ตอนที่ 13 ตอแยไม่เลิกรา
หร่วนซื่อรู้ดีว่านางอารมณ์ไม่ดี จึงไม่ได้หักห้ามนางแต่อย่างใด
ในสมองซ่งอิงวุ่นวายสับสนไปหมด เกี่ยวกับแต่ละบุคคลของครอบครัวซ่งล้วนต้องดำเนินการพิเคราะห์แยกแยะให้แน่ชัด รู้สึกน่าปวดหัวอยู่เช่นกัน เพียงแต่ดีที่แม้เป็นญาติ แต่การยื่นมือมาก้าวก่ายนี้ก็ไม่อาจมากจนเกินไป ก็อย่างเช่นเหยาซื่อบ้านใหญ่นั่น แต่ละอย่างล้วนสนใจภาพลักษณ์ยิ่งกว่าอื่นใด จึงน่าจะไม่กระทำเรื่องราวอะไรที่เกินไปขึ้นมาได้
ไม่ทันรู้ตัว ซ่งอิงเดินมาตลอดทางกระทั่งถึงแปลงที่นาของครอบครัว
แปลงนาของบ้านสองผืนนี้ทำเลไม่ค่อยดีนัก อยู่บริเวณตีนเขา ห่างไกลแสงตะวัน
ซ่งเหล่าเกินปู่ผู้นี้ ช่างมีจิตใจลำเอียงเสียจริง
บุตรคนโตและบุตรคนเล็กได้ส่วนแบ่งมากสุด บุตรคนรองและบุตรคนที่สามก็เลยได้แบบเรียบง่าย
แต่ด้วยความที่บุตรคนที่สามมีลูกหลายคน แต่ละคนแข็งแรงกำยำ ทำให้ซ่งเหล่าเกินชื่นชอบมากหน่อย ก็เลยเหลือเพียงบิดานางผู้นี้ซึ่งเป็นบุตรคนรองที่เขาไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก
ทว่าแปลงนานี้ก็ไม่ใช่ไร้ข้อดีเสียทีเดียว บริเวณใกล้ๆ นี้ มีน้ำพุไหลรินลงมาจากขุนเขา ก่อนกลายเป็นธารน้ำเล็กๆ สายหนึ่งในบริเวณที่ไม่ไกลออกไป
โดยปกติยามรดน้ำจึงสะดวกสบายอย่างยิ่ง
ความสมดุลทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้านซิ่งฮวา เป็นอะไรที่ดีงามจริงๆ
ซ่งอิงนึกถึงความว่างเปล่าของตนเอง แอบครุ่นคิดอย่างเงียบๆว่า จะนำน้ำในทะเลสาบที่อยู่ ณ ช่องว่างระหว่างมิติโยกย้ายออกมาได้หรือไม่ แล้วหากนำน้ำมารดในแปลงนานี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นผลลัพธ์เช่นไร
เมื่อซ่งอิงคิดเยี่ยงนี้ ก็ลงมือทำเช่นนี้ในทันที
ในแปลงนานี้ดำต้นกล้าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีพื้นที่ส่วนเล็กๆ บริเวณหนึ่งนั้นใช้สำหรับเพาะต้นกล้า ตอนนี้เพิ่งจะโรยเมล็ดพันธุ์ผักลงไปแทนที่
ข้าวสารธัญพืชคือสิ่งสำคัญยิ่งของครอบครัวชาวไร่ ซ่งอิงเองก็ไม่กล้าใช้รดในแปลงนาที่ดำต้นกล้าไว้เพื่อทำการทดลองสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นกัน ดังนั้นจึงหมายตาไว้เพียงพื้นที่แห้งเล็กๆ ซึ่งเดิมทีเคยใช้ในการเพาะปลูกต้นกล้า บริเวณใกล้เคียงพื้นที่นี้มีถังน้ำและขันตักน้ำเก่าๆ อยู่ ซ่งอิงตักน้ำในลำธารขึ้นมาเล็กน้อยเป็นอันดับแรก จากนั้นลองใช้การนึกคิด ดูสิว่าจะตักน้ำในทะเลสาบออกมาได้หรือไม่
สาเหตุที่นางอาศัยการนึกถึง ก็เพราะความเชื่อมโยงที่มีระหว่างช่องว่างระหว่างมิตินี้เกิดจากความรู้สึกโดยตรง
ปรากฏว่าเป็นไปดั่งที่คาดการณ์ไว้ ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด
ขอเพียงนางนึกถึง น้ำจากธรรมชาติในมือก็ปรากฏน้ำทะเลสาบไหลออกมาจำนวนหนึ่ง ไม่มากมาย แต่ก็พอดีสำหรับการรดหนึ่งครั้ง ซ่งอิงนำน้ำผสมนี้เทลงในถังน้ำ จากนั้นเริ่มลงมือรดน้ำ
แปลงผักบริเวณนี้ยังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย น่าจะเป็นบิดามารดานางจัดการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ซ่งอิงเกรงว่าจะทำให้แปลงผักนี้เสียหายทั้งหมด ดังนั้นจึงนำน้ำผ่านจิตที่ผ่านการเจือจางแล้วรดลงไปเพียงครึ่งเดียวของบริเวณที่ปลูกผัก
ที่ดินของครอบครัวอยู่ไกลมากพอตัว แต่ทั่วบริเวณทั้งสี่ทิศก็คือแปลงนาของเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เช่นกัน ซ่งอิงเกรงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล หลังรดน้ำเสร็จสิ้นจึงไม่กล้าพิรี้พิไรอยู่ต่อ รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังเดินวนเวียนอยู่รอบหนึ่ง กลับบ้านไปหยิบจอบด้ามหนึ่งและถังไม้ จากนั้นไปที่รกร้างของริมแม่น้ำในหมู่บ้าน
ในฐานะเป็นบุตรคนหนึ่งในครอบครัว นางไม่อาจใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรได้ จะอย่างไรก็ต้องทำเรื่องที่มีความหมายเสียหน่อย
พื้นที่รกร้างริมน้ำผืนนี้ ขุดไส้เดือนขึ้นมาได้ไม่น้อย ดีที่ซ่งอิงรู้วิธีการเพาะเลี้ยงไส้เดือน จึงนำกลับไปนิดหน่อย เป็นการเพิ่มอาหารให้ฝูงลูกเจี๊ยบ
นางรู้สึกว่าราศีตนเองในร่างสาวชาวไร่ชาวนาค่อนข้างสว่างสดใสทีเดียว
ชีวิตในภพภูมิก่อนดีที่เป็นนักวิจัยคนหนึ่ง แม้สิ่งที่วิจัยส่วนใหญ่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเกษตรมากนัก แต่…สมองก็ยังพอใช้การได้ดี ชีวิตนี้เป็นเจ้าของที่ดินสักผืนน่าจะไม่ใช่เรื่องยากกระมัง?!
ไส้เดือนที่อยู่ในพื้นที่รกร้างผืนนี้ตัวใหญ่จริง
ซ่งอิงขุดไส้เดือนจำนวนไม่น้อย และขุดดินที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุเหมาะแก่การเพาะปลูกติดไปด้วย
ในฐานะบุตรสาวในครอบครัวชาวไร่ที่เรียบง่าย รูปแบบการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อขยายพันธุ์ไก่ นี่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมแล้ว!
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซ่งอิงไม่ทันสังเกตเห็นว่า มีเงาเรือนร่างหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้
ตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ มานี้ หลี่จิ้นเป่าใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เพราะในสมองของเขา เต็มไปด้วยนางหนูรองซ่งอิงของตระกูลซ่ง
แน่นอนละ ไม่ใช่เขาอาลัยอาวรณ์ซ่งอิงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเกรงว่าซ่งอิงจะตอแยเขาไม่เลิกรา!
ปรากฏว่าไม่เหนือจากความคาดหมาย ครั้งก่อนเคยพบเจอซ่งอิงที่ริมแม่น้ำนี้แล้วครั้งหนึ่ง นี่เพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าใด ซ่งอิงก็มาที่ริมแม่น้ำนี้อีกแล้ว!
ช่วงเวลาก่อนที่นางจะถูกคนจากตระกูลคนใหญ่คนโตมารับตัวไป ปีหนึ่งนัดเจอกันได้สามครั้งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ทว่าตอนนี้ล่ะ นางถูกคนตระกูลคนใหญ่คนโตทอดทิ้งทั้งยังทำให้เสียโฉม คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้!
ตอนที่ 14 ไม่ยอมรับ
เมื่อหลี่จิ้นเป่านึกถึงที่บรรดาพี่น้องและสหายในหมู่บ้าน ‘หยอกล้อ’ บนใบหน้ายิ่งขมึงทึงเข้าไปใหญ่
ตอนแรกเขาเล่าเรียนในโรงเรียนเดียวกับซ่งสวิน ซึ่งซ่งอิงจะแวะเวียนมาส่งข้าวให้
ตอนนั้น เขาชื่นชอบซ่งอิงด้วยใจจริง
แม้นางลักษณะแตกต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ค่อนข้างดำคล้ำ เรือนผมก็ออกสีน้ำตาลหน่อยๆ ทว่าดวงตานางคู่นั้นกลับเสมือนพูดจาได้ เครื่องหน้าของนางก็ดูดีกว่าเด็กสาวคนอื่นๆ เช่นกัน และนิสัยใจคอก็ดีงามเช่นกัน
จึงอาศัยซ่งสวินเป็นสะพานให้เขาและซ่งอิงได้คุ้นเคยสนิทกัน จะถือว่าเป็นรักแรกพบในวัยเด็กก็ได้ ทว่าในตอนนั้นเขามองไม่ออกว่า ซ่งอิงจะเป็นคนที่ได้ใหม่แล้วลืมเก่า จิตใจไม่มั่นคง
ทั้งที่บอกกล่าวไว้กับครอบครัวพวกเขาดิบดีแล้วเรื่องแต่งงาน แต่พอรับรู้ว่าตนเองต้องไปเมืองหลวงกับครอบครัวผู้สูงศักดิ์ ก็ปฏิเสธเรื่องงานแต่งกันเสียดื้อๆ
เขาคอยนางอยู่ที่บ้านเป็นเวลาถึงสองปี จดหมายสักฉบับก็ไม่เคยส่งกลับมา!
บัดนี้ตัวนางกลับมาแล้ว ทว่ากลายเป็นสภาพซึ่งไม่ต่างจากผี แล้วยังคิดจะมาตอแยเขาอีก!
ในใจหลี่จิ้นเป่าอัดแน่นไปด้วยความโกรธเคือง เมื่อเห็นซ่งอิงกำลังนั่งยองทำอะไรก็ไม่รู้บนพื้น จึงเดินดุ่มๆ เข้าไปทันที “ซ่งอิง!”
ซ่งอิงสะดุ้งตัวโยน หันกลับไปมองแวบหนึ่ง
นึกออกแล้ว นี่คือผู้ที่มีความพัวพันเล็กน้อยกับเจ้าของร่างเดิม…หลี่จิ้นเป่า?
“มีเรื่องอะไร” ซ่งอิงโต้ตอบส่งเดช
ก่อนหน้าที่เจ้าของร่างจะไปจวนโหว เป็นความจริงที่ว่านางเองก็ชื่นชอบหลี่จิ้นเป่าอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนั้นอายุยังน้อย อีกทั้งเจ้าของร่างฉลาดเป็นกรด ภายหลังต่อมาก็รับรู้ว่าเรื่องงานแต่งของตน ตนเองตัดสินใจไม่ได้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้คิดอะไรให้มากมาย
หลังกลับมาก็ยิ่งไม่คุ้นเคยกับหลี่จิ้นเป่าเสียแล้ว!
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หลี่จิ้นเป่าดูรำคาญเล็กน้อย “ซ่งอิง เรื่องของเรามันผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้ข้าหมั้นหมายแล้ว สิ้นปีนี้ก็จะแต่งงานแล้วด้วย เจ้าอย่าทำเช่นนี้ได้หรือไม่ คอยเอาแต่ปรากฏตรงหน้าข้าอยู่เรื่อย”
ก่อนหน้านี้เขายังคำนึงว่าซ่งอิงเป็นบุตรสาวคนหนึ่งของครอบครัวคนอื่นเขา ดังนั้นคงไม่ดีนักหากว่ากล่าวรุนแรงเกินไป!
ทว่า ซ่งอิงก็ยังมาริมแม่น้ำอีก! เหอะ ยังวาดหวังให้เขามาสานสัมพันธ์กับนางอีกหรือไร
ซ่งอิงแปลกใจเล็กน้อย “ข้าเอาแต่ปรากฏตรงหน้าเจ้า? เจ้าแน่ใจนะว่าสมองตัวเองไม่ได้มีปัญหา?”
“เจ้าหมายความว่าอันใด!” หลี่จิ้นเป่าหน้าแดงก่ำ “ซ่งอิง เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน เมื่อก่อนเจ้ามิใช่เช่นนี้ ตอนนี้นอกจากหน้าเสียโฉมแล้ว จิตใจก็ต่ำช้าอีกด้วย”
ซ่งอิงได้ยินดังกล่าว อดหลุดหัวเราะเยาะไม่ได้
นางผุดลุกขึ้นมา “เส้นทางริมน้ำสายนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของครอบครัวหลี่เจ้าหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่…” หลี่จิ้นเป่ามุ่นคิ้ว
“ในเมื่อไม่ใช่ แล้วไยข้าจะมาไม้ได้ อ้อ จริงอยู่ที่ครั้งก่อนเจอเจ้าที่นี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เช่นเดียวกันคือข้ามาถึงก่อน จากนั้นเจ้าก็ตามหลังมา หากเอ่ยถึงคนที่ตอแยไม่เลิกรา นั่นก็คือเจ้าเสียมากกว่ากระมัง?” ซ่งอิงเอือมระอา วัยสิบเจ็ดสิบแปดปีก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ไฉนถึงคิดเองเออเองได้เก่งปานนี้
“เจ้า เจ้ายังไม่ยอมรับอีก!? ครั้งก่อนเจ้าอยู่ตรงนี้แทบจะกระโจนกอดใส่ข้าด้วยซ้ำ…” หลี่จิ้นเป่าขยะแขยง
ใบหน้านี้ ยิ่งมองยิ่งน่ากลัว!
ซ่งอิงได้ยินดังกล่าว รู้สึกเอือมระอา ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเอื้อนเอ่ยแล้วจริงๆ
หลี่จิ้นเป่าผู้นั้นเข้าใจผิดจริงอย่างที่คาดคิดไว้ เพียงเพราะนางไม่ทันระวังเลยเสียหลักโอนเอน ก็คิดว่านางมีเจตตาอื่นแอบแฝงเสียได้
“สุขภาพร่างกายข้าไม่ดี วันนั้นนั่งยองนานไป จากนั้นลุกขึ้นเดินฉับพลันถึงได้มึนหัวหน้ามืด เจ้าคิดว่าข้าถูกตาต้องใจเจ้าขนาดนั้นหรือ” ซ่งอิงกล่าวด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย “เจ้าได้เรียนตำราไปกี่เล่มเชียว ความนึกคิดต่ำช้าเช่นนี้ มิน่าล่ะ ถึงเป็นพวกไม่เอาไหน!”
“ข้าว่าเป็นเจ้าต่างหากที่แสร้งทำที! ซ่งอิง เป็นข้าที่มองเจ้าผิดไปแล้วจริงๆ หากเจ้ายอมรับมาโดยตรง บางทีข้าอาจกล่าวปลอบใจเจ้าสักสองสามประโยค ทว่าเจ้ากลับทำเช่นนี้…ช่างเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันจริงๆ เจ้าคงกระทำเรื่องที่คนอื่นเขาไม่รู้ไม่เห็นไว้สินะ ดังนั้นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดถึงไม่ยอมรับเจ้า แล้วขับไล่เจ้ากลับมาชนบทใช้ชีวิตยากจนเช่นนี้!” หลี่จิ้นเป่ารู้สึกเพียงตนเองถูกทำให้เสียหน้า จึงชี้นิ้วขณะก่นด่าซ่งอิง
ซ่งอิงเมื่อก่อนไม่ได้ปากคอเราะรายเพียงนี้ แล้วยังจะกล่าวว่านางไม่ได้เปลี่ยนไปได้อยู่อีกหรือ