จู๋เอ๋อร์ย่อตัวลง เอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
ฮูหยินน้อยสองคนเข้าจวนมาพร้อมกัน เมื่อเทียบกับจูชูอวี้ที่ร่ำรวยแล้ว เรือนของเซียวเชียนจย่งจึงดูจืดกว่ามาก แม้จะให้รางวัลเหมือนซั่นจยาจวิ้นจู่ ทว่ากลับไม่อาจเทียบได้กับความใจกว้างของจูชูอวี้ ขอเพียงมีคนก็ย่อมมีถูกผิด บ่าวไพร่จวนเยี่ยนอ๋องเองก็เช่นกัน ฮูหยินสองคนเพียงมองก็รู้แล้วว่าซั่นจยาจวิ้นจู่นั้นใจกว้างยิ่งกว่า แน่นอนว่ารู้สึกดีต่อฮูหยินน้อยรองผู้นี้กว่ามาก ส่วนฮูหยินน้อยสามผู้เกิดในตระกูลธรรมดานั้นค่อนข้างจืดเจื่อนลงไปมาก
แม้ซุนเหยียนเอ๋อร์จะรู้สึกเศร้าใจ ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดมากนัก อย่างไรเสียตระกูลซุนก็ไม่อาจเทียบตระกูลจูได้อยู่แล้ว นางยิ่งไม่อาจเทียบซั่นจยาจวิ้นจู่ได้ หากต้องฝืนสู้กับจูชูอวี้ในทุกๆ เรื่อง จากนี้ไปอีกสิบปียังไม่รู้เลยว่านางจะเอาอันใดไปสู้ได้
ซุนเหยียนเอ๋อร์นั่งดูรายการสินเจ้าสาวของตนเองอยู่ในห้อง สายตามองไปยังสมุดบัญชีที่วางอยู่ด้านข้างตนเอง เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเอง เซียวเชียนจย่งก็นำกิจการที่พระชายาเยี่ยนอ๋องมอบให้มาไว้ในมือนาง นางดูออก สามีอายุน้อยของนางผู้นี้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ทว่าเขากลับยกทุกอย่างมาให้นางก็นับว่าเชื่อใจนางแล้ว แน่นอนว่านางจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง
ยังมีสินเจ้าสาวที่ตนนำมาจากจินหลิง เพราะเดินทางมาไกล ตระกูลซุนจึงไม่ได้จัดเตรียมสินเจ้าสาวมากมายเท่าใดนัก อีกทั้งส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นเงิน นอกจากนี้เพราะเป็นการพระราชทานสมรส ฝ่าบาทเองก็จัดเตรียมสินเจ้าสาวเอาไว้ให้ด้วย บวกกับเงินที่ท่านแม่ พี่ชาย ท่านยายแอบเอาให้นาง เงินในมือของซุนเหยียนเอ๋อร์จึงมีกว่าหมื่นเกือบสองหมื่นตำลึงเงิน เมื่อเทียบกับคนอื่นอาจไม่มาก แต่หากวางแผนให้ดีก็เพียงพอต่อการใช้จ่ายและให้รางวัลบ่าวไพร่ไปตลอดชีวิต
“คุณหนู” สาวใช้เฉียนเฉ่าที่มาพร้อมสินเจ้าสาวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซุนหยียนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมามองนางเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “ในเมื่อเรามาอยู่จวนเยี่ยนอ๋องแล้ว ก็อย่าเรียกคุณหนูอีกเลย” เฉียนเฉ่ารีบพยักหน้า เอ่ย “เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยสาม ซิงเฉิงจวิ้นจู่มาเจ้าค่ะ”
ซุนเหยียนเอ๋อร์รีบลุกขึ้น “ไยจึงไม่เชิญเข้ามา”
“ไม่ต้องเชิญ ข้าเข้ามาเองแล้ว” หน้าประตูมีเสียงกลั้วหัวเราะของหนานกงมั่วดังขึ้น ซุนเหยียนเอ๋อร์รีบเดินเข้าไปต้อนรับ “จวิ้นจู่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “จวิ้นจู่หรือ” ซุนเหยียนเอ๋อร์ใบหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยเรียกพี่สะใภ้เสียงเบา หนานกงมั่วยิ้มหวาน มองนางแล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้ายุ่งอยู่หรือไม่ ข้าไม่ได้มารบกวนเจ้าใช่หรือไม่” เพิ่งเข้าพิธีแต่งงาน แม้เพียงเรือนของเซียวเชียนจย่งก็คงมีเรื่องให้จัดการไม่น้อย เดิมทีหนานกงมั่วก็ไม่อยากมารบกวนในเวลานี้ แต่อีกไม่นานนางก็จะกลับเข้าไปยังกองทัพแล้ว ไตร่ตรองดูแล้วหนานกงมั่วคิดว่าอย่างไรก็ต้องมาดูนางสักหน่อย
ซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนกัน พี่สะใภ้รีบเข้ามานั่งเถิด ข้าเพียงว่างเลยเปิดดูก็เท่านั้น” เอ่ยจบจึงสั่งให้เฉียนเฉ่าไปยกน้ำชามาให้หนานกงมั่ว
เดินตามซุนเหยียนเอ๋อร์เข้าไปด้านใน มองเห็นสิ่งของที่กองอยู่บนโต๊ะ หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “ดูเหมือนเจ้าและเชียนจย่งจะเข้ากันได้ไม่เลว” ซุนเหยียนเอ๋อร์ยิ้มเขินอาย ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใด เซียวเชียนจย่งเพิ่งอายุสิบห้า แม้ว่าคนอายุสิบสี่สิบห้าแต่งงานจะมีไม่น้อย เพียงแต่อายุเท่านี้ยังน้อยไปบ้าง ได้รับพระราชทานสมรสมาไกลถึงโยวโจวซุนเหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอบุรุษรักเดียวใจเดียวเช่นคุณชายเว่ย ขอเพียงอยู่ได้ก็พอแล้ว บนโลกใบนี้สตรีใดไม่เจอแบบนี้กันเล่า
แม้เซียวเชียนจย่งจะยังเด็ก และมิใช่คนอ่อนโยนเอาใจใส่ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย กับซุนเหยียนเอ๋อร์เขาเองก็ไม่ได้กังวลหรือกีดกันนาง สำหรับสิ่งนี้ซุนเหยียนเอ๋อร์คิดว่าตนเองพึงพอใจแล้ว ก่อนจะมามารดาได้เอ่ยกับนาง สามีภรรยาอยู่กันนานไปเดี๋ยวก็มีความผูกพัน นางเองก็จะตั้งใจเป็นสะใภ้ที่คู่ควรกับจวนเยี่ยนอ๋อง
หนานกงมั่วมองนาง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เห็นแบบนี้ข้าก็วางใจแล้ว เพียงแต่อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปจากโยวโจวแล้ว เจ้าอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องหากเบื่อก็ไปนั่งคุยเล่นกับเสด็จแม่ที่เรือนชิงมั่วก็ได้”
ซุนเหยียนเอ๋อร์แปลกใจ “ท่านกับคุณชายเว่ยจะไปจากโยวโจวหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ยตอบ “พวกเรากลับมาเพราะพิธีแต่งงานของเจ้า เมื่อที่นี่ไม่มีอันใดแล้วแน่นอนว่าต้องกลับไป เดิมทีเจ้าพึ่งมาถึงโยวโจวข้าควรจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอีกสักหน่อยจึงจะถูก เพียงแต่ที่นั่น…” ซุนเหยียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า เอ่ย “พี่สะใภ้อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่ได้ผ่านชีวิตช่วงนี้ เสด็จแม่กล่าวถูกแล้ว เมื่อครั้งนั้นพระองค์เองก็มาเช่นนี้ อีกทั้ง…มาถึงโยวโจวแล้วได้เจอท่าน ข้าก็รู้สึกวางใจไม่น้อย” ซุนเหยียนเอ๋อร์รู้สึกขอบคุณหนานกงมั่วเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยตามตรงว่าเมื่ออยู่จินหลิงพวกนางเองก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก ทว่าหลายวันมานี้หนานกงมั่วช่วยเหลือนางไม่น้อย เมื่อครู่ให้นางไปพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงฉังผิง บอกว่าเชิญนางไปอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงฉังผิง ความจริงเป็นนางที่ได้ประโยชน์มากกว่า สะใภ้ทั้งสามคนในจวนเยี่ยนอ๋องเป็นนางที่ฐานะต่ำต้อยที่สุด องค์หญิงฉังผิงกลับเป็นน้องสาวของเยี่ยนอ๋อง หากได้รับความรักและเอ็นดูจากองค์หญิงฉังผิง นางเองก็จะเชิดหน้าชูตาอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องได้บ้าง
“ขอบคุณท่านแล้ว พี่สะใภ้”
หนานกงมั่วยิ้มพลางลูบหลังมือนางเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องใส่ใจ นางช่วยเหลือซุนเหยียนเอ๋อร์มิใช่เพียงเห็นแก่หน้าเซี่ยเพ่ยหวนที่อยู่จินหลิง ทว่าเพราะนางดูออกว่าซุนเหยียนเอ๋อร์เป็นคนรู้คุณคน “แม้เชียนจย่งจะอารมณ์ร้อนไปสักหน่อย แต่เขาเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางรังแกเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวเขา เสด็จลุงเสด็จป้าล้วนแล้วแต่มีความเที่ยงธรรม ขอเพียงเจ้าไม่ทำสิ่งใดผิดพลาด แม้ไม่อาจบอกได้ว่ามีความเท่าเทียม ทว่าไม่มีทางละเลยเจ้าอย่างแน่นอน”
ซุนเหยียนเอ๋อร์ตั้งใจฟังในสิ่งที่หนานกงมั่วบอก จดจำเอาไว้ทั้งหมด
จนกระทั่งเกือบเที่ยง หนานกงมั่วจึงลุกขึ้นขอตัวลา นี่เพิ่งแต่งงานไปสามวัน ซุนเหยียนเอ๋อร์เองไม่อาจชวนนางกินข้าวเที่ยงด้วยกันได้ ทำได้เพียงเดินมาส่งนางที่ประตูด้วยตนเอง
มองดูหนานกงมั่วเดินไกลออกไป เฉียนเฉ่าจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่างเป็นคนดีเหลือเกินเจ้าค่ะ” นางติดตามซุนเหยียนเอ๋อร์มาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อครั้งอยู่จินหลิงก็เคยเจอหนานกงมั่วอยู่ไม่กี่ครั้ง รู้สึกนับถือจวิ้นจู่ผู้นี้มาก ซุนเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ ได้รู้จักพี่สะใภ้นับเป็นวาสนาของข้า ไปกันเถิด คุณชายสามคงจะกลับมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วกลับมาถึงเรือน เว่ยจวินมั่วกำลังฝึกกระบี่อยู่ด้านใน ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจึงหยุดลง เก็บกระบี่ในมือเข้าไปไว้ที่เอวดังเดิม หันกลับมา เอ่ย “เจ้าไปหาซุนซื่อหรือ” แม้หนานกงมั่วจะชอบซุนเหยียนเอ๋อร์มาก แต่ในสายตาของคุณชายเว่ยนางกลับไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องจดจำนัก ดังนั้นจึงเรียกเพียงซุนซื่อเท่านั้น เพียงแต่ชื่อของสตรีเองก็ใช่ว่าจะเรียกขานไปทั่วได้ ทว่าไม่ได้มีอันใดไม่เหมาะสม เพียงแต่ฟังแล้วรู้สึกห่างเหินก็เท่านั้น
หนานกงมั่วพยักหน้า ก้าวเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ข้ารบกวนท่านหรือ ไยจึงไม่ฝึกต่อเล่า”
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ “เพียงฆ่าเวลาเท่านั้น” วรยุทธ์เช่นเขานี้ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากแล้ว เพียงแต่อู๋สยาออกไปตั้งแต่เช้า ไม่มีสิ่งใดทำจึงหยิบออกมาฝึกมือไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี หนานกงมั่วจับไหล่ของเขา เอ่ยเสียงเบา “อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปยังกองทัพแล้วมิใช่หรือ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด นางต้องอยู่ลำพังในโยวโจว ข้าจึงคิดว่าต้องไปพูดคุยกับนางสักหน่อย และชวนนางมาอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ยามว่างด้วย”