ตอนที่ 380 ใจคนไม่พอ คดโกงไม่สิ้น (2)
หนานกงมั่วกล่าวว่า “แล้วเช่นนี้ ฝ่าบาทจำเป็นต้องมอบของขวัญหรือไม่ เวลาจัดงานพิธีต้องออกเงินหรือไม่ ต้องมอบของกำนัลให้นางสนมหรือไม่ คนเราเมื่อเจริญสัมพันธไมตรีกันต้องมีค่าใช้จ่ายหรือไม่เล่า”
แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเป็นข้ออ้างให้เซียวเชียนเยี่ยรับสินบนได้ เขาถอนหายใจเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น จวิ้นอ๋องและชินอ๋องอื่นๆ ใช้ชีวิตอย่างไรเล่า” หนานกงมั่วไหวไล่ เอ่ยตอบ “เรื่องนี้ คงเป็นเพราะหวงจั่งซุนใช้เงินไม่เป็นกระมังเพคะ”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า เอ่ย “ก็จริง หากเชียนเยี่ยมีชายาที่สามารถหาเงินได้เก่งเช่นเจ้า เขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีก ดูเหมือนเจ้าจะรังเกียจหวงจั่งซุนใช่หรือไม่” เอ่ยมาเนิ่นนาน ก็มีแต่นินทาเซียวเชียนเยี่ย จวนของตัวเองก็ยังจัดการได้ไม่ดี รับสินบนเช่นนี้แล้วจะไปบริหารประเทศได้เยี่ยงไร ดังเช่นประโยคที่บรรดานักปราญช์ขี้อิจฉาเอ่ยว่า กวาดบ้านกวาดช่องไม่ได้ ริจะไปกวาดล้างแผ่นดิน
“หม่อมฉันยอมรับเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาททรงทราบนานแล้วหรือ แล้วฝ่าบาทให้หม่อมฉันไปสืบเรื่องนี้กับจวินมั่วจะดีหรือเพคะ” ไม่กลัวว่าเราจะเจตนากลั่นแกล้งเซียวเชียนเยี่ยอีกทางหรือ
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองฟังให้ดี พวกเจ้าไปเพื่อปลอบขวัญประชาชนและจัดการกับพวกหน้าโง่ที่ไม่รู้ประสา และเรื่องนี้…ไม่เกี่ยวอันใดกับหวง จั่ง ซุน!”
ฉะนั้นจึงยังจำเป็นต้องปกป้องเซียวเชียนเยี่ย ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ห้ามให้เกี่ยวอันใดกับหวงจั่งซุนเด็ดขาด หนานกงมั่วรู้สึกว่าฮ่องเต้รักหลานชายผู้นี้ยิ่งนัก
หนานกงมั่วกะพริบตา เอ่ยถามว่า “หากคนเหล่านั้นไม่เชื่อฟังให้ทำเช่นไรดีเพคะ” แม้พวกเขาจะมีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่และซื่อจื่อ แต่จะว่าไปแล้วเว่ยจวินมั่วมียศผิ่นชั้นสามขั้นฉง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในบางพื้นที่คงไม่ยอม โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ที่ติดภูเขา
“ฆ่าทิ้ง!” ฮ่องเต้เอ่ยโดยไม่กะพริบตา “เราขอมอบกระบี่อาญาสิทธิ์และป้ายทองให้แก่พวกเจ้า เลื่อนตำแหน่งเว่ยจวินมั่วขึ้นเป็นผู้ตรวจการสอบสวนพิเศษขั้นสอง ได้หรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณพร้อมกัน
“ไปได้แล้ว!” ฮ่องเต้รับสั่งด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
หากอยู่ต่อไปคงถูกลงโทษเป็นแน่แท้ ทั้งสองจึงออกไป
หลังออกจากห้องทรงอักษรแล้ว หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยท่านซื่อจื่อ ท่านได้รับการเลื่อนยศรวดเร็วทีเดียว” เว่ยซื่อจื่อเริ่มจากซื่อจื่อผู้ไม่มีตำแหน่งทางราชการจนได้เป็นถึงผู้ตรวจการสอบสวนพิเศษขั้นสองของราชสำนักโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปี เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเร็วราวกับติดปีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น ยังเริ่มจากแม่ทัพผู้นำกองทัพไปสู้รบ มาถึงผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวง ไปจนถึงผู้ตรวจการสอบสวนความผิด เป็นทั้งขุนนางบู๊และบุ๋นสลับสับเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ ไม่รู้ว่าจะถูกสาปแช่งจากคนหนุ่มในจินหลิงมากน้อยสักเท่าใดกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตำแหน่งทางราชการสูงขึ้น อำนาจทางการทหารก็จะหายไป เว่ยซื่อจื่อเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงเพียงสองสามเดือนเท่านั้น ฮ่องเต้กำลังแกล้งคนหรือไม่
เว่ยซื่อจื่อมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาไม่เคยคิดว่าฮ่องเต้จะปล่อยให้เขามีอำนาจทางทหารเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮ่องเต้รู้ว่าตนเองกำลังจะรับมือไม่ไหว ต้องรู้ไว้ว่าฮ่องเต้ไม่เพียงกีดกันพวกขุนนางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าเมืองด้วย
ไม่ว่าเหล่าตระกูลขุนนางและจวิ้นอ๋องทั้งสามยังคงพัวพันในเมืองจินหลิงอย่างไร หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็พร้อมออกจากเมืองหลวงเพื่อเดินทางไปทำภารกิจแล้ว หากด้วยสถานะแล้ว แม้พวกเขาจะไม่ใช่ลูกหลานเชื้อสายหลักในองค์ฮ่องเต้ ทว่าก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะออกจากเมืองหลวงไปยังวัดต้ากวงหมิง ยามนี้จินหลิงกำลังวุ่นวาย เป็นเรื่องดีที่จะได้ออกจากเมืองไป เดิมทีที่เว่ยจวินมั่วมิได้ทำก็มิได้คิดจะไม่ทำจริงๆ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงนิสัยเย็นชาไม่ใส่ใจผู้อื่นเท่านั้น
องค์หญิงฉังผิงเห็นด้วยที่จะให้บุตรและสะใภ้ออกจากเมืองหลวงไป ยามนี้นับว่าโชคร้ายหากต้องอยู่ในจินหลิง แม้ออกไปทำภารกิจจะเสี่ยงภัย ทว่าองค์หญิงฉังผิงก็มั่นใจในฝีมือของบุตรและสะใภ้ของนาง อย่างมากก็เพียงนำองครักษ์ไปด้วย อย่างไรก็ดีกว่าอยู่ในเมืองจินหลิงโดยไม่รู้ว่าจะติดกับของคนอื่นเมื่อใด
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเจ้าต้องเดินทางไกล ฉะนั้นแม่จะไม่เอ่ยอันใดมาก พวกเจ้าระวังตัวด้วย” องค์หญิงฉังผิงส่งทั้งสองออกจากจวนเยี่ยนอ๋อง เอ่ยกำชับ บุตรและสะใภ้มีฝีมือยอดเยี่ยมเกินไปก็เป็นปัญหาเช่นกัน องค์หญิงฉังผิงเห็นว่าบุตรกำลังจะเดินทางไปแล้ว ตนเป็นผู้ใหญ่ก็จริงแต่ไม่มีอันใดจะเอ่ยเพราะพวกเขารู้มากกว่านางเสียอีก
หนานกงมั่วพยักหน้ารับ รับขนมที่องค์หญิงฉังผิงเตรียมให้แล้วจึงกล่าวว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าและจวินมั่วจะระวังตัว หากเสด็จแม่ว่างก็ออกไปเดินเล่นกับเสด็จป้า อย่าได้กังวลไปเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้าแล้วยิ้ม “อย่าได้กังวล แม่รู้ จวินเอ๋อร์ ดูแลอู๋สยาให้ดีด้วย”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เสด็จแม่ ดูแลพระองค์ด้วย”
“ไปเถิด” องค์หญิงฉังผิงยิ้ม
ทั้งสองกล่าวอำลาองค์หญิงฉังผิง ต่างคนต่างจูงม้าของตัวเองไปยังประตูเมือง ภายในจินหลิงไม่อนุญาตให้ม้าวิ่ง แม้บนถนนในยามเช้าจะไร้ซึ่งผู้คน แต่ก็ไม่คิดฝืนข้อห้ามให้มีผู้ใดมาตำหนิเอาได้
ทันทีที่เดินไปถึงประตูเมือง ก็พบกับคุณชายฉังเฟิงที่เห็นได้ชัดว่ารอที่หน้าประตูเมืองอยู่นานแล้ว ลิ่นฉังเฟิงพิงม้าสีเกาลัดและมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วเลิกคิ้วแล้วยิ้มพลางเอ่ย “ลิ่นฉังเฟิง ไยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” ลินฉังเฟิงมองแล้วเอ่ยตอบว่า “ทำไมเล่า ข้าออกจากจินหลิงไม่ได้หรือ” หนานกงมั่วกลอกตาพลางเอ่ยว่า “แผ่นดินนั้นกว้างใหญ่ ถนนหนทางมากมายไปหมด คุณชายฉังเฟิงอยากออกจากเมืองหลวงก็ไปสิ มารออันใดตรงนี้เล่า”
ลิ่นฉังเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็…ถามเว่ยซื่อจื่อของเจ้าสิ ข้าไม่ได้อยากตามไปด้วยสักหน่อย”
หนานกงมั่วหันกลับมามองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเราต้องมีคนช่วยทำงาน ข้าจำได้ว่าข้าบอกให้เจ้าไปที่หลิงโจวก่อน” คุณชายฉังเฟิงถอนหายใจอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เบะปาก “ข้ามารอพวกเจ้าที่นี่ก็เพื่อแจ้งข่าวร้ายกับเจ้า เจ้าควรรีบไปให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้…เกิดเหตุวุ่นวายใดๆ เพราะไม่ง่ายที่จะอธิบายให้ฮ่องเต้ฟัง”
“ร้ายแรงเพียงนั้นเลยหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “คันกั้นน้ำพังทลายเดือนแปด กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว สามเดือนที่ผ่านมาไร้ซึ่งความช่วยเหลือแก่ผู้เดือดร้อน ไม่มีเสบียงอาหารและไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ เจ้าคิดว่าร้ายแรงหรือไม่เล่า”
หนานกงมั่วสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย “เซียวเชียนเยี่ยสมควรตายจริงๆ!”
“แม่นางมั่ว เจ้าลองเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ดูเถิด” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วเหลือบมองเขา เอ่ย “ข้าไม่ได้โง่” ทันใดนั้นก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา… ลิ่นฉังเฟิงสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าจากไปทันที คุณชายฉังเฟิงเอ่ยขึ้นทั้งที่ห่างออกไปไกล “ข้าจะไปรอพวกเจ้าสองคนที่หลิงโจว” หนานกงมั่วถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์อันใดเลย มองไปยังเว่ยจวินมั่วแล้วจึงเอ่ย “เราก็รีบไปกันเถิด”
ในเดือนแปดเมืองหลิงโจวเป็นที่ที่คันกั้นน้ำพังทลายรุนแรงที่สุด คนสนิทที่เซียวเชียนเยี่ยมอบตำแหน่งให้คือผู้ว่าการของหลิงโจว เดิมอยู่รอดมาได้ด้วยผลงานเพียงเล็กน้อยและความอาวุโส หลังจากกลับมาเมืองหลวง ด้วยอิทธิพลของหวงจั่งซุนทำให้ได้รับความสำคัญไปด้วย ทว่าใครจะไปรู้ว่าคนผู้นี้กลับไม่ไว้หน้าหวงจั่งซุนแม้แต่น้อย ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งก็รีบกอบโกยผลประโยชน์ ในละแวกใกล้เคียงหลิงโจวมีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ถูกแต่งตั้งโดยเซียวเชียนเยี่ย ทว่าพวกข้าราชการที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งส่วนใหญ่แล้วจะกระทำเพียงความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนผู้นี้ที่เซียวเชียนเยี่ยเป็นผู้ส่งไปหลังการสอบราชการกลับเป็นตรงข้าม ก่อเรื่องขึ้นใหญ่โต ซึ่งก็ไม่รู้เขาโชคไม่ดีหรือเซียวเชียนถึงคราวซวยแล้ว