ตอนที่ 47 เซียนล้วนจิตใจดีงามทั้งนั้น
นางเข้าใจเกี่ยวกับโสมไม่มากนัก แต่ก็พอรู้อยู่บ้างเช่นกัน โดยทั่วไปโสมอย่างดีที่สุดก็แค่สองร้อยปีโดยประมาณ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ราคาจึงสูงลิ่วจนทำให้คนแค่เห็นก็กลัว ในตำนานที่กล่าวขานกันมาว่าโสมจะมีอายุถึงพันปี…
อาจเคยเห็นผ่านตาแค่ในนิยายยุทธจักร
แต่โสมหัวหนึ่งตรงหน้านี้…
โสมนี้มีลักษณะ ‘อ้วนท้วม’ นางเคยได้ยินว่า รอยปล้องบนเหง้าโสมเป็นตัวบ่งบอกถึงอายุ มีจำนวนกี่ปล้อง บวกเข้าไปอีกหนึ่งเท่าตัวก็จะเท่ากับอายุของโสม แต่ปล้องบนเหง้าของโสมเบื้องหน้าสายตานี้เรียกได้ว่าทับซ้อนกันไปมาเป็นชั้นๆ จนแน่นขนัด น่าจะมีจำนวนเปราะมากมายจนมองไม่ชัดเจนแล้ว…
ไม่แน่อาจเป็นโสมแก่พันปีจริงๆ
แล้วจะขายได้เงินเท่าไร?
ราคาสิ่งของในยุคสมัยต้าติ้งมีความแน่ชัด โดยเฉพาะเมืองยงแถบนี้ยิ่งกำหนดไว้ชัดเจน เจ้าของร่างเดิมก็เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน สิ่งของประเภทนี้พบเห็นได้บ่อยครั้งในจวนโหว ดังนั้นนางก็พอเข้าใจอยู่บ้างเช่นกัน
ที่นี่แบ่งโสมออกเป็นหลายประเภท โสมที่สมบูรณ์ราคาจะไม่เหมือนกัน โสมชั้นหนึ่ง โสมชั้นสอง โสมทั่วๆ ไป ส่วนปล้องบนสุดของโสมกับรากฝอยก็ราคาแตกต่างกันออกไป
โดยทั่วไปแล้ว ราคาอย่างเป็นทางการของโสมชั้นหนึ่งอยู่ที่จินละแปดสิบถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ระดับรองลงมาจินละห้าหกสิบตำลึงเงิน โสมธรรมดาทั่วไปประมาณสามสิบจิน ส่วนปล้องบนสุดของโสมและรากฝอยก็จะราคาถูกกว่าหน่อย แต่ก็เป็นราคาห้าถึงสิบตำลึงเงินต่อจินอยู่ดี แน่นอนว่า นี่คือราคา ณ ตอนนี้
หากวางขายในช่วงที่ราคาตลาดไม่แน่นอน เช่นนั้นก็ไม่ใช่ยึดตามน้ำหนักจินในการขาย เท่าที่นางรู้ บนโลกนี้ ยามที่โสมราคาแพงสุด น่าจะเป็นหนึ่งถึงสองร้อยตำลึงเงิน
ยามที่เจ้าของร่างอยู่จวนโหว ลำพังในช่วงเทศกาล รับประทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว ตอนนั้นก็เห็นอาหารประเภทไก่ตุ๋นโสม ตกตะลึงจนไม่กล้าแตะต้อง บรรดาพี่สาวน้องสาวหัวเราะเยาะจนนางขายหน้า ดังนั้นก็นำราคาโสมบอกกล่าวอย่างละเอียดรอบหนึ่ง โสมที่กินตอนอยู่จวนโหวครานั้นน้ำหนักประมาณสองเหลี่ยง[1] ส่วนราคาก็คือยี่สิบตำลึงเงินโดยประมาณ
ทว่าเบื้องหน้านี้
โสมนี่ลักษณะขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ไม่ต่างจากตุ๊กตาอ้วนจ้ำม่ำตัวหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็คงสิบจินเห็นจะได้!?
ไม่เพียงเท่านี้ โสมนี้ลักษณะภายนอกดูดีเป็นพิเศษ ไม่ด้อยไปกว่าโสมชั้นหนึ่งแน่นอน และยังมีชีวิตอีกด้วย…
สิ่งของหายากราคาสูง โสมที่ขนาดใหญ่อย่างนี้ คงยิ่งไม่มีคนพบเห็นมาก่อน ต่อให้ราคาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว คาดว่าก็มีคนอยากซื้อ
แน่นอนว่า ที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้คือ โสมที่พูดไม่ได้
ซ่งอิงครุ่นคิดว่าต้องลงมือจากตรงไหน จึงจะทำให้โสมนี้เปลี่ยนเป็นพืชธรรมดาทั่วไปได้
“เจ้า เจ้า เจ้าคิดจะทำอันใด!?” โสมขนาดใหญ่คล้ายมองออกถึงเจตนารมณ์ในดวงตาของซ่งอิง พลันลนลาน
มันตื่นกลัว เปลี่ยนลักษณะไปจากร่างเดิม!
ซ่งอิงคิดเพียงว่าตาฝาดไป โสมที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นเด็กน้อยอายุประมาณสี่ห้าขวบ…
หนังตากระตุก “เปลี่ยนกลับไป เปลี่ยนกลับไป! เจ้าเป็นเช่นนี้แล้วข้าจะกิน จะขายได้อย่างไร”
นางไม่ใช่โจรลักพาตัวเด็ก กลายร่างเป็นเด็กน้อยแล้วจะลงมืออย่างไรล่ะ นี่ไม่เท่ากับแสดงให้เห็นว่านางโหดเหี้ยมเกินไปแล้วหรอกหรือ!
“เจ้าอย่ากินข้าเชียวนะ! ข้าใช้เวลาถึงพันปีจึงมีชีวิตขึ้นมาได้ ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะเติบใหญ่เพียงนี้…” เสียงเด็กน้อยเอ่ยพูดพลางสะอื้นไห้ “มนุษย์อย่างพวกเจ้าช่างเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว ทั้งที่เดินไปแล้ว จู่ๆ กลับโผล่ออกมาจากด้านหลัง…เจ้าใช้วิธีการอันใด คิดไม่ถึงว่าจะควบคุมข้าไว้ได้ ข้าขยับไม่ได้แล้ว ข้าไม่อยากถูกกินนะ…”
ซ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
โสมนี่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ทำให้คนรู้สึกผิดมหันต์
“แต่เจ้าขโมยน้ำในแปลงนาของข้า ข้าไม่ขายเจ้า ก็ไม่เท่ากับขาดทุนแล้วหรือ” ซ่งอิงจิ้มใบหน้ารูปไข่ของเด็กน้อย
นิ่มจริงๆ เลย มองดูแล้วก็น่ากินจริงๆ
“เจ้าโกหก นั่นจะเป็นน้ำผ่านจิตของเจ้าได้อย่างไร! เจ้าคนธรรมดาคนหนึ่ง คนธรรมดาไม่มีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงนี้หรอก!” โสมน้อยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“คนธรรมดาจะบีบคอเจ้าได้อย่างไรล่ะ” ซ่งอิงยกยิ้มมุมปาก
โสมมีชีวิตนั่นได้ยินดังกล่าว เสมือนได้รับการโจมตีอันใหญ่หลวง “หรือเจ้าเป็นเซียน…เป็นไปไม่ได้ ข้ามีชีวิตแล้ว และเซียนล้วนจิตใจดีมีเมตตาทั้งนั้น ไม่มีทางกินข้าหรอก หรือว่าเจ้าเป็นจอมมาร?!”
แต่เขาได้ยินท่านปู่กล่าวว่า หลังเข้ายุคโบราณก็ไม่มีจอมมารแล้วนี่! แม้แต่พวกเขาปีศาจน้อยเหล่านี้ ก็ยังมีจำนวนเล็กน้อยเป็นพิเศษเลยนะ!
ตอนที่ 48 สิ่งล้ำค่าของวงศ์ตระกูลที่ส่งต่อกันไป
โสมน้อยเปลี่ยนสีหน้า สั่นเทิ้มทั้งร่างเพราะกลัวว่าซ่งอิงจะจับเขากิน
ซ่งอิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าต้องตอบอย่างจริงจัง หากริอาจโกหกข้า ข้าจะนำเจ้ากลับบ้านไปตุ๋นเสียเลย หากเจ้าเชื่อฟัง ที่ข้ามีคือน้ำผ่านจิตให้เจ้าดื่ม เห็นแก่ความที่เจ้า…มีคุณค่าราคาสูงลิ่ว ไม่แน่ว่าข้ายังจะเลี้ยงเจ้าไว้ เอามาเป็นสิ่งล้ำค่าของวงศ์ตระกูลไว้ส่งต่อกันไป”
การเป็นสิ่งล้ำค่าของวงศ์ตระกูลที่ส่งทอดต่อกันไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนเขาดีใจเช่นกันนี่!
ภูตโสมถลึงตามองอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นค้นพบว่าไม่ได้ช่วยอะไร อย่างไรเสียท้ายที่สุดแล้ว…
มนุษย์ผู้นี้เก่งกาจเกินไป ตอนนี้มันยังขยับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
“ฮึ!” ภูตโสมพ่นเสียงสบถ ซ่งอิงกลับรู้สึกถึงกลิ่นหอมสดชื่นชนิดหนึ่งปะทะเข้ามาเบื้องหน้า
สมกับกลายเป็นสิ่งที่มีความพิเศษเฉพาะตัวจริงๆ ทั่วทั้งเรือนร่าง…เต็มไปด้วยกลิ่นหนึ่งที่น่าเอร็ดอร่อย นางกลัวจริงๆ ว่าตนจะอดใจไม่ไหว กัดกินพืชที่มีรูปลักษณ์อย่างเด็กน้อยคนหนึ่งจนได้
“ว่านอนสอนง่ายเข้าไว้ มิเช่นนั้นข้าจะถอนรากฝอยของเจ้าให้เกลี้ยงเสียเลย!” ซ่งอิงจิ้มหน้าผากภูตโสมตนนี้
เมื่อโสมน้อยได้ยินดังกล่าว ก็กอบกุมศีรษะของตนทันทีทันใด “ถอนไม่ได้นะ ถอนไม่ได้! ข้าบอกก็ได้!”
บรรดาโสมอย่างพวกมันเป็นพืชทั่วไป ดังนั้นการจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด ในขุนเขาต้องไม่ถูกผู้คนเดินเหยียบย่ำ ไม่ถูกสัตว์ป่าคาบไป ได้หยั่งรากถึงห้าร้อยปี และได้รับความชุ่มชื้นภายใต้แสงจันทร์ทรงกลด จึงบ่มเพาะสติปัญญาอันชาญฉลาดขึ้นมาได้!
สติปัญญาของมันเติบโตช้ามาก หลังบ่มเพราะสติปัญญาที่ชาญฉลาดขึ้นมาแล้ว ทุกหนึ่งร้อยปีจะเทียบเท่าวัยหนึ่งปีของมนุษย์เท่านั้นเอง ครั้นถึงหนึ่งพันปี หนีพ้นภัยพิบัติครั้งหนึ่งมาได้ นี่จึงเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนได้เสียที!
รากฝอยของมันเติบโตได้ช้ามากที่สุด ดำรงชีวิตยาวนานเพียงนี้แล้วแท้ๆ แต่เพิ่งโผล่ขึ้นมาแค่หยิบกำมือเดียว!
“เจ้าถูกน้ำผ่านจิตของข้าดึงดูดมาสินะ? น้ำผ่านจิตนี้ มีประสิทธิผลอันใดต่อเจ้าหรือ” ซ่งอิงกล่าว
“น้ำผ่านจิต? ข้ารู้เพียงแค่พื้นที่บริเวณนี้มีอากาศที่พิเศษอยู่มากมาย ขอเพียงข้าดูดซับเอาไว้ให้มากๆ ก็จะทำให้ผมของข้างอกขึ้นมาได้โดยเร็ว” ภูตโสมน้อยแสดงท่าทีน่าสงสารลูบคลำหัวของตน
อากาศ? ซ่งอิงไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ในเมื่อน้ำทะเลสาบในช่องว่างระหว่างมิติไม่ธรรมดาจริงๆ นางกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้ามีชีวิตมากี่ปีแล้ว มีความสามารถอะไรบ้าง บนเขามีภูตเช่นเจ้าเยอะหรือไม่”
“ภูตที่เจ้าเอ่ยถึง…คือหมายถึงมีสติปัญญาชาญฉลาดเหนือพืชทั่วไปหรือว่า…กลายเป็นรูปลักษณ์คนได้? ข้าเป็นจิตวิญญาณโสม ซึ่งก็คือภูตอย่างที่พวกเจ้าว่า ต้องบ่มเพราะสติปัญญาห้าร้อยปี หนึ่งพันปีจึงเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ภูตโสม…มากกว่าครึ่งล้วนเป็นเช่นนี้ ความสามารถของข้า…” โสมน้อยเผยท่าทีลังเลใจ “อร่อย…นับด้วยหรือไม่…ก็อย่างที่พวกมนุษย์พูดๆ กัน…บำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า[2] ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ ยับยั้งภาวะใจสั่น ขจัดเลือดลมไม่ดี บำรุงสายตา แล้วยังช่วยให้จิตใจและสติปัญญาเบิกบาน ทั้งยังช่วยให้อายุยืนยาวได้อีกด้วย…”
เมื่อกล่าวถึงท้ายสุด ภูตโสมก็ร้องไห้ “มนุษย์อย่างพวกเจ้าเลวร้ายที่สุด ในหุบเขามีต้นกล้าที่เพิ่งเติบโตไม่กี่ปีก็ยังไม่ละเว้น…แง้ พวกเจ้ายังผูกเชือกแดกไว้ที่พวกข้าอีกด้วย ผูกเชือกแล้วพวกเราก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว…”
ซ่งอิงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “นั่นไม้ใช่ว่า…”
“เพราะมนุษย์จำนวนมากกล่าวคำพูดที่ว่าโสมกลัวเชือกแดงอะไรทำนองนี้ ดังนั้นสิ่งที่มองไม่เห็นจึงมอบพลังให้เชือกแดงเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นโสมที่ฝึกฝนจนมีสติปัญญาแล้ว ก็หลุดรอดเชือกแดงที่มัดเอาไว้ไม่ได้…”
“…” ซ่งอิงหนังตากระตุก คิดไม่ถึงว่ามีคำกล่าวอะไรแบบนี้ด้วย เห็นเขาสะอื้นไห้อย่างปวดใจ ซ่งอิงจึงผ่อนน้ำเสียงนุ่มนวลลงเล็กน้อย “ยังมีอีกหรือไม่”
“ข้า ข้าวิ่งเร็ว…” โสมน้อยครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนกล่าวอย่างน่าสงสาร “ข้าเป็นเพียงพืชชนิดหนึ่ง ข้าไม่ใช่สัตว์ แน่นอนว่าไม่มีพละกำลังเป็นพิเศษหรอก! หากข้าเหินฟ้ามุดดิน แหวกเขาเคลื่อนทะเลได้ เช่นนั้นก็คงไม่ใช่แค่สิ่งที่มีสติปัญญาฉลาดเหนือทั่วไป แต่เป็นเซียนแล้วละ!”
“บนโลกนี้…มีเซียนด้วยหรือ” ซ่งอิงใจตื่นตกใจ
หรือว่า นางเข้าใจอะไรผิดไป? นับแต่นี้ต้องละทิ้งผืนนาแล้วบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน? ออกตามหาผู้บรรลุความเป็นอมตะที่สั่งสอนทักษะวิชาและการต่อสู้?
[1] สองเหลี่ยง (二两) คือน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเศษ
[2] อวัยวะภายในทั้งห้า(五脏)ได้แก่ ตับ (肝) หัวใจ (心) ม้าม (脾) ปอด (肺) ไต ( 肾)