ตอนที่ 53 กลายเป็นภูตไม่ได้แน่นอน
ทว่าอย่างไรก็ตาม แม้ตั้งชื่อให้ภูตโสมแล้ว แต่ซ่งอิงก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว
หลังกินอาหารค่ำเรียบร้อย ก็ไม่ลืมข่มขู่ภูตโสมน้อยอีกหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็หยั่งเชิงอยู่หลายครา ค้นพบว่าแสงทองของตนรับรู้ตำแหน่งภูตโสมได้ อีกทั้งหากนางเลือกใช้แสงทองขึ้นมาอีก ก็ควบคุมโสมน้อยตนนี้ได้เช่นเดิม เพียงแต่หลังใช้แสงทองแล้วต้องพักผ่อนเพิ่มพละกำลังเสียหน่อย มิเช่นนั้นจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
บางทีอาจเป็นเพราะพลังของภูตโสมไม่เก่งกาจเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าในเงื้อมมือของนาง เขาไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้
นี่ถึงเป็นอันวางใจอย่างสนิท
ทว่าหลังภูตโสมมองเห็นลานหลังบ้านนาง ก็เกือบคลั่งขึ้นมาเสียดื้อๆ!
“ของบำรุงพลังและสติปัญญาชั้นยอดเพียงนี้ ไยจึงให้ไก่กินเสียได้! ข้าจะกิน ข้าจะกิน!” ภูตโสมอยากจะกระโจนเข้าไปเบื้องหน้าลูกไก่เหล่านั้นแทบแย่ จะได้แย่งอาหารพวกมันกินเสีย!
“เอ๋? ยังเหลือผักป่าจำนวนมากเพียงนี้เชียว?” ซ่งอิงงุนงง “ลูกเจี๊ยบเจ็ดแปดตัว แล้วยังมีแม่ไก่แก่อีกตัวเชียวนะ น่าจะกินหมดไปตั้งนานแล้วสิ?” ซ่งอิงมองเห็นผักป่าเต็มพื้น ตะลึงงันไปชั่วครู่
“ข้าต้องการกิน! แง้! คนชั่วร้าย ให้ดูแต่ไม่ให้กิน…ไม่สู้ตุ๋นข้าไปเสียสิ้นเรื่อง!” ภูตโสมน้อยเนื้อต่ำใจ
ซ่งอิงไม่แยแสเขา เอาแต่จับจ้องไก่เหล่านั้น ค้นพบว่า มีลูกไก่สีเหลืองตัวหนึ่งนั่งยองอยู่ในแปลงผัก ขณะที่ไก่และเป็ดตัวอื่นๆ ล้วนอยู่ในเล้าไก่ไม่ออกมา ต่อให้ออกมาเดินวนอยู่รอบหนึ่ง แต่ทั้งหมดจะหลีกเลี่ยงแปลงผักป่า กินเฉพาะอาหารที่ธรรมดาๆ เหล่านั้น
“ไก่ตัวนี้คงไม่ได้กลายเป็นภูตเช่นกันแล้วกระมัง?” ซ่งอิงกล่าวตามจิตใต้สำนึก
“กลายเป็นภูต?” ภูตโสมกลอกตามองบน “เข้าใจคิดนี่! ฮึ ไม่ว่าพืชหรือสัตว์จะกลายเป็นภูตต่างก็ต้องมีหลิงถาย[1]กันทั้งนั้น ลูกเจี๊ยบตัวน้อยนิด นึกไม่ถึงว่ายังคิดเพ้อฝันอยากกลายเป็นภูตกับเขาด้วย…ให้เวลามันอีกร้อยปี มันก็บ่มเพาะหลิงถายขึ้นมาไม่ได้หรอก!”
ซ่งอิงมองโสมน้อยอย่างฉงนสงสัยพริบตาหนึ่ง
“เจ้าไม่คิดว่าลูกเจี๊ยบที่กินอาหารตามลำพังตัวนี้ ค่อนข้างฉลาดหรอกหรือ” ซ่งอิงกล่าว
ภูตโสมเอียงศีรษะเล็กน้อย ครุ่นคิดชั่วครู่ “ผักนั่นเป็นของบำรุงชั้นเยี่ยม กระทั่งพวกโง่เขลายังมองออกด้วยซ้ำไป และสัตว์ทั่วไปล้วนมีจ่าฝูง บางทีมันอาจเป็นเพียงลักษณะของจ่าฝูงก็เป็นได้ ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้แน่!”
กลายเป็นภูตไม่ได้เป็นแน่
ภูตตัวน้อยที่ชาญฉลาดอย่างมัน จะไม่มีทางเหมือนพืชพันธุ์ที่เลื้อยเต็มขุนเขา ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง!
ซ่งอิงไม่เข้าใจภูตผีปีศาจ เมื่อภูตโสมกล่าวอย่างนี้ ซ่งอิงก็เลยเชื่อ
ข้างกายนาง ต้องการภูตน้อยเช่นนี้สักตน
เพราะนางไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีภูตผีปีศาจที่เปลี่ยนร่างได้มากน้อยเพียงใด ด้วยตาเนื้อธรรมดาของนาง เกรงว่าคงมองไม่ออก หากมีภูตโสมอยู่ด้วย น่าจะมั่นใจได้ขึ้นมาก
“จากนี้เจ้าก็คือซ่งหลิน ลูกบุญธรรมของครอบครัวพวกข้า…เจ้าจะกลับขึ้นเขาไปบ้างเป็นครั้งคราวก็ย่อมได้ ทว่าเวลาส่วนใหญ่ยังคงต้องอยู่ที่บ้านข้า เป็นเช่นไร” ซ่งอิงกล่าว
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นมนุษย์หรือ!” ภูตโสมกล่าวอย่างรู้สึกเหนือความคาดหมาย
“เจ้าอยากดื่มน้ำผ่านจิตหรือไม่ล่ะ” ซ่งอิงเอ่ยปากโผงไปตรงๆ “มนุษย์อยากกินดี ดื่มดี ล้วนต้องขยันทำงาน จึงจะสรรหาสิ่งที่ต้องการมาได้ จากนี้เจ้าก็ต้องช่วยข้าทำงาน ขอเพียงเจ้าทำได้ดี ทุกวันจะมีน้ำผ่านจิตให้เจ้าดื่ม เป็นอย่างไร?”
“ทุกวัน? ข้าไม่เชื่อ! นั่นเป็นของบำรุงชั้นเยี่ยม เป็นของดี ไม่มีจำนวนมากเพียงนั้นไปได้หรอก…” ภูตโสมส่ายหน้าเสมือนสะบัดป๋องแป๋งด้ามหนึ่งไปมา
ซ่งอิงยิ้มยิงฟันใส่เขา เดินไปยังด้านข้างอ่างเก็บน้ำที่นางใช้รดผักป่า ยกมือขึ้นนำน้ำทะเลสาบจากช่องว่างระหว่างมิติโยกย้ายออกมา
เห็นเพียงน้ำผ่านจิตไหลรินลงสู่อ่างเก็บน้ำไม่ขาดสาย
โสมน้อยกระโดดคราเดียวในความสูงถึงสามฉื่อ[2]
“ท่านพี่!” ครั้นสงบสติอารมณ์ลง โสมน้อยก็วิ่งมาสวมกอดต้นขาซ่งอิงเอาไว้แน่นในทันที “จากนี้ข้าก็คือซ่งหลินละนะ! จากนี้ข้าจะเคารพเชื่อฟังท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรม ท่านพี่และพี่ใหญ่!”
“…” ซ่งอิงนึกว่าตนยังต้องหลอกล่ออีกสองสามประโยคเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเพียงนี้
จะอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ดำรงชีวิตมานับพันปี จะหนักแน่นเสียหน่อยมิได้หรือ
ซ่งอิงหมายเอ่ยพูด ซ่งสวินเดินเข้ามาเสียก่อน “น้องพี่ ท่านปู่ท่านย่าเรียกพวกเราไปหาหน่อย”
ตอนที่ 54 ลูกอกตัญญู
ยามที่ซ่งอิงและซ่งสวินเข้าไป สมาชิกบรรดาบ้านอื่นๆ ล้วนอยู่กันพร้อมหน้า
ยุคสมัยต้าติ้ง ไม่มีระเบียบปฏิบัติที่ว่าหากบิดามารดายังมีชีวิตอยู่จะไม่สามารถแยกครอบครัวได้ แต่เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินแล้วต่างคนต่างดำเนินชีวิตประเภทนี้ มีข้อกำหนดบางอย่างอยู่เช่นกัน นั่นก็คือการแบ่งจ่ายภาษีครัวเรือนที่กำหนดไว้ชัดเจน
จำนวนภาษีที่ว่านี้มิใช่น้อยๆ บรรดาบุตรชายเหล่านี้ของครอบครัวซ่งหากต้องการแยกออกไปทั้งหมด เงินที่ต้องจ่ายออกไปก็จะมากยิ่งขึ้น ตอนแรกที่แยกครอบครัว ก็เพื่อหลีกเลี่ยงซ่งอิงจะพาลให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นมองจากภายนอกคือสามบ้านล้วนแยกครอบครัว และแบ่งแยกทรัพย์สมบัติกันแล้ว แต่ในทะเบียนบ้าน มีเพียงซ่งจินซานเท่านั้นที่ตั้งครอบครัวแยกออกมา เช่นนี้จะประหยัดเงินได้หน่อย
ในสายตาผู้เฒ่าซ่ง นี่คือการกระทำที่จนใจเช่นกัน
เพราะซ่งอิงจึงแยกครอบครัว ในใจซ่งเหล่าเกินและหม่าซื่อ จะมากจะน้อยก็มีความไม่สบายใจอยู่
“ท่านพ่อ ในบ้านเกิดเรื่องอันใดแล้วหรือขอรับ” ซ่งจินซานเอ่ยปากถามทันทีที่มาเยือน
“หลังแยกครอบครัว ก็ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาพบปะเจอหน้าค่าตากัน ในใจข้านี้เลยรู้สึกไม่มั่นคง” ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจ “หลายวันก่อนเรื่องของคตระกูลหลี่แยกครอบครัวกัน พวกเจ้าก็คงได้ยินมาบ้างแล้ว บ้านใหญ่ตระกูลหลี่เพราะไม่ได้ของสิ่งใดติดไป จึงไม่ยินยอมเลี้ยงดูบิดามารดา ไม่รู้พวกเจ้านึกคิดเช่นไร ในใจจะรู้สึกเช่นกันหรือไม่ว่า ข้าผู้นี้เป็นบิดาที่ไม่มีความเป็นธรรม และเกิดความนึกคิดอันใดต่อข้าแล้วหรือไม่”
ซ่งจินซานรู้สึกตระหนกตกใจ
ความไม่เป็นธรรมนี้ ไม่ได้เหมือนกับตระกูลหลี่
ตระกูลหลี่เป็นเพราะครอบครัวบุตรคนโตได้รับความไม่เป็นธรรม ส่วนครอบครัวพวกเขา เป็นเพราะทางด้านเขานี้ไม่ได้รับสำคัญจากบิดามารดา
ดังนั้นคำพูดนี้ ตามจริงเป็นการพุ่งเป้าไปที่ครอบครัวบุตรคนรองอย่างพวกเขา?
“ท่านพ่อไปเอาคำพูดนี้มาจากไหนขอรับ ตระกูลพวกเราไม่เหมือนกับตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่เพราะเข้าข้างบุตรคนเล็กมากเกินไป แต่ตระกูลเรา ท่านพ่อปฏิบัติต่อพวกเราพี่น้องอย่างดีเยี่ยมทั้งนั้น” ซ่งจินซานบอกกล่าวด้วยความสัตย์จริง
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าส่งสิ่งของไปให้บ้านบุตรคนโตของครอบครัวหลี่หรือ” ในที่สุดซ่งเหล่าเกินก็กล่าวขึ้นมา
เมื่อคำพูดของเขาสิ้นสุดลง บุตรลำดับที่สี่อย่างซ่งหม่านซานก็เอ่ยพูด “ได้ยินว่าพี่รองนำไข่ไก่ขนาดเท่ากำปั้นใหญ่ๆ ไปให้เชียวนี่! ในครอบครัวพวกเรา ใครเคยเห็นไข่ไก่เช่นนี้บ้างหรือ พี่รองก็ไม่รู้จักเอามาให้ท่านพ่อท่านแม่เพื่อเป็นการความเคารพตอบแทนคุณ แต่กลับนำไปให้คนอื่นเขาก่อนเสียได้ คงมิใช่ว่าเห็นใจหลี่ต้า และคิดว่าหลี่ต้าไม่ดูแลบิดามารดาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วกระมัง?”
ครั้นคำพูดนี้หลุดออกมา ซ่งจินซานก็ถลึงตาแดงก่ำทันที “ข้าริอาจคิดเช่นนี้ก็ให้สวรรค์ฟาดสายฟ้าผ่าข้าเลย!”
“น้องรอง เจ้าอย่าได้ร้อนตัวไป น้องสี่ก็แค่พูดเท่านั้นเอง เจ้าอธิบายให้ท่านพ่อท่านแม่เข้าใจก็สิ้นเรื่อง” พี่ชายคนโตอย่างซ่งฝูซานมองดูเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ในใจซ่งจินซานกลับรู้สึกค่อนข้างอัดอั้น
“มีอะไรต้องอธิบายหรือ ท่านพ่อ หลี่ซานนั่นมิใช่คนดีเด่อะไร นำไข่หนอนปล่อยลงในที่ดินครอบครัวข้า ดีเท่าไรแล้วที่หลี่ต้าเอะอะโวยวาย ครอบครัวข้าถึงรับรู้! ว่ากันตามหลัก ข้าก็ควรขอบคุณคนเขาสิขอรับ! ก่อนหน้านี้ที่อาอิงล้มป่วย ในครอบครัวก็ใช้จ่ายเงินไปเกือบหมดแล้ว ไม่รู้จะหยิบยื่นสิ่งใดออกไปให้จริงๆ ดังนั้นก็เลยนำไข่ไก่นั้นไปมอบให้…”
เขาชักไม่เข้าใจแล้วว่า เรื่องเล็กเพียงนี้ มีค่าให้บิดามารดาคิดเล็กคิดน้อยด้วยหรือ
“หลี่ต้าช่วยเหลือเจ้าครานี้ จริงอยู่ที่ควรขอบคุณเขา ทว่า…อย่างไรเสียก็เป็นคนอกตัญญูคนหนึ่ง เพื่อคำนึงถึงชื่อเสียงครอบครัวซ่ง จากนี้ก็อยู่ให้ห่างไว้หน่อย พ่อเจ้าอย่างข้าผู้นี้ก็ไม่ได้ไร้ไข่ไก่กิน เพียงแต่เกรงว่าเจ้าจะเลียนแบบเรื่องเลวทรามจากคนอื่นเขา ทำให้คนเขาคิดไปว่า ตระกูลซ่งข้าก็ปรากฎลูกอกตัญญูที่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติเท่านั้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน” ซ่งเหล่าเกินกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งจินซานได้ยินคำพูดนี้ ในใจรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง แต่กลับพูดไม่ออกว่าไม่พึงพอใจตรงไหน
“ท่านปู่กังวลใจว่าท่านพ่อข้าจะเลียนแบบเรื่องไม่ดี หรือกังวลใจว่าคนอื่นจะเอ่ยว่าท่านพ่อข้าเผชิญสถานการณ์น่าเวทนาเช่นเดียวกับท่านลุงหลี่ จึงได้ไปมาหาสู่กันล่ะเจ้าคะ?” ซ่งอิงอดไม่ได้จึงกล่าวขึ้นมา
ว่ากันตามหลัก ผู้อาวุโสพูดจา นางผู้เป็นเด็กรุ่นหลังไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากพูด
ทว่า ซ่งเหล่าเกินเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
เมื่อนางกล่าวคำพูดนี้ออกไป ซ่งจินซานที่ก้มหน้าอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันที
ถูกต้องแล้ว เรื่องของการเลี้ยงดูบิดามารดาตระกูลหลี่ตกเป็นหน้าที่ของบ้านบุตรชายลำดับที่สาม แม้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่บ้าน แต่ที่มากมายกว่านั้นคือ กล่าวว่าบิดามารดาตระกูลหลี่มีใจลำเอียงมาก มีไม่กี่คนที่ตำหนิติเตียนหลี่ต้าอกตัญญู
บิดาเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ เป็นการกระทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลซ่งจริงหรือ?!
เกรงว่า เป็นเพราะกลัวผู้อื่นกล่าวว่าเขาไม่ต่างจากบิดามารดาตระกูลหลี่ ที่มีใจลำเอียงมากต่างหากกระมัง?!
[1] หลิงถาย (灵台) หมายถึง จิตวิญญาณ ความคิดที่เฉียบแหลม
[2] ฉื่อ (尺) หน่วยวัดของจีน โดย 1 ฉื่อ เท่ากับ33.33 เซนติเมตร