ตอนที่ 37 อย่าไปถือสาคำพูดเด็กๆ
สีหน้าหร่วนซื่อเปลี่ยนแปลงไปมา ทั้งเลื่อมใสทั้งเกรงกลัวต่อ ‘นักพรตลัทธิเต๋า’ ที่กล่าวถึงนั่น
นักพรตลัทธิเต๋าที่น้ำใจงามไยจึงให้คนเขารับปากโดยการสาบานน่ากลัวเช่นนั้นล่ะ คิดไม่ถึงว่าคนสูงส่งล้วนมีอารมณ์เกรี้ยวกราดเหมือนๆ กันทั้งนั้น…
“เลิกพูดๆ อย่าได้เอ่ยถึงอีกเด็ดขาด…สวินเอ๋อร์ เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดีละ ภายภาคหน้าต่อให้เจ้าแต่งภรรยาแล้ว ก็อย่าได้นำเรื่องราวของน้องเจ้าพูดต่อคนเขาเช่นกัน เข้าใจหรือไม่” หร่วนซื่อรีบกล่าวทันทีทันใด
ซ่งสวินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ในเมื่อยังไม่ได้เห็นประสิทธิผลของยาน้ำนี้เสียหน่อย
แต่คำพูดของมารดาเขา เขาย่อมเชื่อฟังอยู่แล้ว อีกทั้ง หากเรื่องนี้เป็นความจริง เขาก็ไม่เอาไปพูดจาเหลวไหลสู่ภายนอกเป็นอันขาด
แม้ว่าซ่งอิงละอายแก่ใจ แต่เรื่องของช่องว่างระหว่างมิติ จะพูดแพร่งพรายออกไปมิได้เชียว หลังจากนี้ ส่วนที่นางจะได้ใช้น้ำผ่านจิตยังมีอีกมากโข จะอย่างไรก็ไม่อาจให้ทุกครั้งเป็นความบังเอิญ ที่มีเพียงนางค้นพบสิ่งของดีๆ อันเป็นลาภปากอยู่เรื่อยได้กระมัง
ดังนั้นจำต้องหาเหตุผลสักประการ
ส่วนยาเม็ดที่ว่านั้น…
ไว้เดี๋ยวนางค่อยใช้น้ำผึ้งรวมไปถึงน้ำผ่านจิต ผสมเข้ากับของสิ่งอื่นบดเข้าด้วยกันก็เป็นอันใช้ได้
“แล้วยาเม็ดนั่นล่ะ” ซ่งจินซานกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ท่านพ่อ สิ่งของถูกข้าซ่อนเอาไว้ คนรู้ยิ่งน้อยคนยิ่งดี ท่านอาจารย์ก็กล่าวไว้เช่นกันว่าไม่ให้ข้านำยาเม็ดดังกล่าวซ่อนไว้ในสถานที่ที่ผู้อื่นรับรู้ มิเช่นนั้น…”
“ถุยๆๆ อย่ามัวถือสาคำพูดเด็กๆ อยู่เลย! ของนั่นเจ้าซ่อนเอาไว้ให้ดีๆ ก็เป็นพอ!” หร่วนซื่อรีบกล่าวสวนทันควัน
ซ่งอิงพยักหน้า
“อาอิง ยาน้ำนี้มี…ความอัศจรรย์อย่างที่เจ้าว่าจริงหรือ” ซ่งสวินขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
“หากท่านพ่อท่านแม่ไม่เชื่อ…พรุ่งนี้เช้าตรู่ พวกเราขึ้นเขาไปสักครา หาต้นลวี่โต้วกั่วสักต้นแล้วทดลองดูก็สิ้นเรื่องเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
ทดลองแน่นอนว่าต้องลองดูเสียหน่อย
เพราะคำพูดของซ่งอิง ตลอดทั้งคืนนี้ หร่วนซื่อและซ่งจินซานล้วนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ส่วนซ่งสวินเห็นได้ชัดว่ามีความสามารถในการทำใจยอมรับได้ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าบิดา มองดูจึงยังกระปรี้กระเปร่าน่าดู
ท้องนภายังไม่ทันสว่าง คนครอบครัวหนึ่งก็พากันขึ้นเขาไป
ค้นพบต้นลวี่โต้วกั่วจำนวนหนึ่งในตำแหน่งที่ค่อนข้างลับตาคน
ซ่งสวินเดินนำหน้าไปเด็ดผลมันมาลิ้มรสหนึ่งผล หวานเล็กน้อย แต่ส่วนมากยังคงมีรสเปรี้ยวและฝาด ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนที่เคยกินเหล่านั้น อีกทั้ง ผลไม้นี้แม้จะสุกแล้ว แต่ไม่มีสีสันสดใสงดงามเท่าที่น้องสาวเขาเด็ดเอามาเหล่านั้น
ซ่งจินซานโอบกอดโถใบนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย นำน้ำในโถรินรดส่วนโคนของต้นไม้
จากนั้นไม่ทันไร คนทั้งครอบครัวพากันรอคอยอย่างจิตใจไม่เป็นสุข แทบไม่อยากกะพริบตาเลยก็ว่าได้
ปรากฏว่าเป็นไปตามความคาดหมาย เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า สีสันของผลไม้เหล่านี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด เปลี่ยนไปเป็นสีม่วงแดง นอกจากนั้นยังถึงขั้นส่งกลิ่นหอมของรสชาติผลไม้อีกด้วย
“มี…มีของที่อัศจรรย์ประเภทนี้จริงๆ ด้วย! อาอิง ที่เจ้าพบเจอคงไม่ใช่ผู้นำนักพรตลัทธิเต๋าผู้เป็นเทพเซียนหรอกกระมัง!” ซ่งจินซานตกตะลึงปนประหลาดใจ
“นักพรตผู้นั้นกล่าวกับข้าเพียงแค่ว่ามีบุญวาสนาก็เท่านั้น ท่านอาจารย์นักพรตพเนจรไปทั่วสารทิศ เพียงแต่เห็นว่าข้าน่าสงสาร…” ซ่งอิงทอดถอนใจ
“ผู้นำนักพรตลัทธิเต๋าคงมี…ของล้ำค่าที่รักษาใบหน้าได้กระมัง” หร่วนซื่อกล่าวอย่างประหม่า
“ท่านแม่ นักพรตลัทธิเต๋าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จะใส่ใจสิ่งของที่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว
หร่วนซื่อถอนหายใจ “ก็จริง”
ความผิดหวังนี้ไม่ได้กลบความตื่นเต้นบนใบหน้าสองสามีภรรยาเอาไว้ได้ มีเพียงซ่งสวินที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่เอ่ยวาจาอะไรทั้งสิ้น และเริ่มลงมือเด็ดผลไม้อย่างไม่รีรอ
วันนี้พวกเขายังต้องไปในตัวอำเภออีก
ครั้งนี้ นำน้ำที่อยู่ในโถใช้จดหมด โดยรดไปได้อีกสองต้น
ปริมาณผลไม้ที่เด็ดมาจึงมากมายพอๆ กับครั้งก่อน
ผ่านไปหนึ่งช่วง ซ่งอิงสบายใจขึ้นมาก เอ่ยพูดกับสมาชิกครอบครัวนี้อีกครา “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าวในแปลงนาของบ้านพวกเรา ข้าใส่ยาเม็ดลงไปจำนวนหนึ่งแล้ว ข้าวที่ออกในปีนี้จะต้องเต็มรวงอย่างแน่นอน แล้วก็แปลงผักพื้นที่สามเฟินนั่นก็เช่นกัน อีกไม่นาน เราก็จะมีของดีๆ ไว้กินแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าสาดยาน้ำลงไปในที่ดินแปลงผักนั้นด้วย!?” หร่วนซื่อได้ยินดังกล่าว ปวดใจเสียยิ่งอะไร “บ้านเรามีก็แค่พื้นที่เล็กๆ ผืนนั้น ปลูกอะไรได้ไม่มากมายด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าก็เลยชำกุยช่ายลงไปเล็กน้อย…ไอ้โยว หัวใจของข้า ช่างปวดใจจริงๆ เลย หนึ่งหยดก็ยังถือเป็นของหายากเสมือนทองคำก็ว่าได้ เจ้ากลับใช้มันรดทั้งแปลงเสียได้…”
หร่วนซื่ออยากจะเป็นลม
ตอนที่ 38 ตกลงไปในขุมนรก
ใบหน้าซ่งจินซานเต็มไปด้วยความปวดใจเช่นกัน แต่เขายังดีกว่าหร่วนซื่อหน่อย “ต่อให้เป็นของที่แพงกว่าทองคำ ก็เป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้ ตามใจนางเถอะ”
ใบหน้าดวงนี้ของบุตรสาวเสียโฉมแล้ว ยังไม่รู้ว่าชีวิตครึ่งหลังที่เหลือจะดำเนินไปอย่างไร บัดนี้มีของล้ำค่านี้ก็พอวางใจได้หน่อย แม้ว่าสิ่งของดังกล่าวมีคุณค่าอย่างสูง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ได้เพียงรักษาโรคในพืชผัก ไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจเสียดายที่จะใช้มันถึงเพียงนั้น
ซ่งจินซานคิดได้ และตามจริงหร่วนซื่อก็ไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวคิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน
“ใช่ๆๆ…ใช้ก็ใช้ไปแล้วนี่นะ” หร่วนซื่อฉีกยิ้มออกมา “ข้าต้องไปดูแปลงผักนั่นเสียหน่อย ไม่รู้ว่าในแปลงจะมีวัชพืชขึ้นบ้างแล้วหรือไม่ ของดีงามเพียงนี้ หากวัชพืชดูดกินเสียหมดคงน่าเสียดายแย่!”
มองดูผลไม้ป่าเก็บไปพอประมาณแล้ว หร่วนซื่อจึงลงเขาไปด้วยความรีบร้อน
ระหว่างทางผ่านแปลงนาผืนนั้นของครอบครัวตนพอดี
“หลี่ซาน!” ไกลออกไป หร่วนซื่อมองเห็นในแปลงไร่นาของบ้านนาง มีคนกำลังด้อมๆ มองๆ บางสิ่งอยู่ จึงส่งเสียงตะโกนเรียกทันที
หร่วนซื่อตรงปรี่เข้าไป
ซ่งอิงเร่งตามหลังไปติดๆ ในใจนึกสงสัยอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“หลี่ซาน เจ้าจะปล่อยอะไรลงในที่ดินบ้านข้าอีกแล้วใช่หรือไม่! ทุกคนเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น ไยจิตใจเจ้าถึงได้ชั่วร้ายเช่นนี้!” หร่วนซื่อกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“น้องหลี่ซาน ข้าซ่งจินซานไม่เคยกระทำไม่ดีต่อครอบครัวเจ้าแต่อย่างใด เรื่องราวคราก่อนข้าก็อุตส่าห์ไม่ถือโทษเอาความกับเจ้า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ!” ซ่งจินซานกล่าวด้วยความโมโหเช่นกัน
ส่วนซ่งอิงกวาดสายตามองโดยรอบ
ครั้งนี้ หลี่ซานไม่ได้เหยียบย่ำต้นข้าว ทว่า…ตอนนี้ ดวงตาของเขากำลังกวาดมองไปทั่วสารทิศ สรุปแล้วหาอะไรอยู่กันแน่?
คงมิได้มองหาโสมอย่างที่หลี่ต้ากล่าวไว้เช่นนั้นกระมัง?
“ครั้งก่อนข้าทำของหายไว้ที่นี่ เพียงแค่แวะมาหาก็เท่านั้น!” หลี่ซานวางมาดขึงขัง หลังสาดสายตามองหนึ่งรอบจนมั่นใจคล้ายหาไม่เจอแน่ ก็เผยสีหน้าเชิงผิดหวังและอึดอัดใจออกมา
เขามั่นใจได้ว่าครั้งก่อนตนไม่ได้ตาฝาด เขามองเห็นโสมจริงๆ…
แต่ตอนนี้ ไม่มีเสียแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้น
เขาแอบมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทว่าไม่เคยได้เห็นโสมอีกเลย!
โสมหนีหายไปแล้ว!
ต้องโทษพี่ใหญ่ผู้โง่เขลานั่น หากมิใช่เขาส่งเสียงโวยวายดังทั่วสารทิศ ก็คงไม่เป็นเช่นนี้!
ในชั่วพริบตา หลี่ซานเผยท่าทีราวกับเดือดดาล มองดูคล้ายทำสิ่งที่สำคัญยิ่งหายไปจริงๆ หนำซ้ำทั่วทั้งใบหน้าก็แสดงออกอย่างไม่อยากแยแสซ่งจินซานสามีภรรยา ก่อนเดินจากไปอย่างเกรี้ยวกราด
ซ่งจินซานมองเงาแผ่นหลังของหลี่ซาน โกรธจัดจนหน้าขมึงทึงแล้วเช่นกัน
“เหตุใดครอบครัวหลี่ถึงให้กำเนิดคนเช่นนี้ออกมาได้! โชคดีที่ตอนแรกไม่ได้เจรจาตกลงงานแต่งกับครอบครัวเขาไว้ดิบดี มิเช่นนั้นยาโถวมิเป็นอันตกขุมนรกหรอกหรือ!” ซ่งจินซานเอ่ยประโยคที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
กุยช่ายในแปลงผักโตกว่าต้นข้าวเล็กน้อย ยามนี้หร่วนซื่อจับจ้องพวกมันด้วยแววตาอิ่มเอมใจ ซ่งอิงเห็นแล้วถึงกับหนังศีรษะชา[1]
“ยาโถว อีกสองวัน หากลูกเป็ดในบ้านแข็งแรงมีชีวิตชีวาดีก็เอามาปล่อยไว้ในแปลงนานี้เสีย ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทำอันใด แค่นั่งเฝ้าพวกมันใต้ร่มไม้ทางด้านนั้นก็พอ หลี่ซานจะได้เลิกคิดว่าสมาชิกครอบครัวเราน้อยคน วันๆ จึงเอาแต่คิดมาหาเรื่องเอาเปรียบ!” ใบหน้าหร่วนซื่อเต็มไปด้วยการแสดงออกอย่างจริงจัง
ต้นกล้ายังไม่โตไปเท่าไรเลย หลี่ซานก็ถ่อมาทางด้านนี้ทุกวี่ทุกวัน เมื่อใดที่กุยช่ายของบ้านโตเต็มที่แล้ว หลี่ซานผู้นั้นจะต้องขโมยเป็นแน่!
ไม่แน่ว่า เพราะมองออกว่าพืชผลของบ้านนางดี ดังนั้นถึงคอยหมายตาไม่เลิก!
หร่วนซื่อเริ่มครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย
ซ่งอิงเห็นลักษณะนางเช่นนี้ จึงรีบขานรับทันที
ผักแปลงนี้ ไม่ต้องให้มารดาบอกกล่าวอะไรมากความ นางก็จะแวะเวียนมาดูเช่นกัน ในเมื่อหลี่ซานน่าสงสัยเกินไปแล้ว ไม่รู้ให้ได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ นางเองก็ไม่อาจวางใจได้เช่นกัน
หลังดูแปลงผักเรียบร้อย ซ่งอิงและซ่งสวินก็นำของเข้าอำเภอ
เพียงแต่ครั้งนี้ ในอำเภอเมืองมีร้านแผงขายลวี่โต้วกั่วมากมายจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กๆ ที่วัยสิบกว่าปีทั้งนั้น
หากเป็นก่อนหน้านี้ ซ่งสวินคงกังวลใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ด้วยสาเหตุที่รู้อยู่แล้วว่าลวี่โต้วกั่วรสชาติดีงามก็เลยวางใจได้มาก
“พวกเจ้าทั้งสองมากันช้าเกินไปแล้ว เช้าตรู่วันนี้ มีร้านมาขายเหมือนๆ กันเป็นสิบร้านเห็นจะได้ พวกเขาแข่งขันกัน ราคาของผลไม้นี่ในวันนี้จึงถูกพวกเขาปรับเป็นจินละหนึ่งอีแปะ!”
[1] หนังศีรษะชา (头皮发麻) หมายถึง การบรรยายถึงลักษณะของความรู้สึกที่ทั้งหวาดกลัวและสับสนคิดไม่ตกต่อเรื่องราวหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวพัน