หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 391 กลางดึกในค่ายทหาร (3)

ตอนที่ 391 กลางดึกในค่ายทหาร (3)

ตอนที่ 391 กลางดึกในค่ายทหาร (3)
หนานกงมั่วเก็บป้ายทองพลางหัวเราะ เอ่ย “หนานกงมั่ว ขอถามท่านแม่ทัพมีนามว่าอย่างไร”

ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นหันไปประสานมือคารวะหนานกงมั่ว เอ่ย “ที่แท้คือซิงเฉิงจวิ้นจู่ ได้ยินชื่อเสียงมานาน ข้าน้อยเจียงฉงเฟิง รองผู้บัญชาการเมืองหลิงโจวขอรับ” แม้จะอยู่ไกลถึงหลิงโจว ทว่าชื่อเสียงของหนานกงมั่ว เจียงฉงเฟิงก็เคยได้ยินมาบ้าง ขณะเดียวกันก็ลอบพ่นลมหายใจอยู่ในใจ อย่างน้อยตามคำเล่าลือที่เคยได้ยินมาจวิ้นจู่ผู้นี้ก็มิใช่สตรีอ่อนแอบอบบางที่ต้องการคนคอยปกป้อง ไม่ว่าจะช่วยอะไรได้หรือไม่ ยามนี้ขอเพียงไม่มาสร้างความวุ่ยวายเพิ่มก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว

นึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เจียงฉงเฟิงทำได้เพียงกล้ำกลืนความสิ้นหวังและขมขื่นลงไป หลิงโจวเกิดความวุ่นวาย ผู้บัญชาการถูกสังหาร เขาผู้เป็นรองผู้บัญชาการที่ถูกละเลยราวกับอากาศมาก่อนต้องรีบรวบรวมกำลังทหารและล่าถอยมาตั้งค่ายอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ นิสัยการทรงงานของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเขาพอรู้มาบ้าง เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เขาผู้เป็นรองผู้บัญชาการคงยากที่จะหลีกหนีต่อโทษละเลยหน้าที่ในครั้งนี้ได้

หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “รองผู้บัญชาการเจียง ลำบากท่านแล้ว”

เจียงฉงเฟิงยิ้มขมขื่น “มิกล้า ได้รับคำชื่นชม ทว่ายามนี้สถานการณ์ตอนนี้…ข้าไม่กล้ารับคำว่าลำบากสองคำนี้ได้เลยจริงๆ ขอรับ”

ลิ่นฉังเฟิงลูบปลายคาง เอ่ย “แม่นางมั่ว เราเข้าไปหารือกันด้านในดีหรือไม่” มาพูดคุยกันอยู่หน้าประตูเมืองนี่มันอย่างไรกัน

เจียงฉงเฟิงรีบเอ่ย “ข้าสะเพร่าแล้ว จวิ้นจู่เชิญด้านในขอรับ”

เจียงฉงเฟิงเชิญทั้งสามเข้าไปในเมือง เมืองเล็กๆ ดูว่างเปล่า เพียงสัมผัสได้ถึงสายตาที่ลอดผ่านหลังหน้าต่างมาบ้างเป็นบางครั้ง ขณะเดินไปเจียงฉงเฟิงพลางเอ่ยขึ้นมาอย่างจนใจ “เดิมเมืองนี้ก็มีชาวเมืองไม่ถึงสามหมื่นคน เมื่อคันกั้นน้ำพังทลายเกิดน้ำท่วม จึงอพยพหนีไปบางส่วน ยามนี้ผู้คนในเมืองเหลืออยู่ประมาณหนึ่งถึงสองพันคน เห็นได้ว่าตอนนี้ในเมืองแทบจะไปไม่รอดแล้ว คนพวกนี้ก็อยากจะไปอยู่ที่อื่น”

หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ด้านนอกไม่แน่อาจจะดีกว่าที่นี่สักหน่อย ในเมืองมีทหารเท่าใดหรือ”

เจียงฉงเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงเอ่ยตอบ “ยามนี้ทหารในเมืองมีไม่ถึงสองหมื่นขอรับ”

หนานกงมั่วย่นคิ้ว ในมือของเชาอู่อย่างน้อยมีทหารกว่าสองแสน ไม่ว่าจะเป็นการสามัคคีกันหรือไม่อย่างไรก็เป็นคนที่มีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ทหารไม่ถึงสองหมื่นนายในมือของเจียงฉงเฟิงเองดูเหมือนมิได้มีความพร้อมอะไรมากนัก

“เดิมหลิงโจวมีทหารมากเพียงใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

เจียงฉงเฟิงเอ่ยตอบ “ในเมืองหลิงโจวมีพลทหารทั้งหมดสามหมื่นห้าพันนาย นอกจากนี้ หลิงโจวเป็นพื้นที่ของเย่ว์จวิ้นอ๋อง ดังนั้นจึงมีกองกำลังของจวิ้นอ๋องอีกสองหมื่น อีกทั้งยังมีทหารที่แบ่งตามเมืองต่างๆ ประมาณสองหมื่นนาย เดิมทีนายทหารในเมืองหลิงโจวมีไม่ถึงหนึ่งแสนขอรับ” หนานกงมั่วพยักหน้า “แต่ว่าตอนนี้ในมือแม่ทัพอู่เต๋อมีทหารกว่าสองแสน และพวกเรามีไม่ถึงสองหมื่น”

ใบหน้าเจียงฉงเฟิงปรากฏความละอายใจขึ้นมา แม้อาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่จะก่อตั้งประเทศมาไม่ถึงยี่สิบปี แต่ทหารในแถบลุ่มแม่น้ำนั้นสงบสุข ไม่มีทักษะการรบเท่าเมื่อครั้งก่อตั้งประเทศ ยามนี้ทหารที่มีพร้อมทั้งทักษะและอาวุธนั้นล้วนอยู่ในการควบคุมของผู้ปกครองหัวเมืองต่างๆ ลิ่นฉังเฟิงเดินตามพวกเขาทั้งสองอยู่ด้านหลัง เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “จวิ้นจู่ ตอนนี้เราจะทำเช่นไรต่อ”

หนานกงมั่วมองเจียงฉงเฟิง เจียงฉงเฟิงเอ่ย “หากจากที่นี่สิบกว่าลี้เป็นที่ตั้งของทหารกบฏ ที่นั่น…อย่างน้อยก็มีกำลังพลกว่าห้าหมื่นนาย เพียงแต่ ล้วนเป็นทหารที่มีทักษะกันทั้งนั้น”

หนานกงมั่วเลิกคิ้วมองเขาคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม แน่นอนว่าเจียงฉงเฟิงเข้าใจความหมายที่หนานกงมั่วจะสื่อ ทหารไม่กี่หมื่นก็สามารถกักขังพวกเขาไว้ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้ เจียงฉงเฟิงจึงกระแอมไปเบาๆ ลูบปลายจมูก เอ่ย “จวิ้นจู่ พวกเรา…ในเมืองไม่มีเสบียงอาหารแล้วขอรับ” ไม่มีอาหารจะทำสงครามได้เช่นไร หากยังไม่มีกำลังเสริมในอีกระยะเวลาสั้นๆ เจียงฉงเฟิงยังไม่มั่นใจเลยว่าตนเองจะอยู่ไปได้อีกหรือไม่ ภัยพิบัติเมืองหลิงโจวพึ่งผ่านไป ต่อให้อยากไปปล้นเสบียงอาหารก็ไม่รู้ว่าต้องไปปล้นที่ไหน

หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ไม่ต้องกังวล เสบียงอาหารนั้นมีแน่ กำลังเสริมนั้นก็ย่อมมีเช่นกัน”

กลางดึก หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงออกจากเมืองเล็กๆ มุ่งหน้าตรงไปยังค่ายทหารห่างออกไปสิบกว่าลี้แล้วซ่อนตัวอยู่นอกค่ายทหาร มองค่ายทหารตรงหน้าแล้วลิ่นฉังเฟิงก็ขมวดคิ้ว ถอนหายใจ เอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ แม่นางมั่วเจ้ามาที่นี่จะมีประโยชน์ใดหรือ ตอนนี้พวกเราไม่มีอันใดเลย ไม่อาจปะทะกับทหารกบฏได้นะ หรือเจ้าคิดจะจับโจรเอาหัวหน้า[1]อย่างนั้นหรือ”

หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดว่าจะปะทะกับทหารกบฏ” ข้าทำสงครามไม่เป็นหรอกนะ ชี้ไปยังค่ายทหารตรงหน้า หน้าประตูมีเงาของคนขยับไปมา หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าคิดว่าคนพวกนี้มีความจงรักภักดีต่อเชาอู่มากเพียงใด” ลิ่นฉังเฟิงแค่นยิ้ม “จงรักภักดีหรือ หากเชาอู่อยากเป็นวีรบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศดูเหมือนจะยังห่างไกลอยู่มาก” ดูจากที่เขาทำเมืองหลิงโจวยุ่งเหยิงเพียงนี้ฝีมือยังห่างไกลกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเมื่อครั้งนั้นอยู่มากโข ลิ่นฉังเฟิงมองหนานกงมั่วด้วยท่าทางตื่นตระหนก “เจ้าคิดจะละเว้นโทษหรือ”

หนานกงมั่วเอ่ย “มิเช่นนั้นพวกเราจะมาทำอันใดกันเล่า เพียงแต่…ก่อนจะได้ละเว้นโทษคงต้องได้เห็นเลือดเสียก่อน”

กลางดึก ค่ายทหารปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงส่วนลึกเข้าไปในค่ายที่มีการร้องรำทำเพลงดังออกมา หนานกงมั่วยังคงสงบนิ่ง ยิ้มพลางเอ่ย “ตัวอักษรแปดตัวยังไม่ทันได้เริ่มเขียนสักขีด คนพวกนี้กลับมีความสุขเสียแล้ว” ผู้บัญชาการกองทัพเป็นเช่นนี้ สี่พี่น้องร่วมสาบานที่เมืองชิงสุ่ยก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้ หนานกงมั่วสงสัยเหลือเกินว่าคนพวกนี้อยากก่อกบฏหรือเพียงล้อเล่นเท่านั้น

ลิ่นฉังเฟิงยิ้ม “คนในยุทธภพหรือ คุ้นชินกับการไม่คิดเล็กคิดน้อยเสียแล้ว”

ยามนี้ผู้นำทัพของเชาอู่กว่าครึ่งเป็นผู้คุ้มภัยหรือคนในยุทธภพที่มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน คนพวกนี้ย่อมไม่ได้เกิดในตระกูลแม่ทัพหรือขุนนาง และไม่ได้เกิดในครอบครับชาวบ้านยากจนต้องดิ้นรนอย่างแท้จริง พูดให้แน่ชัดลงไปแล้ว พวกเขาเพียงทำเพื่อความต้องการที่ชั่วช้าของตนเองก็เท่านั้น ดังนั้นคนที่ยังไม่ทันได้เริ่มลงมือทำทว่ากลับเหิมเกริมได้เช่นนี้จึงไม่มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจนัก

ทั้งสองพุ่งเข้าไปยังค่ายทหารด้วยความไวราวกับเงาสองเส้น ผ่านกระโจมไปทีละกระโจม หลบเลี่ยงจากทหารลาดตระเวน ไม่นานก็มาถึงกระโจมหลักกลางค่าย หน้ากระโจมมีทหารสี่นายยืนเฝ้าอยู่ ด้านในกระโจมมีเสียงร้องรำทำเพลง กลิ่นสุราฉุนลอยออกมา ทำให้คนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ เมื่อมองเข้าไปด้านในยังมองเห็นหญิงสาวที่กำลังร่ายรำ

นายทหารคนหนึ่งหาวออกมาและมองไปยังกระโจมด้านหลัง เอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉา “สุราช่างหอมเสียจริง ข้าหิวแล้วนะ”

นายทหารอีกคนกลอกตา เอ่ย “หิวแล้วก็ต้องทน ใครบ้างจะไม่หิว สุราอาหารด้านในต่อให้ดีเพียงใดก็ไม่มีของเรา ระวังหัวจะหลุดจากบ่านั่นถึงเป็นเรื่องจริง” นายทหารยกมือขึ้นปิดปาก บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “คนเบื้องบนมีเหล้าดื่ม มีเนื้อกิน ทั้งยังมีหญิงงาม พวกเรากลับต้องมายืนรับลมหนาวอยู่ตรงนี้ ไยความแตกต่างจึงมากถึงเพียงนี้กันนะ”

“หากตอนแรกเจ้าร่วมก่อกบฏกับแม่ทัพอู่เต๋อ หากเจ้าถูกแม่ทัพอู่เต๋อเรียกเจ้าว่าพี่น้อง ตอนนี้เจ้าก็จะได้นั่งร่ำสุรากินเนื้ออยู่ด้านใน พวกเราเป็นทหารรู้หรือไม่ นั่นคือน้องชายภรรยาของแม่ทัพอู่เต๋อนะ”

—————————-

[1] จับโจรเอาหัวหน้า เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการทำศึกสงคราม จะต้องบุกเข้าโจมตีศัตรูในจุดที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพ เพื่อสลายกำลังของศัตรูให้แตกกระจาย

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท