอำนาจฮ่องเต้กับตระกูลขุนนาง (2)
หนานกงมั่วนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด องค์หญิงฉังผิงไม่ถนัดเรื่องการเมือง ตระกูลขุนนางที่หยั่งรากลึกเหล่านั้นมีตระกูลใดบ้างที่ไม่มีเรื่องซุกซ่อนไม่อาจเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ครอบครัวจะดูทรงเกียรติสง่าผ่าเผยเพียงใดก็ตาม ใครจะรับรองได้ว่าลึกๆ แล้วจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากคิดจะจับจริงๆ เลือกจับตระกูลใดก็ได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น บางทีการมีอยู่ของตระกูลเหล่านี้ยิ่งเป็นการคุกคามต่ออำนาจของฝ่าบาทอย่างหนึ่ง ฮ่องเต้ผู้มีอำนาจสูงสุดองค์ใดก็ไม่อาจทนต่อการมีอยู่ของตระกูลที่มีอำนาจแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ควรขอบคุณที่ฮ่องเต้นั้นขึ้นครองราชย์เมื่ออายุยังน้อย หลายปีมานี้คอยจัดการบ้านเมือง จัดการเหล่าวีรบุรุษที่ร่วมก่อตั้งประเทศซึ่งมีทหารอยู่ในมือ การล่มสลายของตระกูลเมิ่งและการถ่อมตัวของตระกูลเซี่ยก็ทำให้บรรดาตระกูลยิ่งใหญ่เหล่านั้นระแวดระวังขึ้นมาบ้าง มิเช่นนั้นเกรงว่าฝ่าบาทคงลงมือกับคนพวกนี้ไปนานแล้ว
ยามนี้ฝ่าบาทก็มีอายุมากแล้ว ซ้ำองค์รัชทายาทอ่อนแอ หวงจั่งซุนยังไม่ประสีประสา ฮ่องเต้ย่อมต้องการปูทางราบเรียบไว้ให้พวกเขาเป็นเรื่องธรรมดา
องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “โชคดี เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรามากนัก จวินเอ๋อร์อยู่ข้างนอกให้เขาระมัดระวังตัวเอาไว้บ้าง เมื่อถึงเวลาก็บอกลากับเสด็จพ่อ พวกเจ้าไปอยู่โยวโจวเสีย”
หนานกงมั่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยตอบ เกรงว่าพวกนางจะปลีกตัวออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น การขึ้นครองราชย์ก็ใกล้เข้ามาถึงเต็มที เว่ยจวินมั่วคงไม่อาจออกจากเมืองหลวงไปได้ง่ายๆ พวกนางอยู่ที่นี่ อย่างน้อยจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องสถานการณ์แทนเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง หากเกิดเรื่องใดขึ้นจะได้เตรียมตัวได้ทันเวลา
เทียบเชิญครั้งนี้เกาอี้ปั๋วจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองจูชูอวี้ที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นเซี่ยนจู่พร้อมทั้งครบรอบอายุสิบแปดปี วัยสิบแปดเรียกได้ว่าเป็นสาววัยแรกแย้ม แต่ในเมืองจินหลิงความจริงเป็นช่วงอายุที่น่ากระอักกระอ่วนแล้ว บุตรีของตระกูลมีอำนาจ ส่วนมากอายุสิบหกสิบเจ็ดแม้กระทั่งสิบห้าก็ออกเรือนแล้ว อายุสิบแปดแล้วยังไม่ออกเรือนนั้นมีน้อย แม้ตระกูลจูจะบอกว่าบุตรียังต้องการเวลาอีกสองปี แต่อย่างไรก็ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกๆ ต่อให้ยังไม่อยากครองเรือนต่อไปอีกสองปีอย่างน้อยก็ต้องหมั้นหมายเอาไว้ก่อน แต่นี่กลับไร้ซึ่งวี่แววข่าวการหมั้นหมายของคุณหนูตระกูลจูแม้แต่น้อย
ยามนี้จูชูอวี้ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นเซี่ยนจู่ บรรดาคุณชายในจินหลิงที่ยังไม่แต่งงานล้วนดีอกดีใจ แม้แต่ตระกูลชั้นสูงหลายตระกูลเองก็ยังหวั่นไหว เดิมจูชูอวี้นั้นเป็นสตรีผู้มีความสามารถ รูปร่างหน้าตานับว่าจัดอยู่อันดับต้นๆ ในบรรดาคุณหนูเมืองจินหลิง เดิมทีตระกูลจูเป็นตระกูลพ่อค้าที่เป็นที่น่ารังเกียจ ยามนี้เห็นว่าตระกูลจูกำลังทะยานสูงขึ้นมา และจูชูอวี้ยังได้รับแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่ เมื่อก่อนยังมีซิงเฉิงจวิ้นจู่หนานกงมั่วคอยกดจูชูอวี้เอาไว้ ยามนี้หนานกงมั่วออกเรือนไปแล้ว บรรดาคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน แน่นอนว่าจูชูอวี้ย่อมกลายเป็นที่หนึ่ง
หลายวันมานี้ ตระกูลจูเรียกได้ว่ามีเรื่องน่ายินดีต่อเนื่อง จูชูอวี้ได้รับแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่ คุณชายใหญ่ตระกูลจูกำลังจะแต่งงานกับหย่งชังจวิ้นจู่ ลูกหลานตระกูลจูหรือญาติใกล้เคียงขอเพียงมีความสามารถก็ได้เข้ารับราชการในราชสำนักทั้งนั้น แม้แต่ฤดูใบไม่ผลิปีหน้าก็ยังเข้าได้อีก หากรู้ว่ายามนี้ตระกูลใหญ่ในจินหลิง ตระกูลเซี่ยแทบจะไม่มีใครเข้ารับราชการในราชสำนักเลย ตระกูลลิ่นสูงที่สุดน่าจะเป็นข้าราชการขั้นสองแต่อยู่นอกเมือง ไม่ได้อยู่ในจินหลิง ข้าราชการของตระกูลลิ่นที่อยู่ในจินหลิงสูงสุดคงจะอยู่ขั้นสี่เพียงเท่านั้น นอกจากนี้ตระกูลอื่นๆ เองก็ไม่ได้ต่างกันมาก และตระกูลวีรบุรุษใหม่อย่างตระกูลหนานกงนั้นก็มีเพียงหนานกงชวี่และหนานกงฮุยที่พึ่งจะอยู่ขั้นห้าและหก จวนเอ้อกั๋วกงเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อองค์รัชทายาทจึงดีขึ้นมาสักหน่อย จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนอกจากเว่ยจวินมั่วแล้วก็ไม่ต่างอันใดกับจวนฉู่กั๋วกง ยามนี้ผู้ที่ยึดพื้นที่ในราชสำนักมาที่สุดคงเป็นผู้เล่าเรียนศึกษาที่มาจากครอบครัวยากจน
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลชั้นขุนนางจะไร้ซึ่งอำนาจ บรรดาผู้เล่าเรียนศึกษาเหล่านั้นมีสักกี่คนที่ไม่มีตระกูลขุนนางสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง นี่นับเป็นการประนีประนอมต่ออำนาจของฮ่องเต้ในทางอ้อม หากเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันปกครองต่อไป สมดุลอำนาจเช่นนี้คงไม่เป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างไร แต่เมื่อใดที่ฮ่องเต้จากไป ฮ่องเต้องค์ใหม่อ่อนแอ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่ถูกกดเอาไว้จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นเหตุผลที่ฝ่าบาทอุ้มชูตระกูลจูขึ้นมาคงเป็นเพราะดักทางตระกูลขุนนางเอาไว้ และ…ตระกูลจูที่เป็นดาบในมือของฝ่าบาท หลังจากต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับตระกูลขุนนางเหล่านี้แล้ว สุดท้ายต่อให้มีฝ่าบาทคอยคุ้มครองแต่จะเหลือเท่าใดกันเชียว สุดท้ายเมื่อไร้ประโยชน์แล้วอาจจะถูกโยนทิ้งก็เป็นได้
หนานกงมั่วไม่รู้ว่าตระกูลจูที่เลือกพึ่งพาอาศัยจวนรัชทายาทเคยคำนึงถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่ หรือพวกเขาอาจคิดได้แต่ไม่มีทางเลือก เพราะคนที่เดินหมากจริงๆ ย่อมมิใช่องค์รัชทายาทผู้จิตใจดี ทว่าเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งอยู่ในวังหลวงต่างหาก
“คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่”
จวนเกาอี้ปั๋ว จูชูอวี้อยู่ในอาภรณ์สีม่วงอ่อน ท่าทางงดงามอ่อนหวาน ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกดี มองเห็นหนานกงมั่วเดินลงจากรถม้า จูชูอวี้จึงรีบเข้ามาต้อนรับ เอ่ยทักทายด้วยท่าทีนอบน้อม
หนานกงมั่วยิ้มบาง “ซั่นจยาเซี่ยนจู่ ไม่ต้องมากพิธี ขอแสดงความยินดีกับเซี่ยนจู่” หนานกงมั่วมองสำรวจจูชูอวี้เงียบๆ พบว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จูชูอวี้ดูเปลี่ยนไปมากทีเดียว แทบมองไม่เห็นเงาคุณหนูผู้ทะเยอทะยานแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องผู้นั้นอีกแล้ว ประหนึ่งว่านางสุภาพเยือกเย็น อ่อนหวาน สู่งส่งมาโดยกำเนิด กระทั่งสายตาที่นางมองมายังตนนั้นยังไม่มีความเป็นศัตรูหรือไม่ยินยอมใดๆ เลยสักนิด ราวกับว่าความรู้สึกก่อนหน้านั้นเป็นหนานกงมั่วที่คิดไปเอง
หนานกงมั่วเข้าใจในทันที เมื่อก่อนไม่รู้ด้วยเหตุผลใดจูชูอวี้จึงอยากแต่งกับเว่ยจวินมั่วจึงทำอะไรไม่คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เกรงว่าบุตรีเช่นจูชูอวี้นั้นคงมีอิทธิพลต่อตระกูลจูมากกว่าบุตรชายคนโตของตระกูลเสียแล้วกระมัง จูชูอวี้ที่เป็นเช่นนี้รับมือยากกว่าคนเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย หวังเพียงว่าพวกนางคงไม่ใช่ศัตรู อย่างไรเสียบนโลกนี้มีสตรีเฉลียวฉลาดมากสักหน่อยถึงจะน่าสนใจ
จูชูอวี้ยิ้มบาง เอ่ยตอบ “พระชายาซื่อจื่อมาถึงที่นี่ได้ ชูอวี้รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งแล้วเจ้าค่ะ หากดูแลไม่ดีได้โปรดอภัยด้วย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”
“เซี่ยนจู่เกรงใจแล้ว” หนานกงมั่วพยักหน้า เดินตามคนของจวนเกาอี้ปั๋วเข้าไปด้านใน
คนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับจูชูอวี้นั้นมีไม่น้อย เพราะจูชูอวี้เป็นผู้น้อย ดังนั้นคนที่มาร่วมแสดงความยินดีนั้นต่างเป็นคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนหรือฮูหยินน้อย นอกจากนี้ยังมีฮูหยินที่อายุมากขึ้นมาสักหน่อยไม่กี่คน คนเหล่านี้ส่วนมากมาเพื่อหาลูกสะใภ้ ทุกคนต่างรู้กันดีโดยไม่ต้องพูดออกมา
“มั่วเอ๋อร์…” พึ่งเดินเข้าประตูไปก็มองเห็นเซี่ยเพ่ยหวนยืนส่งยิ้มให้ตนเองอยู่ไม่ไกล ตั้งแต่แต่งงานหนานกงมั่วก็ไม่ได้เจอเซี่ยเพ่ยหวนเลย จึงรีบเดินเข้าไปหา “เพ่ยหวน ไม่เจอกันนานเลย” เซี่ยเพ่ยหวนมองสำรวจนาง พลางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ดูเหมือนเว่ยซื่อจื่อจะดีกับเจ้าไม่น้อย มีสง่าราศีดูสวยยิ่งกว่าตอนอยู่จวนฉู่กั๋วกงเสียอีก”
หนานกงมั่วตีหน้าเข้ม เอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “อย่าล้อเลียนข้า ข้าส่องกระจกทุกวัน”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มร่า โบกปัดมือให้สาวใช้ข้างๆ “ไม่ต้องติดตามพวกข้า ข้าจะคุยกับมั่วเอ๋อร์” หนานกงมั่วเองก็โบกมือส่งสัญญาณให้พวกจือซูทั้งสองให้ถอยออกไป พระชายาซื่อจื่อมีผู้ติดตามมากมาย แต่เมื่ออยู่บ้านคนอื่นยังจะมีคนคอยติดตามอยู่ก็คงไม่ใช่ หากบรรดาคุณหนูทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ ต่อให้สวนดอกไม้ที่นี่จะกว้างใหญ่เพียงใดอย่างไรก็คงแออัดไม่น้อย