หนานกงมั่วลุกขึ้น ชวีเหลียนซิงที่อยู่ด้านข้างก็วางเข็มกับด้ายในมือลงไปด้วย หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “แม่ทัพจ้าวหรือ”
ชวีเหลียนซิงยิ้มเอ่ยตอบ “จวิ้นจู่ลืมแล้วหรือเจ้าคะ ก็คือคนที่เอ่ยดูถูกคุณชายเว่ยต่อหน้าแม่ทัพเซี่ยเมื่อหลายวันก่อน เป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจมีชื่อเสียงภายใต้การดูแลของแม่ทัพเซี่ย มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพขั้นสาม เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วยืนขึ้น ขมวดคิ้ว เอ่ย “ครอบครัวของขุนพลนำทัพไม่ใช่ต้องอาศัยอยู่ที่จินหลิงมิใช่หรือ แล้วคุณชายจ้าวนี่อย่างไร” เรื่องพวกนี้ชวีเหลียนซิงสืบรู้เรื่องมานานแล้ว เอ่ย “ราชสำนักมีกฎเช่นนี้เพื่อควบคุมขุนพลในกองทัพไม่ผิดเจ้าค่ะ เพียงแต่คุณชายจ้าวผู้นี้เป็นเชื้อสายรองของแม่ทัพจ้าว ตั้งแต่แม่ทัพจ้าวเริ่มก่อตั้งประเทศก็ประจำการอยู่ที่โยวโจว อยู่มานานกว่าระยะเวลาการปกครองเมืองของเยี่ยนอ๋องอีกเจ้าค่ะ ที่อาศัยอยู่จินหลิงนั้นเป็นเชื้อสายหลักของเขา แม่ทัพจ้าวยังแต่งอนุอีกหลายคน และมีบุตรชายสองคนบุตรีหนึ่งคนเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “แจ้งข่าวกับจวินมั่วแล้วหรือ”
“แม่ทัพเซี่ยสั่งให้คุณชายไปตรวจลาดตระเวนค่ายตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ วันนี้คงกลับมาไม่ทัน” หลิ่วหันเอ่ย ลังเลอยู่ชั่วครู่ หลิ่วหันจึงเอ่ยถาม “จวิ้นจู่ ต้องเชิญคุณชายให้รีบกลับมาหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วโบกปัดมือ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ไม่ต้องระดมผู้คนมามากมาย ข้าไปดูก็พอแล้ว”
สำนักแพทย์ที่หนานกงมั่วเปิดใหม่อยู่บนถนนที่ห่างจากจวนไม่ไกล เดินออกจากจวนไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงแล้ว ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นกลุ่มคนยืนรายล้อมเสียงดังอยู่ด้านหน้าประตู เพียงมองไปก็มองเห็นชายหนุ่มที่ยืนด่าทอเสียงดังอยู่ด้านหน้า เห็นภาพตรงนั้น หนานกงมั่วอยากหัวเราะออกมา นางไม่ได้พึ่งพาสำนักแพทย์เพื่อประทังชีวิต คนพวกนี้ต่อให้อยากทำลายพวกตน เลือกจุดเล็กๆ น้อยๆ เพียงนี้จะมีประโยชน์อันใด ต่อให้สำนักแพทย์จะเปิดต่อไปอีกไม่ได้ นางจะมีการสูญเสียมากเพียงใดกัน
หลิ่วหันที่เดินตามอยู่ด้านหลังเห็นนางหยุดนิ่ง จึงหยุดตาม เอ่ยเสียงเบา “จวิ้นจู่ ใบสั่งยาที่ท่านหมอจางออกให้เสี่ยวติงเอามาให้พวกเราดูแล้ว เพียงยารักษาไข้ทั่วไปก็เท่านั้น แน่นอนว่ากินแล้วไม่อาจตายได้” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มเย็น กระซิบเบาๆ กับหลิ่วเพียงไม่กี่ประโยค ดวงตาของหลิ่วหันฉายแววประหลาดใจขึ้นมา ไม่นานจึงพยักหน้า “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ จะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ไม่ ให้เวยไปจัดการ จัดการให้เรียบร้อยไร้ร่องรอยสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
มองจางจวีอานและติงเสียวเถี่ยถูกควบคุมตัว หนานกงมั่วจึงเดินเข้าไป เอ่ยปากถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
ได้ยินเสียงหนานกงมั่ว ทุกคนพลันหยุดชะงักลง ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเอ่ยขึ้นเสียงดัง “เจ้าเป็นใครกัน”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “เจ้ากล้ามาสร้างเรื่องที่สำนักแพทย์ของข้า ไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรือ” ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกประหลาด ไม่นานก็เข้าใจ เอ่ยเสียงดัง “ทำไมหรือ คนตายเพราะกินยาที่หมอประจำสำนักแพทย์ของพวกเจ้าออก ซิงเฉิงจวิ้นจู่ยังคิดจะใช้อำนาจมากดดันผู้คนอีกหรือ”
ได้ยินชื่อซิงเฉิงจวิ้นจู่ คนอื่นๆ โดยรอบก็กระซิบกระซาบกันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่คือใคร แต่แน่นอนว่าตำแหน่งจวิ้นจู่นั้นสูงส่ง มนุษย์โลกย่อมมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อ่อนแอ เช่นนี้แล้วคนที่เอนเอียงไปยังอีกฝั่งจึงมีมากขึ้น ผู้คนเริ่มชี้ไม้ชี้มือมายังหนานกงมั่ว ถกเถียงกันขึ้นมา
“จวิ้นจู่” มองเห็นหนานกงมั่วปรากฏตัว จางจวีอานและติงเสียวเถี่ยต่างก็วางใจ ติงเสียวเถี่ยดวงตาแดงก่ำ แม้ว่าเขาจะเคยเข้าสู้รบในสงคราม เคยได้เห็นคนตายมากมาย แต่สถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น ตกใจอยู่ไม่น้อย
“ฮูหยิน พวกเขาใส่ร้ายพวกเรา ยาที่พี่จางจัดให้กินแล้วไม่มีทางตายได้อย่างแน่นอนขอรับ” ติงเสียวเถี่ยเอ่ย
เมื่อคุณชายจ้าวผู้นั้นได้ยินก็โมโหขึ้นมา “พวกเจ้ายังคิดว่าเราใส่ร้ายพวกเจ้าอีกหรือ ใบสั่งยาเป็นพวกเจ้าที่ออกให้ ยาก็มาเอาที่นี่ กินไปแล้วคนก็ตาย ไม่มาเอาเรื่องพวกเจ้าแล้วจะไปเอาเรื่องกับใคร สองคนนี้ คนหนึ่งยังไม่อาจพึ่งพาตนเองได้ คนหนึ่งอายุยังน้อยกล้ามาตรวจให้ได้เยี่ยงไร เห็นชัดว่าไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคน”
ผู้คนคิดว่าสิ่งที่คุณชายจ้าวเอ่ยมีเหตุผล การเป็นหมอนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่ายิ่งอายุมากทักษะการแพทย์ก็ยิ่งดี มีประสบการณ์สูง สำนักแพทย์ทั่วไปไม่เชิญหมออายุน้อยมาประจำตรวจคนไข้ หากไม่ใช่เพราะความสามารถของจางจวีอานผ่านการทดสอบจากท่านหมอประจำกองทัพทั้งสองและการทดสอบจากหนานกงมั่วเอง หนานกงมั่วเองก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาตรวจคนไข้ด้วยตนเอง
ชวีเหลียนซิงก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อคุณชายจ้าวคิดว่าสำนักแพทย์ของเราไม่น่าเชื่อถือ แล้วไยจึงยอมให้อนุที่รักของท่านมารักษาที่นี่เล่า หรือว่าเป็นถึงจวนแม่ทัพเจ้า แต่เชิญหมอไปรักษาไม่ได้”
มองเห็นชวีเหลียนซิง ดวงตาของคุณชายจ้าวตกตะลึง แต่เพราะคำพูดของนางเปิดเผยฐานะของตนเองจึงรู้สึกอายขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “แน่นอนว่าจวนของเรามีหมอ เพียงแต่บังเอิญว่าหมอคนนั้นป่วย ดังนั้นจึง…ไม่คิดว่าจะทำลายชีวิตของนาง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ท่านช่วยอธิบายมาที มิเช่นนั้นข้าไม่ยอมแน่”
หนานกงมั่วกลับไม่โมโหและไม่รีบร้อน เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายจ้าวคิดจะทำเช่นไรหรือ”
คุณชายจ้าวเชิดปลายคางขึ้น เอ่ย “ข้าเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีกฎเกณฑ์ เช่นนั้นก็ต้องเชิญจวิ้นจู่ไปว่าความกันที่หยาเหมินเป็นพอ”
ด้านข้างมีปู่ไคว่[1]ของหยาเหมินยืนอยู่สองคนพอดี แม้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวของทหารในกองทัพ แต่อย่างไรก็ยังอยู่ในเมืองโยวโจว มีการจัดตั้งหยาเหมินในระดับอำเภอ ปู่ไคว่ประจำหยาเหมินดูแลทั่วเขตอำเภอ เพียงแต่ส่วนใหญ่ที่นี่มักถูกตัดสินโดยเซี่ยลี่ นายอำเภออันใดนั่นนับได้ว่ามีไว้เป็นเครื่องประดับ
หนานกงมั่วเดินไปดูศพของหญิงสาวที่ถูกวางอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย จางจวีอานที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่ ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยกล้าเอาชีวิตเป็นประกัน ว่าไม่มีทางจ่ายยาผิดอย่างแน่นอนขอรับ”
หนานกงมั่วไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงเอ่ย “บอกยาที่เจ้าจ่ายให้ข้าฟัง” จางจวีอานพยักหน้า อ่านใบสั่งยาที่ตอนออกอย่างคล่องแคล่ว มองคนที่อยู่บนพื้นมีอันใดแปลกๆ จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ฮูหยิน…ผู้นั้นมีเพียงอาการปวดหัวตัวร้อน ยาที่ข้าออกให้นั้นก็เป็นยากุ้ยจือ[2]ที่เห็นได้ทั่วไป อีกทั้งยังลดปริมาณยาลงด้วย กินแล้วจะตายได้อย่างไร” สิ่งที่จางจวีอานไม่ได้เอ่ยก็คือต่อให้ยาที่เขาจ่ายให้มีปัญหา เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องเดือนสองเดือนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีความมั่นใจในวิชาการแพทย์ของตนไม่น้อย
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “นางตายเมื่อใด”
คุณชายจ้าวชักสีหน้า “คืนเมื่อวาน”
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น มองแสงแดดตอนกลางวันที่สาดส่องลงมา “ดูเหมือนคุณชายจ้าวจะยุ่งมาก ถึงได้มาคิดบัญชีกับท่านหมอเอาป่านนี้”
คุณชายจ้าวชะงัก หน้าแดงขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “จวิ้นจู่อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นเลย”
หนานกงมั่วยิ้มบาง ปลายนิ้วขยับเบาๆ เส้นด้ายสีเงินก็พันเข้าที่ข้อมือของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น คุณชายจ้าวที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงหยัน คนตายไปตั้งหกเจ็ดชั่วชามแล้วค่อยมาตรวจชีพจรหรือ
หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เก็บด้ายเงินไปย่อตัวมองสำรวจหญิงสาวบนพื้น เนิ่นนานก่อนจะหันกลับไปหาหลิ่วหันที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หลิ่วหัน เจ้ามาดูสักหน่อย”
หลิ่วหันแปลกใจเดินไปย่อตัวนั่งลงด้านหน้าหนานกงมั่ว ตรวจดูศพของหญิงสาว ส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “มิได้ถูกพิษเจ้าค่ะ”
[1] ปู่ไคว่ หมายถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจในสมัยโบราณ
[2] ยากุ้ยจือ ประกอบด้วยตัวยากุ้ยจือ สาวย่าว กานฉ่าว เซิงเจียง และต้าจ่าว สรรพคุณ: เปิดรูขุมขน ขจัดภาวะโรคภายนอก และปรับสมดุลหยิง-เว่ย ข้อบ่งใช้: ภาวะโรคพร่องภายนอกกระทบลมเย็น”