หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 576 ยกพวกตีกัน (2)

ตอนที่ 576 ยกพวกตีกัน (2)

เซียวเชียนจย่งจ้องมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตาเขม็ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “พวกเขาบอกว่าพี่ใหญ่ของข้าเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่เอาไหน” 

 

 

คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามต่างก็พากันก้มหน้าลง หนานกงมั่วเห็นว่าเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีต่างก็รู้ตัวดี คงเพราะคนเหล่านี้แอบพากันนินทาแล้วเซียวเชียนจย่งไปได้ยินเข้ากระมัง ถึงแม้ว่าเซียวเชียนจย่งจะไม่ชอบที่พี่ใหญ่ของเขาอ่อนแอไม่เอาไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ค่อยชอบใจที่พี่ใหญ่ของเขาเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่ชอบให้คนที่ฐานะบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าตนมานินทาว่าร้ายได้ ก็เลยมีปากเสียงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือต่อยตีกันขึ้นมา 

 

 

หนานกงมั่วกวาดสายตามองดูเหล่าบรรดาคุณชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉย “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว รีบแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด อายุแค่นี้เหตุใดถึงหัดไปนินทาว่าร้ายคนอื่น” เหล่าบรรดาคุณชายต่างก็รู้ตัวว่าตนเป็นฝ่ายผิด ตอนต่อยตีกันเลือดมันกำลังเดือดพล่านจึงไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ตอนนี้ใจเย็นลงแล้วจึงพากันกลัวจนเหงื่อตก บังอาจนินทาว่าร้ายท่านซื่อจื่อในจวนอ๋อง หากฝ่าบาทเยี่ยนอ๋องรู้เรื่องเข้าละก็… 

 

 

ทุกคนต่างก็พยักหน้าทันควัน จากนั้นก็รีบพากันแยกย้ายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความลนลาน 

 

 

เมื่อเห็นกลุ่มเด็กหนุ่มที่พากันวิ่งออกไปด้วยเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอย่างรีบร้อน หนานกงมั่วจึงแอบถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนหน้านี้นางก็พอจะเดาได้ว่าตอนเซียวเชียนชื่อใช้ชีวิตอยู่ที่โยวโจวคงจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก ทว่าก็ไม่นึกว่าจะแย่จนถึงขั้นนี้ เด็กหนุ่มเหล่านี้ถึงขั้นกล้านินทาว่าร้ายเซียวเชียนชื่อในจวนของเยี่ยนอ๋อง เกรงว่าคนที่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมาคงจะมีมากมายถมเถไปกระมัง เพราะอย่างไรเสียโยวโจวก็เป็นเขตพรมแดนของอาณาจักรเซี่ย เยี่ยนอ๋องในอนาคตจะไม่สามารถขึ้นหลังม้าไม่สามารถออกรบได้อย่างไรกัน 

 

 

นางยื่นมือไปตบไหล่ของเซียวเชียนจย่งพร้อมกับเอ่ยชม “ทำได้ดีมาก” 

 

 

“หืม?” เดิมทีเซียวเชียนจย่งคิดว่าพี่สะใภ้จะดุด่าว่ากล่าวเขา ทว่าเขากลับได้ยินคำชมแทน จึงอึ้งจนทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้ยินหนานกงมั่วพูดต่อไปว่า “การรู้จักปกป้องพี่ชายเป็นสิ่งที่ดี แต่เวลาต่อยตีต้องรู้จักเลือกเวลาเลือกสถานที่ อย่าขาดสติไปลงไม้ลงมือโดยไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์เช่นนี้” 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เซียวเชียนจย่งรีบตอบรับด้วยความดีใจ จากนั้นก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะไปต่อยตีเสียหน่อย แต่คนพวกนั้นมันสมควรโดน! การที่พี่ใหญ่หัวอ่อนและเรียบร้อย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนเช่นนั้น ข้าเองก็มองไม่เข้าตาเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาหัวเราะเยาะซื่อจื่อของจวนเยี่ยนอ๋อง!” 

 

 

หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็หวดไปที่ศีรษะของเขาอย่างเต็มแรง เซียวเชียนจย่งกุมศีรษะพร้อมกับรีบหันขวับมาจ้องมองนางด้วยแววตาที่งุนงง หนานกงมั่วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา “สุขภาพร่างกายพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงจึงไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ เจ้าไม่ให้พี่ใหญ่ของเจ้าร่ำเรียน แล้วจะให้เขาไปทำสิ่งใด ทุกวันนี้เจ้าเองแค่ต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และร่ำเรียนก็เท่านั้น ไม่ต้องกังวลใจกับเรื่องอันใด แล้วสิ่งที่พี่ใหญ่ของเจ้าต้องทำเล่า เจ้าทำมันได้หรือไม่” 

 

 

เซียวเชียนจย่งเบือนหน้าหนี “ข้าไม่ไปทำเรื่องหยุมหยิมเช่นนั้นหรอก คุณชายอย่างข้าควรจะต้องติดตามเสด็จพ่อเข้าสนามรบต่างหาก!” 

 

 

หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ทำ ผู้อื่นไม่ทำ แล้วใครจะเป็นคนทำเล่า เจ้าสู้รบอยู่กลางสมรภูมิ แล้วใครจะเป็นคนเตรียมทหาร ใครจะเป็นคนเตรียมเสบียง ไม่มีทหารและเสบียง เจ้าตั้งใจจะพากองทัพใหญ่ไปปล้นชิงเอาระหว่างทางหรืออย่างไรกัน” 

 

 

“เอ่อ…” เซียวเชียนจย่งกุมศีรษะไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน 

 

 

หนานกงมั่วก็ได้พูดต่อไปว่า “หากข้ายังได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากเจ้าอีก ข้าจะตีให้เจ้าเข้าสมรภูมิรบไม่ได้อีกเลย” 

 

 

พี่สะใภ้ดุจัง! พี่สะใภ้ร้ายกาจที่สุด! เซียวเชียนจย่งจ้องมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร หนานกงมั่วเองก็จ้องมองเด็กหนุ่มจอมแสบที่ตัวสูงเกือบเท่านาง เห็นแล้วก็อดหัวเราะเสียไม่ได้ “ไม่มีผู้ใดสมบูรณ์แบบ เจ้าเองก็มีจุดแข็งของเจ้า พี่ใหญ่เจ้าก็ย่อมมีจุดเด่นในแบบพี่ใหญ่ของเจ้าเช่นกัน ตอนนี้ภาวะและสถานการณ์ของเขาก็ยากพอตัวแล้ว เจ้าเป็นน้องชายของเขาแท้ๆ ยังจะไปเพิ่มปัญหาให้กับเขาอีกหรือ” 

 

 

เซียวเชียนจย่งพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็ได้ ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าข้าจะไม่พูด คนอื่นก็ยังจะพูดอยู่ดี ข้าคงจะไม่สามารถไปอุดปากทุกคนได้หรอกกระมัง จะให้ข้าไปไล่ต่อยตีสั่งสอนคนเหล่านั้นหรืออย่างไรกัน” และใช่ว่าข้าจะสู้ชนะเสียทุกครั้ง 

 

 

หนานกงมั่วจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “คนอื่นก็ส่วนคนอื่น เจ้าก็ส่วนเจ้า หากเจ้าเชื่อฟังและกลับตัวกลับใจ ไม่แน่บางทีท่านพี่ของเจ้าอารมณ์ดีขึ้นมา อาจจะสอนวรยุทธ์ให้กับเจ้าก็ได้” 

 

 

“…” ท่านพี่เคยอารมณ์ดีด้วยหรือ 

 

 

หลังจากนั้นหนานกงมั่วก็ได้พาเซียวเชียนจย่งเดินจากไป เพียงชั่วอึดใจก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นหลังประตูพระจันทร์ เว่ยจวินมั่วหันไปมองเซียวเชียนชื่อที่ดวงตากำลังแดงก่ำ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “คำพูดของอู๋สยา เจ้าได้ยินมันแล้วหรือไม่” เซียวเชียนชื่อพยักหน้าเบาๆ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ 

 

 

ตำแหน่งซื่อจื่อที่เขาเป็นอยู่นั้นไม่ง่ายเลย เขาเป็นบุตรชายคนโตทายาทผู้สืบทอดโดยชอบธรรมของเยี่ยนอ๋อง ทว่าเสด็จพ่อของเขาดันเป็นอ๋องที่รักษาการอยู่เขตชายแดน อีกทั้งยังกุมกองทัพทหารมากมายอยู่ในมือ เขากลับเป็นคนอ่อนแอที่ทำได้เพียงร่ำเรียนและไม่เคยเข้าสมรภูมิรบแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่เหล่าบรรดาแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อที่มีความเห็นต่อเขา แม้แต่เสด็จพ่อเองก็ยังคอยมองเขาด้วยแววตาผิดหวังและจนใจอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่มองน้องสามแววตากลับท่วมท้นไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูและความภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าน้องสามจะถูกเสด็จพ่อดุด่าว่ากล่าวและลงโทษตั้งแต่เด็กจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ใครจะปฏิเสธได้ว่านี่มิใช่ความรักที่บิดามีต่อบุตรชายในอีกรูปแบบหนึ่งกัน คนเช่นเขา เกรงว่าเสด็จพ่อคงไม่อยากแม้แต่จะลงมือตีเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่บางทีเสด็จพ่อก็อาจจะกลัวว่าหากลงโทษตนไปเพียงครั้งเดียว ตนก็อาจจะป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อไปครึ่งค่อนเดือนก็เป็นได้ พลอยแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเสด็จพ่อเสื่อมเสียว่าไร้ซึ่งความเมตตากรุณา 

 

 

ทว่าเมื่อได้ยินสาเหตุที่เซียวเชียนจย่งต่อยตีกันเมื่อครู่นี้แล้ว เซียวเชียนชื่อก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอก น้องสามที่ดูดื้อรั้นและหัวแข็งก็ยังเต็มใจที่จะปกป้องพี่ใหญ่เช่นเขา และในขณะเดียวกันก็ยิ่งตอกย้ำความไม่เอาไหนของเขา ใช่ว่าทุกคนในใต้หล้าจะมองเขาเหมือนเช่นพี่ชายและพี่สะใภ้ 

 

 

เว่ยจวินมั่วจ้องมองเซียวเชียนชื่อพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ใต้หล้านี้ไม่ได้มีทางเดินแค่เส้นทางเดียว เจ้าเลือกที่จะเดินอย่างไรเท่านั้นเอง หากว่าเจ้ารู้สึกว่าตนเองเป็นคนไร้ซึ่งประโยชน์ เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าก็เป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ” พูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินไปตามทิศทางที่หนานกงมั่วเดินไป โดยที่ไม่สนใจว่าเซียวเชียนชื่อจะมีสีหน้าเช่นไร 

 

 

ด้านหลัง เซียวเชียนชื่อเองก็เข้าสู่ห้วงคิดคำนึง ใต้หล้านี้ไม่ได้มีทางเดินแค่เส้นทางเดียว…ขอเพียงแค่ข้าเชื่อมั่น ข้าก็จะสามารถก้าวผ่านไปได้อย่างนั้นหรือ 

 

 

กลางคืน ในจวนเยี่ยนอ๋องเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องประทับอยู่บนที่นั่งประจำตำแหน่ง ส่วนด้านข้างก็เป็นองค์หญิงฉังผิง เว่ยจวินมั่วและภรรยา แม้แต่เซียวเชียนชื่อกับภรรยาก็ยังต้องนั่งแถวหลัง ทุกคนในงานต่างก็รู้ดีว่างานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับองค์หญิงฉังผิงและครอบครัว เพื่อที่จะได้สนิทสนมกันมากขึ้น 

 

 

ขณะที่ผู้คนกำลังจ้องมององค์หญิงฉังผิงและครอบครัวอยู่นั้น สตรีใบหน้าสวยสดงดงาม ชายชาตรีหล่อเหลาคมคาย ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ขาดข่าวคราวเรื่องที่หนานกงมั่วกวาดซื้อร้านค้าและที่ดินมากมายในโยวโจวไปไม่ได้ ผู้คนมากมายต่างก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจว่าการที่นางทำเช่นนี้ได้ก็เพราะนางเป็นเชื้อพระวงศ์ หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ นางก็มั่งคั่งจนผู้คนแปลกใจ 

 

 

เยี่ยนอ๋องได้ประกาศว่าเว่ยจวินมั่วจะเข้าร่วมกองทัพอย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ระบุตำแหน่งอย่างชัดเจน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าหลานชายคนสนิทของเยี่ยนอ๋องคงจะไม่ได้เริ่มจากการเป็นทหารชั้นผู้น้อยอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าผู้คนไม่น้อยค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ เพราะคุณชายทั้งสามของเยี่ยนอ๋องยังไม่มีคนใดได้เข้าร่วมกองทัพอย่างจริงจัง เยี่ยนอ๋องจะพาคุณชายรองออกศึกด้วยเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ส่วนเวลาปกติทั่วไปก็ให้ทำแค่หน้าที่ที่คุณชายพึงทำเท่านั้น เยี่ยนอ๋องกุมอำนาจการทหารมากมายอยู่ในมือ นึกไม่ถึงเลยว่าหลานชายเช่นเว่ยจวินมั่วที่มาทีหลังจะได้รับมันก่อน ทั้งที่บุตรชายทั้งสามยังไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่เยี่ยนอ๋องจะมอบทหารทั้งหมดที่อยู่ในมือให้กับเว่ยจวินมั่วจนเกินหน้าบุตรชายไป ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงเป็นเพราะสุขภาพร่างกายของท่านซื่อจื่อนั้นอ่อนแอ ส่วนคุณชายรองและคุณชายสามก็ยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝามากกว่ากระมัง 

 

 

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ก็มีสายตาจ้องไปยังซื่อจื่อในเยี่ยนอ๋องเพิ่มขึ้นอีกหลายคู่ ซื่อจื่อที่ไม่สามารถกุมอำนาจการทหารจะเหมาะสมกับการเป็นทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งของเยี่ยนอ๋องจริงๆ หรือ 

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท