ตอนที่ 3 แม่เป็นห่วงแทบแย่
เมื่อก่อนพี่น้องบ้านอื่นๆ ในตระกูลซ่งล้วนปฏิบัติต่อเจ้าของร่างเดิมอย่างดี ด้วยคิดว่าอย่างไรเสียเจ้าของร่างเดิมก็เป็นบุตรสาวของจวนโหว เกิดจวนโหวนึกถึงนางขึ้นมา ยังตักตวงผลประโยชน์อะไรได้บ้าง แต่กลับจากจวนโหวมาคราวนี้ บ้านอื่นๆ ก็เกิดความไม่วางใจขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้ว
คิดว่าเจ้าของร่างเดิมไม่เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้เป็นคุณหนูใหญ่ หนำซ้ำยังได้รับความขุ่นเคืองจากจวนโหว
ผู้คนในชนบทขี้ขลาดตาขาวยิ่ง เกรงว่าจวนโหวจะจำฝังใจแล้วนำปัญหามาให้ จึงบีบบังคับให้ซ่งเหล่าเกินจัดการแยกครอบครัวเสีย
ครอบครัวซ่งไม่ได้ร่ำรวย
ปีนั้นยามที่จวนโหวมารับคนเขาไป ก็ให้ผลประโยชน์ไว้เล็กๆ น้อยๆ เป็นเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่เวลาก็ผ่านพ้นไปถึงสองปีแล้ว
ในสองปีนี้ ซ่งเหล่าเกินสู่ขอภรรยาให้ผู้เป็นลูกของพี่ชายคนโตจากบ้านใหญ่
เดิมทีที่ตกลงไว้ดิบดีกับแม่นางในหมู่บ้าน พอทางครอบครัวมีเงินมากขึ้นมาหน่อย ซ่งเสี่ยนลูกพี่ชายคนโตก็ไปถูกตาต้องใจสตรีที่อยู่ในอำเภอเข้า จึงให้สินสอดไปห้าสิบตำลึงเงิน!
นั่นเป็นบุตรคนโตและหลานชายคนโตของตระกูลซ่ง เป็นธรรมดาที่จะได้รับการปฏิบัติค่อนข้างดี ดังนั้นเงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ล้วนใช้จ่ายไปกับเขา และเพื่อจะได้คู่ควรกับแม่นางที่อยู่ในตัวอำเภอนั่น ซ่งเหล่าเกินยังควักห้าสิบตำลึงเงินสุดท้ายที่ตนแอบเก็บหอมรอบริบไว้รวมเข้ากับเงินของจวนโหวแล้วซื้อบ้านหลังหนึ่งในตัวอำเภอ
พ่อเฒ่าให้ความสำคัญแก่บุตรคนโตและหลานชายคนโต ทั้งยังรักทะนุถนอมบุตรคนเล็กและหลานชายคนเล็ก
ให้ผลประโยชน์มากมายเพียงนี้กับครอบครัวบุตรคนโต แน่นอนว่าต้องให้ครอบครัวบุตรลำดับที่สี่บ้างเช่นกัน
เขาจึงใช้จ่ายไปอีกยี่สิบตำลึงเงินในส่วนค่าเจรจาหาเส้นสาย เพื่อหางานอย่างตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลประตูให้ซ่งหม่านซาน หน้าที่โดยทั่วไปเพียงแค่ต้องคอยดูแลห้องคลังน้ำในการปล่อยและกักเก็บน้ำ ชีวิตในแต่ละวันผ่อนคลายสบายใจ หนำซ้ำเบี้ยรายเดือนยังมากพอตัวอีกด้วย ถือเป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ขุนนางที่กินเบี้ยรายเดือนไปวันๆ ก็ว่าได้
แต่ทำไปทำมาเช่นนี้ สถานะการเงินในครอบครัวก็ร่อยหรอเสียแล้ว
ยามที่แยกครอบครัว บ้านใหญ่และบ้านสี่จำต้องได้รับส่วนแบ่งน้อยหน่อย โดยได้รับแปลงนาพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปคนละสามหมู่[1]
บ้านสามมีบุตรชายเยอะ จึงได้รับส่วนแบ่งตัวเรือนมากสุด ที่ดินก็มากสุดเช่นกัน โดยได้รับแปลงนาพื้นที่อุดมสมบูรณ์สิบหมู่ และแปลงผักดอกกระบอกห้าหมู่…
ส่วนบ้านสอง…
เหล่าซ่งเกินรวมไปถึงคนของบ้านอื่นๆ คิดว่า ตอนแรกยามที่คนจวนโหวมา คงต้องแอบให้ผลประโยชน์เป็นการส่วนตัวแด่ครอบครัวบุตรคนรองแล้วเป็นแน่
ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะหวนกลับหมู่บ้าน อาภรณ์และเครื่องประดับผมที่ติดตัวอยู่ก็เป็นมูลค่าไม่น้อย ซึ่งของเหล่านี้ก็ไม่ได้เอามานับรวมเป็นกองกลาง ดังนั้นจึงให้ที่ดินเพียงสามหมู่เท่านั้น
ในความเป็นจริง พอเจ้าของร่างเดิมกลับมาก็ล้มป่วยทันที หนำซ้ำยังป่วยหนัก นอนป่วยติดเตียงอยู่นานเพียงนี้ ที่ขายได้ล้วนขายไปหมดแล้ว
ปัจจุบัน ของที่พอมีมูลค่าในบ้านก็เหลือเพียงที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟิน[2]รวมไปถึงปิ่นหยกขาวหนึ่งด้าม ปิ่นหยกนั่นเป็นของชิ้นเดียวที่นำกลับมาจากจวนโหว หร่วนซื่อไม่ยินยอมขาย คิดว่าจะเก็บไว้เป็นสินเดิมให้บุตรสาว
อีกทั้ง ใบหน้านี้ของบุตรสาวนางเสียโฉมแล้ว เกิดไม่ได้ออกเรือน เก็บปิ่นนี้ไว้ก็ยังเอาไว้ใช้ในยามเดือดร้อนจำเป็นได้เช่นกัน
ดังนั้นในยามนี้ สถานการณ์ของครอบครัวบุตรคนรองจึงยากลำบากอย่างยิ่ง
ซ่งอิงนอนซมอยู่บนเตียงกระทั่งถึงช่วงเย็น ซึมซับความทรงจำทั้งหมดทั้งมวล เพิ่งได้สติฟืนคืนมาในขณะนี้เอง
ทันทีที่นางลืมตาตื่น หร่วนซื่อก็โถมเข้ามาลูบเรือนผมสลวยของนาง “ลูกข้า…แม่เป็นห่วงเจ้าแทบแย่!”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซ่งอิงเรียกคำว่าท่านแม่ได้โดยไม่รู้สึกกระด้างกระเดื่องแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะในใจเจ้าของร่างเดิมคำนึงถึงบิดามารดาผู้นี้ คาดว่าตอนนั้นก็คงยอมตายในเมืองหลวงไปแล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า รอดพ้นจากปากเสือกลับมาแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังไม่อาจมีชีวิตรอดต่อไป
ด้วยร่างกายเจ็บป่วยมาเป็นเวลานาน มีหรือจะแข็งแรงเทียบคนอื่นเขาได้ ล้มคะมำลงไปทีก็ถึงแก่ชีวิตเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม จากเรื่องทั้งหมดที่นางรับรู้ ระยะนี้เจ้าของร่างเดิมเริ่มบังเกิดความอยากตายขึ้นมาเล็กน้อย นางคิดว่าตนเองเป็นภาระของบิดามารดาและพี่ชาย…
“ท่านแม่ น้องต้องรู้สึกปวดหัวแน่ ขืนท่านยังเอาแต่ร้องไห้ เดี๋ยวนางก็สลบไปอีกหรอก” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกห้อง เอ่ยปากบอกกล่าว
ซ่งอิงมองไป นี่คือซ่งสวิน พี่ชายของเจ้าของร่างเดิม
ที่ซ่งเหล่าเกินแบ่งสันปันส่วนสิ่งต่างๆ ให้บ้านสองน้อยสุด นอกจากสาเหตุจากเจ้าของร่างเดิมแล้ว ก็ยังมีซ่งสวินเป็นอีกสาเหตุด้วย
ซ่งสวิน หลานชายผู้นี้มีความแตกต่างจากหลายชายคนอื่นๆ เล็กน้อย นั่นก็เพราะร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ดูกำยำเลยสักนิด ทั้งยังรูปร่างหน้าตาสุภาพอ่อนโยน และผอมบางอย่างยิ่ง
ซ่งจินซานสงสารบุตรชาย ยามที่บุตรชายยังเล็ก ก็คิดว่าภายภาคหน้าบุตรชายคงไม่อาจทำงานไร่งานสวนได้ ดังนั้นจึงร้องขอบิดาอยู่เนิ่นนานกว่าจะยินยอมส่งให้เขาไปร่ำเรียนหนังสือ
ตอนที่ 4 ลางร้าย
ตอนนั้น ซ่งเสี่ยนหลานชายคนโตของทางด้านบ้านใหญ่นั่นเข้าโรงเรียนซือสู[3]แล้ว จึงเป็นการเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ที่จะส่งเสียคนที่สองร่ำเรียน ซ่งจินซานแทบจะอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตก็ว่าได้ ถึงทำให้ซ่งสวินมีโอกาสนี้
เขาเล่าเรียนได้ดีเยี่ยมทีเดียว น่าเสียดาย ยามที่ซ่งเสี่ยนทางด้านบ้านใหญ่นั่นวัยสิบห้าปีก็ไม่ยินยอมเรียนต่ออีกแล้ว ทั้งยังกล่าวถึงซ่งสวินในแง่ไม่ดีหลายประโยค พ่อเฒ่าจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าให้ซ่งสวินกลับบ้านมาด้วยเช่นกัน
ดีที่ซ่งสวินชาญฉลาด หลังกลับบ้านมาก็ไม่ลืมฝึกคัดตัวอักษร วัยสิบสามปีก็คัดลอกหนังสือราชการให้ร้านหนังสือในอำเภอ และตรวจเทียบบัญชีให้โรงเตี๊ยมได้ จึงพอหาเงินมาไว้ใช้จ่ายในครอบครัวตนได้บ้าง
“น้องพี่ เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ช่วงนี้ก็ไม่ต้องไปส่งน้ำให้ข้ากับท่านพ่อท่านแม่แล้ว อยู่บ้านรักษาตัวให้ดีๆ เข้าไว้” แววตาซ่งสวินดูซับซ้อน “ท่านแม่ ไก่ที่อยู่ในบ้านยังโตไม่เต็มที่ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเพื่อนบ้านแล้วซื้อกลับมาสักสองตัว จะได้เอาไว้บำรุงร่างกายให้น้องแล้วกัน?”
“เอาสิ เอาสิ เลือดไหลเยอะเพียงนี้ สองตัวจะพอได้อย่างไรกันล่ะ…” หร่วนซื่อปวดใจยิ่ง “เป็นความผิดแม่เองที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้อาอิงของข้าไม่ได้กินอิ่มหนำสำราญในแต่ละวัน”
ซ่งอิงรู้สึกกดดันไม่น้อย
จากความทรงจำของนาง หร่วนซื่อดีงามทุกสิ่งอย่าง เพียงแต่นางเป็นคนใจกว้างเสียเหลือเกิน และนิสัยอ่อนไหวเป็นพิเศษ
ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แล้วยังชอบร้องไห้อีกด้วย
หากลองเปลี่ยนเป็นเหยาซื่อป้าสะใภ้ใหญ่ เอะอะเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้ง ยามที่แยกครอบครัวกันในตอนแรก ก็ไม่พอใจที่ได้รับที่ดินเพียงสามหมู่เท่านั้น
ครอบครัวซ่งแม้แยกครอบครัวกันแล้ว แต่กลับยังคงพักอาศัยอยู่รวมกัน
ครอบครัวบุตรคนรองได้เพียงเรือนขนาดสองห้องนี้ทางด้านทิศตะวันตกและหนึ่งลานบ้านเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง ในลานบ้านเล็กๆ เลี้ยงลูกไก่ไว้จำนวนหนึ่ง ระยะนี้นางและหร่วนซื่อแออัดอยู่ด้วยกันในห้องหนึ่ง ซ่งจินซานพ่อลูกทั้งสองอยู่อีกห้องหนึ่ง ไม่ค่อยสะดวกสบายเอาเสียเลย
นอกนั้นยังมีห้องครัวนี้ ซึ่งซ่งจินซานก่อเพิงเรียบง่ายขึ้นมาไว้ทางด้านลานหลังบ้านนั่น
หากนางไม่ได้เจ็บป่วย ตามจริงทางด้านบ้านสองนี้ก็ก่อห้องขึ้นมาอีกห้องหนึ่งได้
ตอนนี้นางกลายเป็นเจ้าของร่างเดิมแล้ว ต่อสามีภรรยาคู่นี้และพี่ชาย รู้สึกละลายแก่ใจอยู่เล็กน้อยจริงๆ
“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องซื้อไก่หรอกเจ้าค่ะ อีกอย่าง…ที่ดินของครอบครัวก็อย่าขายอีกเลยนะเจ้าคะ” ซ่งอิงรีบบอกกล่าว
“ไม่ขายหรอก ไม่ขาย นี่ก็เพิ่งปลูกธัญพืชเอาไว้ อาอิงวางใจเถิดนะ” หร่วนซื่อลูบศีรษะของซ่งอิง ขณะมองใบหน้าบุตรสาวที่ถูกกรีดนี้ ชวนให้ปวดใจยิ่งนัก
สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นทางด้านเมืองหลวงนั่นกันแน่ ในครอบครัวก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน
คนเหล่านั้นของจวนโหวที่มากล่าวเพียงว่า เด็กสาวของครอบครัวนางดื้อรั้นเจ้าอารมณ์ จากนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับจวนโหวอีกแล้ว มีชีวิตรอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีใหญ่หลวงแล้ว แต่ภายภาคหน้าอย่าได้ปริปากพูดจาเรื่อยเปื่อยเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะเป็นการนำภัยมาถึงที่
แต่หร่วนซื่อก็ไม่อาจเข้าใจได้อยู่ดี บุตรสาวที่สมบูรณ์ดีของนาง เหตุใดยามกลับมานิ้วเท้าถึงหายไปหนึ่งนิ้ว และใบหน้าก็เสียโฉมอีกด้วย?!
น่าโกรธเคืองนักที่นางไร้ความสามารถ มิเช่นนั้นจะต้องไปทวงความเป็นธรรมถึงเมืองหลวงให้จงได้
“ท่านแม่ จากนี้ข้าจะเป็นบุตรสาวของท่านตลาดไป จวนโหวป่าวประกาศสู่ภายนอกแล้วว่าคุณหนูใหญ่ซ่งอิงแห่งตระกูลซ่งเสียชีวิตแล้ว” หลังซ่งอิงครุ่นคิด ก็ตัดสินใจบอกกล่าวหร่วนซื่อไว้จะเป็นการดีกว่า
“อะไรนะ!? ไยพวกเขาถึงทำได้ลงคอ! เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดีเห็นๆ…” หร่วนซื่อผุดลุกขึ้นยืนในทันที มองบุตรสาวอย่างไม่กล้าเชื่อ “เหตุใดถึงกล่าวว่าเจ้าตายไปแล้วล่ะ!”
เรื่องนี้นับเป็นลางร้ายยิ่ง!
สาวน้อยผู้นี้เป็นบุตรสาวของครอบครัวนั้นแท้ๆ มีบิดามารดาที่จิตใจชั่วช้าขนาดนี้ด้วยหรือ!
ซ่งสวินรีบฉุดรั้งหร่วนซื่อไว้ จากนั้นเอ่ยถามขณะมองซ่งอิง “หลังกลับมา น้องไม่ยินยอมบอกกล่าวเรื่องนี้ตลอดที่ผ่านมา พวกเราก็เลยไม่ถามไถ่ให้มากความ ในเมื่อตอนนี้เจ้าพูดแล้ว…เช่นนั้นก็บอกกล่าวให้กระจ่างหน่อย จะได้ทำให้ท่านพ่อท่านแม่สบายใจด้วย ดีหรือไม่”
น้ำเสียงฟังดูระมัดระวังอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“ได้เจ้าค่ะ” ซ่งอิงพยักหน้า “ตามจริงที่จวนโหวให้ข้าไป เพียงเพราะอยากให้ข้าแต่งงานแทนคุณหนูที่ได้รับความโปรดปรานทางด้านนั้น…”
จากนั้น ซ่งอิงก็นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงบอกเล่าอย่างหมดเปลือก
ไหนๆ เจ้าของร่างเดิมก็เสียชีวิตไปแล้ว อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเขาได้รับรู้ว่าบุตรสาวเสียชีวิตอย่างไร
———————–
[1] หมู่ (亩) คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่ เท่ากับ 1/15 เฮกตาร์ หรือ 1 หมู่ = 0.416667 ไร่
[2] หนึ่งหมู่สามเฟิน (一亩三分) เท่ากับ 867 ตารางเมตร
[3] ซือสู (私塾) เป็นโรงเรียนเอกชนในยุคสมัยจีนโบราณ ใช้ คัมภีร์สามอักษร หนังสือร้อยแซ่ พันอักษรจีน หนังสือรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียง รวมไปถึงหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็นแนวคิดของปรัชญาขงจื่อ เป็นหนังสือเรียนสำหรับการสอนนักเรียนรายบุคคล โดยไม่มีระยะเวลาการศึกษาที่แน่นอน