“ฮูหยินเขาเป็นเช่นไรหรือ” ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
หนานกงมั่วก้มหน้าลงไปตรวจชีพจร สูดหายใจลึก ยื่นมือไปจับดูตำแหน่งที่ถูกธนูปักเข้าไป คิ้วขมวดขึ้น เอ่ย “ไม่ตรงหัวใจ แต่ยังนับว่าอันตราย”
ผู้บังคับการเหยียนผิดหวังเล็กน้อย “ช่วย…ช่วยไม่ได้จริงๆ หรือ”
“ในมือข้ามีเครื่องมือไม่เพียงพอ คงต้องลองดูก่อน” หนานกงมั่วเอ่ย
ยื่นมือหยิบเข็มเงินติดตัวออกมาวางเอาไว้ หยิบเข็มเงินหนึ่งเล่มขึ้นมาหมุนวนย่างอยู่บนไฟ จากนั้นหาจุดลมปราณและปั่นเข็มปักลงไป เมื่อฝังเข็มลงไปหลายเล่มแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาหาเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “บาดเจ็บตำแหน่งนี้ เกรงว่าหากดึงลูกธนูออกมาเลือดจะทะลุเข้าสู่หัวใจของเขาทันที ข้าใช้เข็มสะกัดกั้นเส้นลมปราณของเขาหลายเส้นแล้ว ท่านช่วยข้าเอาลูกธนูออกทางด้านหลังของเขา”
ปลายของลูกธนูนั้นเป็นดั่งตะขอเกี่ยว ไม่มีอุปกรณ์ต่อให้มีอุปกรณ์พร้อมหนานกงมั่วก็ไม่กล้าผ่าหน้าอกของเขาเพื่อเอาลูกธนูออกมา ทำได้เพียงใช้กำลังภายในที่สูงลึกล้ำและการควบคุมพลังของเว่ยจวินมั่วผลักดันเอาลูกธนูออกมา หากไม่มีเว่ยจวินมั่วอยู่ตรงนี้ หนานกงมั่วคนเดียวคิดจะทำเช่นนี้คงต้องเสียพลังไปมาก นางอายุยังไม่เต็มสิบเจ็ด หากเอ่ยถึงกำลังภายในนั้นไม่เลว ทว่ากลับยังเรียกไม่ได้ว่าล้ำลึก
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเงียบๆ เอ่ย “พยุงเขาขึ้นมา”
ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนรีบประคองคนที่เอนตัวนอนอยู่ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง หนานกงมั่วหยิบกริชออกมาและตัดส่วนหางของลูกธนูออกไป ถอยออกให้เว่ยจวินมั่วเข้ามาแทนที่ ขนะเดียวกันก็เตรียมยาและเข็มเงินเอาไว้เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดขึ้น
เว่ยจวินมั่วใบหน้าเรียบนิ่ง ยื่นมือหนึ่งข้างวางทับลงไปบนแผลของคนบาดเจ็บ ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวใดๆ ได้ยินเพียงเสียง กึก หนึ่งครั้ง หัวลูกธนูก็พุ่งออกจากหลังของเขาปักเข้าไปยังต้นเสาด้านข้าง ชายที่กำลังสลบไสลตัวกระตุกเล็กน้อย ร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา หนานกงมั่วเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม สะกัดจุดลมปราณเอาไว้ เข็มเงินในมือเองก็ถูกปักลงไป จากนั้นนำผงยาเทไปยังแผลด้านหลังของชายผู้นั้น พร้อมเอ่ย “ช่วยห้ามเลือดด้านหลังเขาก่อน จากนั้นล้างแผลด้านหน้าค่อยพันแผล สองวันนี้อย่าพึ่งขยับตัว หากบาดแผลของเขาไม่แย่ลง ชีวิตของเขาก็อาจรักษาเอาไว้ได้”
ผู้บังคับการเหยียนตกตะลึง ไม่คิดว่าจะง่ายเพียงนี้ กำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นหนานกงมั่วหันกลับไปประคองเว่ยจวินมั่วไม่มองเขาเลยสักนิด “จวินมั่ว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้เป็นอันใด เพียงแต่ใบหน้าซีดลงเท่านั้น
เมื่อสักครู่ดูเหมือนไม่ได้ใช้กำลังมาก ทว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคนที่นอนอยู่คงได้สิ้นลมหายใจไปตั้งนานแล้ว เว่ยจวินมั่วไม่เชี่ยวชาญการแพทย์มากนัก ไม่เพียงต้องเอาลูกธนูออกจากร่างของเขา ยังต้องระวังหัวใจและเส้นเลือดของเขา ไม่สามารถปล่อยให้ลูกธนูที่ออกมาไปโดนเส้นเลือดและทำให้เลือดไหลกลับเข้าสู่ห้องหัวใจได้ เดิมร่างกายของเว่ยจวินมั่วเองก็มีบาดแผลภายใน แม้ว่าหนานกงมั่วจะพยายามรักษา ทว่ากำลังภายในนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการรักษา วันนี้เดินทางมาไกลด้วยความเร่งรีบ อีกทั้งยังต้องต่อสู้ในสงครามอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่แปลกที่สีหน้าของเว่ยจวินมั่วจะดูไม่ดี หากเปลี่ยนเป็นหนานกงมั่ว เกรงว่าคงไม่อาจช่วยคนได้ เมื่อเทียบกับเว่ยจวินมั่วแล้ว หนานกงมั่วเพียงเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มากกว่าเขาก็เท่านั้น
ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนเห็นว่าสีหน้าของเว่ยจวินมั่วดูไม่ดีนัก รีบเอ่ยถาม “เป็นอันใดไปหรือ เมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บหรือ” รู้สึกผิดอยู่ในใจ เมื่อครู่เขาลืมไปว่าเว่ยจวินมั่วเองก็พึ่งสังหารศัตรูในสนามรบมา บาดเจ็บตรงไหนแล้วหรือ หากเว่ยจวินมั่วเกิดเรื่องอันใดเพราะช่วยรักษานายทหาร ไม่เพียงเขาที่ไม่อาจรอดตัวได้ นายทหารที่ถูกช่วยกลับมาเองก็คงจะซวยไปด้วย อย่างไรเสีย เมื่อเทียบกับเว่ยจวินมั่วที่สามารถตัดหัวแม่ทัพของศัตรูท่ามกลางทหารนับหมื่น ชีวิตของทหารระดับล่างธรรมดาดูไม่ได้มีความสำคัญเท่าใดนัก
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร”
หนานกงมั่วหันกลับไปยิ้มให้ผู้บังคับการกองร้อยเหยียน เอ่ย “ตอนเอาลูกธนูออกขณะเดียวกันต้องรักษาไม่ให้ลูกธนูไปโดนเส้นเลือดของเขา จำเป็นต้องใช้กำลังภายในสูง ตัวข้าเองยังทำไม่ได้จึงต้องอาศัยจวินมั่ว เพียงแต่เดิมทีร่างกายของเขาก็มีการบาดเจ็บภายในอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึง…” หนานกงมั่วเอ่ยเช่นนี้ไม่ใช่ให้ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนจดจำบุญคุณของพวกเขา เพียงแต่ในสนามรบนั้นมีการบาดเจ็บล้มตายมากมาย แม้ว่าหนานกงมั่วจะมีใจอยากช่วยเหลือผู้คนทว่าไม่อาจให้เว่ยจวินมั่วต้องใช้กำลังภายในเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านี่อาจไม่ได้ยาวนาน ต้องเอ่ยให้เข้าใจชัดเจนเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องลำบากใจในอนาคต
ผู้บังคับการเหยียนเองก็เข้าใจถึงเหตุผล เพียงเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวขึ้นมากะทันหันของเว่ยจวินมั่วก็รู้แล้วว่าลำบากเพียงใด หากรู้ดีว่าคนผู้นี้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนยังกำจัดศัตรูทั่วสารทิศในสนามรบท่ามกลางทหารนับหมื่นอยู่เลย ความรู้สึกซาบซึ้งต่อคนทั้งสองยิ่งเพิ่มขึ้น คิดอยู่ในใจว่าจะไม่เพียงเอ่ยออกไปในวันนี้เท่านั้น
เอ่ยขอบคุณทั้งสอง ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนก็สั่งคนด้านข้างจัดการดูแลและพันแผลให้ดี ด้านหลังหนานกงมั่วป้อนยาหนึ่งเม็ดให้เว่ยจวินมั่ว มองเขาอย่างเป็นกังวล เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะเล็กน้อย เอ่ยเบาๆ “ไม่เป็นไร พักผ่อนสักนิดก็คงดีขึ้น”
หนานกงมั่วรู้สึกผิด “ข้าไม่ควรให้ท่านลงมือ”
ความจริงใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่น แม้ว่าจะต้องวุ่นวายสักหน่อย หากระวังสักนิดนางก็มีความมั่นใจถึงหกเจ็ดส่วนว่าจะช่วยเขาได้ เพียงนางคิดว่าเว่ยจวินมั่วมีพลังแข็งแกร่ง จนกระทั่งลืมคิดไปว่าเขาจะรับไหวหรือไม่
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเบาๆ เอ่ย “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”
“ได้ยินว่าช่วยเจ้าเด็กนั่นเอาไว้ได้แล้วหรือ” ด้านนอกมีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น หนานกงมั่วหันกลับไปมองเห็นท่านหมอซือเดินนำเหล่าหมอและลูกศิษย์หลายคนเดินเข้ามา คนที่เอ่ยขึ้นคือท่านหมอซือ มองเห็นเขา สีหน้าของผู้บังคับการเหยียนก็ไม่ดีนัก แม้การทอดทิ้งนายทหารที่รักษายากไปรักษาคนที่มีโอกาสรักษาง่ายกว่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีอันใดต้องตำหนิ เพียงแต่สำหรับหัวหน้าที่รักและห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชามาก การกระทำเช่นนี้นั้นยากจะรับได้ ยิ่งมีความคิดว่าหากวันใดคนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นตนเองขึ้นมา ยิ่งไม่ชอบใจคนที่ทอดทิ้งคนไข้มากขึ้น
“ท่านหมอซือ ช่วยเขากลับมาได้แล้วจริงๆ” ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนเอ่ยไร้เยื่อใย
ใบหน้าของท่านหมอซือเผยท่าทีไม่เชื่อออกมา มองหนานกงมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง เลิกคิ้วเอ่ย “คงไม่ใช่เว่ยฮูหยินช่วยหรอกใช่หรือไม่ ข้าอยากจะเห็น…” เอ่ยพลางยื่นมือออกไปเพื่อตรวจผู้ได้รับบาดเจ็บ หนานกงมั่วก้าวขึ้นมาขวางปัดมือของเขาออกไป เอ่ยเสียงเข้ม “ผู้บาดเจ็บไม่อาจแตะต้อง” บาดแผลนั้นซับซ้อน ด้านหน้าด้านหลังล้วนเป็นบาดแผล ตอนนี้ทำได้เพียงประคองนั่งและพันแผล หากถูกแตะต้องไม่แน่อาจมีผลต่อบาดแผล
ท่านหมอซือใบหน้าตึงขึ้น เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เว่ยฮูหยิน ข้าเองก็เป็นหมอ”
หนานกงมั่วเอ่ยราบเรียบ “ตอนนี้เขาเป็นคนไข้ของข้า หากท่านหมอซือจะดูคงต้องรอให้เขามีสติเสียก่อน”
สีหน้าท่านหมอซือไม่น่ามอง ผู้บาดเจ็บที่ถูกตนเองทอดทิ้งกลับถูกหนานกงมั่วช่วยชีวิตกลับคืนมาได้ นี่ไม่ได้หมายความว่าวิชาการแพทย์ของเขาสู้สตรีเพียงคนเดียวยังไม่ได้มิใช่หรือ
หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ในใจ ความจริงภายใต้สถานกาณ์ที่มีหมอไม่เพียงพอท่านหมอซือตัดสินใจเช่นนั้นนั่นไม่ใช่เรื่องผิด ต่อให้ผู้บังคับการกองร้อยเหยียนไม่พอใจก็ไม่อาจเอ่ยอันใดได้ เพียงแต่ท่านหมอซือผู้นี้ไม่ว่าทักษะการแพทย์เป็นอย่างไร แต่จิตใจกลับไม่กว้างนัก เวลานี้ไม่รู้ว่าในสมองคิดอันใดมากมายอยู่