ตอนที่ 507 ลูกสาวตัวดี (3)
หนานกงไหวลูบหลังปลอบใจเฉียวเฟยเยียนเบาๆ “อย่าร้องไห้ไปเลย เย่ว์อู่ไม่รู้ความ ข้าจะสั่งสอนนางเอง”
เฉียวเย่ว์อู่หัวเราะ เลิกคิ้วแล้วมองไปยังหนานกงไหว “ท่านลุงหนานกง ถึงแม้ท่านพ่อของข้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าถ้าข้าไม่ใช่นานสกุลเซียว ก็ต้องนามสกุลเฉียว ย่อมมิใช่หน้าที่ของท่านที่จะมาสั่งสอนข้า”
“อู่เอ๋อร์!” เฉียวเฟยเยียนมองบุตรีด้วยความโมโห สองสามวันมานี้บุตรีผู้นี้ก่อเรื่องให้นางตลอด “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว เจ้าคือคุณหนูสามของตระกูลหนานกง ท่านพี่หนานกงคือบิดาผู้ให้กำเนิดของเจ้า”
เฉียวเย่ว์อู่เลิกคิ้ว “อ้อ เช่นนั้นแล้วทำไมข้าถึงไม่นามสกุลหนานกงเล่า ท่านกล้าออกไปบอกคนทั้งเมืองจินหลิงว่าข้าไม่ได้ชื่อเฉียวเย่ว์อู่ แต่ชื่อหนานกงเย่ว์อู๋หรือไม่”
เฉียวเฟยเยียนเอ่ยวาจาไม่ออก มองหนานกงไหวอย่างน่าสงสาร หนานกงไหวถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เย่ว์อู๋ ข้ากับท่านแม่ของเจ้าก็ลำบากใจเช่นกัน”
เฉียวเย่ว์อู่ยิ้มเย้ยหยันแล้วจึงเอ่ย “ข้ารู้ เพียงคนผู้หนึ่งแอบเล่นชู้กับชายอื่นลับหลังสามีตัวเอง ส่วนอีกคนก็แอบภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ไปเล่นชู้กับภรรยาผู้อื่นมิใช่หรือ อย่าทำเป็นเอ่ยเหมือนตัวเองยิ่งใหญ่ คนทั้งโลกเทียบท่านไม่ได้ไปหน่อยเลย”
“อู่เอ๋อร์…เจ้า…” เฉียวเฟยเยียนทนไม่ไหวแล้ว เป็นลมไปทันที
เห็นว่าหนานกงไหวอุ้มเฉียวเฟยเยียนเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย บนใบหน้าของเฉียวเย่ว์อู่ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเมื่อครู่ นางยิ้มราวกับหยุดยิ้มได้ เฉียวเชียนหนิงมองนางแล้วเอ่ยถามเบาๆ “เจ้าทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใด ทำลายชีวิตท่านแม่ แล้วเจ้าจะมีชีวิตที่ดีเช่นนั้นหรือ” เฉียวเย่ว์อู่หัวเราะหยัน “ข้ามีความสุข เห็นนางเจ็บปวดข้าก็มีความสุข เจ้าคิดว่าเจ้าได้เป็นผู้สืบทอดฉู่กั๋วกงแล้วเจ้าจะมีชีวิตที่ดีเช่นนั้นหรือ บรรดาขุนนางที่สูงส่งในเมืองจินหลิงไม่มีทางยอมรับคนอย่างเจ้า พี่ใหญ่ เรามาเมืองจินหลิงเกือบปีแล้ว ถึงแม้คนข้างนอกจะลือว่าเจ้าคือผู้สืบทอดฉู่กั๋วกงคนต่อไป ทว่าเรื่องแต่งงานของเจ้าจะราบรื่นเช่นนั้นหรือ บรรดาตระกูลใหญ่ไม่มีทางยอมให้บุตรีของพวกเขามาแต่งงานกับผู้ที่ทำให้สายเลือดราชวงศ์วุ่นวายเช่นเจ้า ถึงแม้ยามนี้ฮ่องเต้จะกลัวหนานกงไหว ไม่ทำอันใดเจ้า ทว่าเจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะชอบขุนนางที่มีภูมิหลังอย่างเจ้าเช่นนั้นหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าไม่ว่าฮ่องเต้จะแย่เพียงใด แต่เขาก็คือสายเลือดของราชวงศ์อาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่”
สีหน้าของเฉียวเชียนหนิงดูแย่ เขาทำสีหน้ามืดมนและไม่เอ่ยอันใด
เฉียวเย่ว์อู่ยืนขึ้นหัวเราะเยาะเบาๆ “ช่างเถิด เจ้าอยู่กับท่านพ่อคนใหม่ของเจ้าไปเถิด ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าสามคนจะไปได้ไกลเพียงใด”
“อู่เอ๋อร์ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน!” เฉียวเชียนหนิงเอ่ย
เฉียวเย่ว์อู่หัวเราะเยาะ “หลังจากที่นางโยนข้าให้หนานกงซูชั้นต่ำผู้นั้น พวกเราก็มิใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง แค้นของข้า ข้าจะแก้นแค้นเอง ถึงแม้ต้องแลกมาด้วยทุกอย่าง พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
ได้ยินเสียงการจากไปอย่างเด็ดขาดของเฉียวเย่ว์อู่ เฉียวเชียนหนิงนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องโถงเงียบๆ ในฐานะคนที่อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด ระยะนี้เฉียวเชียนหนิงไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก แต่ช่วงสิบหกปีที่ผ่านมา ที่จวนหวาหนิงจวิ้นอ๋อง เขาคือผู้สืบทอดหนึ่งเดียว ท่านแม่ปกป้องเขา ท่านพ่อรักเขา ไม่ต้องกังวลอันใด แต่หลังจากมาถึงเมืองจินหลิงกลับต้องเจอกับการเย้ยหยันนับไม่ถ้วน ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เขาจึงอยากจะปีนขึ้นไปข้างบน ทำให้ทุกคนไม่กล้าหัวเราะเยาะเขา แต่บางครั้งที่ได้นั่งครุ่นคิดเงียบๆ เขาเองก็ไม่กล้าไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถึงมากที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่อยู่ในจวนหวาหนิงจวิ้นอ๋อง ถึงแม้จะเป็นเพียงผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องของดินแดนอันห่างไกล ไม่มีอำนาจใดมากมาย ทว่ากลับอิสระมากกว่าผู้สืบทอดฉู่กั๋วกงที่ยิ่งใหญ่ในเมืองจินหลิงแห่งนี้ แต่ว่า…เดินมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะทำอันใดได้
ชื่อเสียงของท่านแม่ ชีวิตของน้องสาว แม้แต่นามสกุลที่ท่านพ่อหลงเหลือไว้ให้เขา ล้วนแต่ถูกทำลายไปหมด
เรือนลี่ฉิน
หนานกงชวี่นั่งอ่านหนังสือหลังโต๊ะหนังสือเงียบๆ เหมือนเดิม แสงไฟสลัวในห้องหนังสือทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูเย็นชา
“คุณชาย แม่นางเฉียวมาแล้วขอรับ” นอกประตู บ่าวรับใช้เอ่ยเบาๆ
“เข้ามา”
เฉียวเย่ว์อู่ผลักประตูเข้าไป เห็นหนานกงชวี่ที่นั่งอยู่ด้านใน นางก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง ถึงแม้จะอยู่ที่จวนฉู่กั๋วกงมาหลายเดือนแล้ว แต่นางไม่ค่อยได้คุยกับหนานกงชวี่เท่าใดนัก ไม่รู้ว่าทำไม นางมักจะรู้สึกว่าหนานกงชวี่แผ่กลิ่นอายอันตรายจากตัว หากไม่ระวังก็อาจตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต เหมือนครั้งก่อนที่หนานกงชวี่เกือบจะฆ่าพี่ใหญ่ เหมือนที่หนานกงชวี่เอ่ย ถึงแม้จะฆ่าพวกเขา เขตอิ้งเทียนก็ไม่มีทางลงโทษเขารุนแรง คนหนึ่งคือลูกชายาเอก แต่อีกคนคือลูกภรรยานอกสมรส เหล่าขุนนางจะเข้าข้างใคร ไม่ต้องเอ่ยก็รู้
“มีเรื่องอันใด” หนานกงชวี่มองเฉียวเย่ว์อู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เฉียวเย่ว์อู่เอ่ย “เรื่องที่ท่านให้ข้าทำ ข้าทำสำเร็จแล้ว”
หนานกงชวี่พยักหน้า “ทำได้ไม่เลว” เฉียวเย่ว์อู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เรื่องที่ท่านสัญญากับข้า…”
“ข้าไม่ได้ลืม เรื่องหนานกงซูใช่หรือไม่” หนานกงชวี่เอ่ยเบาๆ “เจ้าคงรู้ว่ายามนี้หนานกงซูคือกุ้ยเฟย อยากจัดการนางมิใช่เรื่องง่าย นอกจาก…จะทำให้นางไม่ได้รับความโปรดปราน”
“ท่านมีวิธีทำให้นางไม่ได้รับความโปรดปรานหรือ” เฉียวเย่ว์อู่ถามอย่างใจร้อน หญิงเช่นหนานกงซู แม้แต่บิดาและพี่ชายของนางยังไม่ต้องการนาง แล้วยังให้กำเนิดลูกไม่ได้ เพียงสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็ไม่ต่างอันใดจากตาย หนานกงชวี่พยักหน้าแล้วจึงเอ่ย “ตราบใดที่จวนฉู่กั๋วกงยังอยู่ หนานกงซูไม่มีทางสูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เดิมที…เจ้ายังมีโอกาสเข้าไปแทนที่หนานกงซู แต่น่าเสียดาย ตอนนี้หนานกงซูคือคนที่อยู่ในวังหลวงเพียงคนเดียวของตระกูลหนานกง ใครก็แทนที่ไม่ได้”
ความอดทนของเฉียวเย่ว์อู่ขาดผึง นางตะโกนเสียงดัง “ท่านบอกว่าจะช่วยข้า”
“ข้าเอ่ยเช่นนั้นจริงๆ แล้วข้าก็กำลังพยายามช่วยเจ้าอยู่” หนานกงชวี่เอ่ย เห็นสายตาเย็นชาของหนานกงชวี่ เฉียวเย่ว์อู่ก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ เอ่ย “ท่าน…ท่านจะทำลายจวนฉู่กั๋วกงเช่นนั้นหรือ”
หนานกงชวี่หัวเราะหยัน จากนั้นก็เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ไยจึงตกใจเช่นนี้ จวนฉู่กั๋วกงมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า ถึงแม้เฉียวเชียนหนิงจะกลายฉู่กั๋วกงคนต่อไป แล้วเจ้าเกี่ยวข้องอันใด”
เฉียวเย่ว์อู่เงียบ นางถูกบ่าวรับใช้ต่ำต้อยทำให้แปดเปื้อน เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองจินหลิง ไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลขุนนางเหล่านั้น แม้แต่ครอบครัวเล็กๆ ธรรมดาก็คงไม่มีทางแต่งกับนาง คนที่จะยอมรับนางได้ก็มีเพียงตระกูลที่อยากจะได้อำนาจของจวนฉู่กั๋วกง ไม่มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง ทว่าเฉียวเย่ว์อู่รู้ว่าถึงแม้จะเป็นตระกูลเช่นนี้ ทว่าหากแต่งเข้าไปก็คงไม่มีทางมีชีวิตที่ดี
ใช่สิ ฉู่กั๋วกงเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ไม่ว่าท่านแม่และพี่ชายของนางจะมีชีวิตที่ดีเพียงไหน ทว่าชีวิตของนางได้พังทลายไปแล้ว พังทลายไปไม่อาจหวนคืนกลับมา
ผ่านไปชั่วครู่ สีหน้าลังเลของเฉียวเย่ว์อู่ก็ค่อยๆ เด็ดเดี่ยวมากขึ้น มองหนานกงชวี่แล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านยังอยากให้ข้าทำสิ่งใด”
หนานกงชวี่ยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา “ไม่ยาก ในห้องหนังสือของท่านพ่อ มีกล่องไม้จันทน์สีเขียวเก่าแก่กล่องหนึ่ง เจ้าไปขโมยมาให้ข้า” เฉียวเย่ว์อู่ขมวดคิ้ว “ในห้องหนังสือ…ห้องนั้นแม้แต่ท่านยังเข้าไปไม่ได้ แล้วข้าจะเข้าไปได้เช่นไร แล้วอีกอย่าง ห้องหนังสือมีคนเฝ้าอยู่ตลอด ถึงแม้ข้าจะเข้าไปได้ แต่ข้าจะหาของสิ่งนั้นเจอแล้วนำออกมาได้เช่นไร”