ตอนที่ 390 กลางดึกในค่ายทหาร (2)
หนานกงมั่วยิ้ม “ข้าขายอาหารให้กับท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพให้เงินกับข้า เดิมนั่นก็เป็นการค้าแล้ว ถ้าหากในอนาคตงานใหญ่ของท่านสำเร็จลุล่วง มอบเส้นทางการค้าไปยังทิศตะวันตกให้ตระกูลมั่วของข้า นับว่าดีที่สุดแล้ว”
แม้แม่ทัพอู่เต๋อจะไม่ใช่พ่อค้า แต่เส้นทางการค้านี้ทำเงินมากเพียงใดเขาพอจะรู้อยู่บ้าง หรี่ตาลองมองหนานกงมั่ว “คุณชายมั่วสมแล้วที่ทำการค้า เพียงแต่…ฟังดูเหมือนคุณชายมั่วจะมิได้เชื่อใจแม่ทัพเช่นข้า” ดังนั้นจึงใช้คำว่า ถ้าหาก หากเขาพลาดก็ไม่ต้องทำสัญญา
หนานกงมั่วเอ่ย “ท่านแม่ทัพก็บอกแล้วว่าข้าเป็นพ่อค้า ข้าเชื่อเพียงสิ่งที่ดวงตามองเห็นเท่านั้น”
แม่ทัพอู่เต๋อยิ้มเย็น เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หารือการค้า คุณชายมั่วมีสิ่งใดที่ข้ามองเห็นได้บ้างหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะรวบรวมอาหารให้กองทหารของท่านหนึ่งล้านหาบ[1] เพียงแต่ เงินที่ท่านแม่ทัพจะซื้ออาหาร…”
แม่ทัพอู่เต๋อยิ้มเย็น เอ่ย “ข้าไม่ขาดเงินแม้เพียงนิด ขอเพียงท่านสามารถรวบรวมเสบียงอาหารครบหนึ่งล้านหาบ” หนานกงมั่วลุกขึ้น “เช่นนั้น ท่านแม่ทัพรอดูได้เลย”
“ได้”
“ข้าน้อยต้องขอตัวแล้ว”
แม่ทัพอู่เต๋อก็ไม่รั้งพวกเขา มาส่งพวกเขากลับไป เมื่อเดินออกมาแล้ว เพียงเดินออกไปได้ชั่วครู่เวยจึงเอ่ยขึ้น “คุณชาย ด้านหลังมีคนตามมาขอรับ จะสะบัดพวกเขาทิ้งหรือไม่ขอรับ” หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ย “ไม่ต้อง ปล่อยให้พวกเขาตามมา ส่งข่าวให้ลิ่นฉังเฟิง ให้คนรวบรวมเสบียงส่งมายังหลิงโจว”
“จะนำเสบียงอาหารมาให้แม่ทัพอู่เต๋อจริงหรือขอรับ” เวยตกตะลึง เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ใบหน้างดงามของหนานกงมั่วเผยรอยยิ้มเย็นออกมา “เสบียงของข้าเขามีชีวิตมารับได้ก็ต้องมีชีวิตใช้ หนึ่งเดือนหลังจากนี้ยังจะมีแม่ทัพอู่เต๋ออยู่อีกหรือ” แม้แน่นอนว่าแม่ทัพอู่เต๋อไม่อาจใช้เสบียงอาหารเหล่านี้ได้ แต่ประชาชนชาวหลิงโจวต้องการอาหารพวกนี้เพื่อผ่านฤดูหนาวไปให้ได้
“อาหารหนึ่งล้านหาบ ระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าเราคงรวบรวมได้ไม่มากเพียงนั้นขอรับ” เวยเอ่ยเสียงทุ้ม
หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่เป็นไร ให้คนส่งข่าวไปยังจินหลิง ฝ่าบาทจะจัดการได้อย่างแน่นอน” หากพวกเขาสามารถรวบรวมได้ครบจำนวนมากเพียงนั้นนั่นสิถึงจะเป็นปัญหา แม้ว่าฮ่องเต้จะเกลียดคนไร้ความสามารถ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ชอบประชาชนที่เก่งกาจจนเกินไป
สองวันต่อมา ทั้งสองเดินเที่ยวเล่นอยู่ในหลิงโจว คนของแม่ทัพอู่เต๋อจับตามองพวกเขามาตลอดสองวันพบว่าทั้งสองไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยจึงค่อยๆ แยกย้ายกลับไป วันที่สามลิ่นฉังเฟิงกลับมาแล้ว นำข่าวเกี่ยวกับกองกำลังทหารรักษาการณ์ในหลิงโจวกลับมาด้วย
ลิ่นฉังเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะหนึ่งพร้อมกับดื่มชาไปอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ย “เมื่อครู่พึ่งเข้าใจแจ่มชัด เมื่อครั้งที่คันกั้นน้ำพังทลาย บังเอิญค่ายทหารเองก็ถูกน้ำชะล้างไปด้วย ดังนั้นกองกำลังเองก็สูญเสียไปไม่น้อย มิเช่นนั้นเชาอู่เองก็คงไม่อาจยึดครองเมืองหลิงโจวได้ง่ายเพียงนี้ ยามนี้ในมือของเชาอู่มีกองกำลังทหารของราชสำนักที่เข้ากับเขากว่าสามสี่หมื่นคน ประชาชนที่อยากร่วมก่อกบฏกับเขามีเจ็ดแปดหมื่นคน รวมไปถึงจอมยุทธในยุทธภพที่มาเข้าร่วมกับเชาอู่อีกทั้งผู้คนที่เขาจับตัวมามีจำนวนกว่าแสนคน ดังนั้น ในมือของเชาอู่ตอนนี้มีทหารกว่าสองแสนคน”
หนานกงมั่วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ เอ่ย “แต่ว่า คนที่สู้รบได้จริงๆ มีเพียงสามสี่หมื่นคน อีกทั้งในจำนวนสามสี่หมื่นคนนี้ไม่แน่นอนว่าจะภักดีต่อเชาอู่จริงหรือไม่”
ลิ่นฉังเฟิงส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้น แต่ว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้คนพวกนี้ก็ใช่ว่าเราจะรับมือได้” เพียงพวกเขาไม่กี่คน ถึงแม้คนพวกนั้นจะสู้รบไม่เป็น สองแสนกว่าคนถุยน้ำลายก็สามารถทำให้พวกเขาต้องจมน้ำตายได้ “นอกจากนี้ทุกที่ยังมีประชาชนที่ไม่อาจทนอยู่ได้และคิดจะขึ้นเป็นใหญ่ ดังนั้น…หลิงโจวในยามนี้ เกือบจะจมลงไปในโคลนตมแล้วจริงๆ”
หนานกงมั่วส่งเสียงหยัน เอ่ย “ไปเอาตัวตานซินออกมาให้ข้า ข้าต้องใช้”
ลิ่นฉังเฟิงเกิดความสงสัยหันไปมองนาง หนานกงมั่วเอ่ย “พวกเราไม่คุ้นเคยกับหลิงโจว ต้องเอาคนที่คุ้นเคยออกมาถามจะดีกว่า ยังมีใครเหมาะสมไปกว่าตานซินผู้นี้อีกหรือ” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ตานซินถูกขังอยู่ในคุกจวนแม่ทัพ หากเราจะเข้าไปปล้นคุกจวนแม่ทัพ คิดว่าเราคงอยู่เมืองหลิงโจวต่อไปไม่ได้ เจ้ายังอยากทำการค้ากับเชาอู่อยู่มิใช่หรือ”
“ข้าล้อเขาเล่น” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ใช่ว่าข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเสียหน่อย ต่อให้มีอาหารข้าก็ไม่กล้าขายให้เขาหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่มี” ในมือนางมีเงินไม่น้อยก็จริง แต่หากเป็นอาหาร ไม่อาจหามาได้มากเพียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินเจ้าสาวของนางหรือทรัพย์สินส่วนตัวของเว่ยจวินมั่วก็มีกิจการอาหารเพียงไม่กี่ร้าน ลิ่นฉังเฟิงกุมขมับ เอ่ย “เช่นนั้นแม่นางมั่วไยเจ้ายังไปคุยโวโอ้อวดจะรวบรวมอาหารหนึ่งล้านหาบเล่า”
หนานกงมั่วมองเขาเงียบๆ เอ่ย “ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ความหมายของข้าคือให้ท่านส่งคนกลับจินหลิงไปรวบรวมอาหารหนึ่งล้านหาบมา ท่านวางใจ เมืองจินหลิงคนมีเงินและคนโง่นั้นมีไม่น้อย เพียงทูลขอจากฝ่าบาทเดี๋ยวก็มีอาหาร กระทั่งคลังของประเทศก็ไม่ต้องเปิด ฝ่าบาทจะต้องพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง”
คนที่ถูกเจ้าหลอกใช้คงไม่ยินดีด้วยแน่
“กองกำลังทหารหลิงโจวที่พ่ายแพ้ไปอยู่ที่ใดหรือ สืบข่าวได้หรือไม่” หนานกงมั่วเปลี่ยนเรื่องไป ใบหน้าของลิ่นฉังเฟิงยังคงนิ่ง พยักหน้าพลางเอ่ย “สืบได้แล้ว แต่ว่าสถานการณ์ของพวกเขาไม่ดีนัก”
“คาดเดาได้แล้ว” หนานกงมั่วเองไม่สนใจ “หากดี คงไม่ไร้ข่าวคราวจนถึงตอนนี้ ในเมื่อรู้สถานที่แล้ว พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถิด หวังว่าคงจะไม่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยหรอกนะ”
กองกำลังประจำการณ์ที่หลิงโจวนั้นสถานการณ์ไม่ดีจริงๆ เมื่อกบฏเข้ามาและบีบให้พวกเขาล่าถอยไปอยู่ในเขตเมืองเล็กๆ ที่ทุรกันดารห่างไกล พึ่งถูกน้ำท่วมไปเดิมก็ทุรกันดารอยู่แล้วก็ยิ่งไม่มีคนและไม่มีอาหารหนักขึ้น หากกองทัพยังคงไม่ได้รับความช่วยเหลือคงไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีกเป็นแน่ แม้แต่คิดจะส่งคนไปขอความช่วยเหลือก็ถูกจอมยุทธของเชาอู่จัดการจนสะอาด เชาอู่เองก็ไม่คิดจะต่อสู้กับพวกเขา เพียงกักขังไว้ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ปล่อยให้พวกเขาหิวตายไป
พวกหนานกงมั่วทั้งสามเดินทางมาถึงด้านนอกของเมืองเล็กๆ พลันมองเห็นนายทหารตัวซีดผอม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งบนหอสูง มองเห็นทั้งสามคนที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านปรากฏตัวอยู่ด้านล่าง นายทหารที่ยืนเวรจึงตื่นตระหนก รีบเข้าไปรายงานหัวหน้า
หนานกงมั่วไม่เอ่ยสิ่งใดมาก โบกป้ายทองในมือ เอ่ย “เปิดประตูเมือง”
แม้เป็นทหารชั้นล่าง แต่มังกรทองที่วาววับราวกับมีชีวิตนั้นพวกเขาย่อมดูออก คนที่รู้หนังสืออยู่บ้างยิ่งอ่านตัวหนังสือสี่ตัวบนป้ายนั้นได้ ‘ดุจข้ามาเยือน’
“เอ่อ…”
“เปิดประตูเมือง” เสียงแหบดังขึ้นบนหอสูง ไม่นานประตูเมืองที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก ไม่นานทั้งสามคนก็มองเห็นชายผู้ออกคำสั่ง เป็นนายทหารระดับผู้บังคัญบัญชาอายุราวๆ พึ่งจะสามสิบ ชายผู้นี้ใบหน้าซูบผอม ท่าทางเหนื่อยอ่อน ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ แม้กระทั่งชุดออกรบที่สวมอยู่ยังเต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง
ชายหนุ่มมองเห็นทั้งสามคน สุดท้ายเคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่หนานกงมั่ว ขมวดคิ้ว “แม่นางท่านนี้…มีป้ายทองอาญาสิทธิ์ของฝ่าบาท ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดหรือขอรับ” เดิมเขาไม่ได้อยากคุยกับหนานกงมั่ว ต้องมาเจอสตรีท่าทางบอบบางในเวลานี้มิใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าใดนัก ต่อให้นางเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ต่อให้ส่งนักปราชญ์โบราณคร่ำครึไร้ความสามารถมาสักคนหนึ่งก็คงมีประโยชน์กว่านี้หรือไม่ แต่เมื่อมองตำแหน่งการยืนแล้วชายหนุ่มสองคนด้านหลังนั้นมีสตรีงดงามผู้นี้เป็นหัวหน้า อีกทั้งป้ายทองของฝ่าบาทยังอยู่ในมือของนาง
————————-
[1] หาบ เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของจีน หนึ่งหาบราวๆ 50 กิโลกรัม