ตอนที่ 135 สะใจเสียยิ่งอะไรดี
ซ่งอิงยิ้มบางๆ มองดูคล้ายว่าเป็นผู้ใจกว้างและมีความเห็นอกเห็นใจต่อครอบครัวหลี่อย่างใหญ่หลวงโดยแท้จริง
ทว่าใบหน้าชราของหลิวซื่อกลับขมึงทึง ขณะที่หลี่จิ้นเป่าก็มองซ่งอิงอย่างมาดร้ายเช่นกัน
ในฐานะคู่กรณี หลี่จิ้นเป่ารู้อยู่แล้วว่าหากมารดาเขาถูกตบปากต่อหน้าผู้คนมากมายถึงสี่สิบครั้งจะต้องขายหน้ามากเพียงใด ส่วนที่ว่า หากได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย ก็แค่ต้องนอนพักรักษาตัวบนเตียงสองสามเดือนเท่านั้น แต่การได้รับบาดเจ็บบนใบหน้าแตกต่างออกไป ขาแข้งยังใช้งานได้ดี ถึงอย่างไรก็จะเอาแต่หลบหน้าอยู่ในบ้านทุกวันไม่ได้ แต่เมื่อใดที่โผล่หน้าออกมา คนอื่นก็จะนึกถึงเรื่องที่มารดาเขาถูกตบขึ้นมาทันที!
“จะตบปากหรือลงไม้โบย หลิวซื่อ เจ้าเลือกเองแล้วกัน” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
หลิวซื่ออ้ำอึ้ง ไม่อยากเลือกสักทาง
ตระกูลหลี่ยังมีสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวอยู่ด้วย เช่นย่าของหลี่จิ้นเป่า เพียงแต่ยามนี้หญิงชราไม่สนเลยสักนิดว่าหลิวซื่อจะเป็นหรือตาย จิตใจจดจ่อไปยังตัวบุตรชายที่ได้รับบาดเจ็บและร้องห่มร้องไห้ปานเขาตายจากไปแล้ว
“หากยังไม่เลือก ก็ลากตัวไปทางด้านนั้นเลยสิ้นเรื่อง! ทว่าหลิวซื่อ หากเจ้ายังอยากมีหน้าอยู่บ้าง ก็เดินไปยังโถงบรรพชนด้วยตัวเอง เป็นฝ่ายเข้ารับโทษทัณฑ์เสีย!” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขึ้นอีกครั้ง
หากกดดันให้บรรดาบุรุษลงมือ ที่ขายหน้าก็ยังเป็นตัวนางเองอยู่ดี
หลิวซื่อเนื้อตัวสั่นเทา “ตบปากเจ้าค่ะ…”
จะยอมถูกลงไม้โบยไม่ได้เชียว สิ่งที่หมู่บ้านพวกเขาใช้โบยเป็นไม้ที่บางมาก หวดลงไปหนึ่งที ไม้กระดานนั่นจะสั่นไหวไม่รู้กี่ครั้ง หากตีเป็นจำนวนสี่สิบไม้โบย ไม่แน่ว่านางอาจไม่มีชีวิตรอดแล้ว!
อีกทั้งการถูกตีด้วยไม้โบย ตอนที่นอนรักษาตัวบนเตียงใครจะมาดูแลนาง?
บริเวณที่ลงไม้โบยค่อนข้างอยู่ในที่ลับตา บุตรชายจะต้องไม่ยอมช่วยใส่ยาให้นางเป็นแน่ สามีตอนนี้ก็กึ่งเป็นกึ่งตาย แม่สามีผู้นี้ไม่เห็นนางในสายตา เรื่องราวครั้งนี้จะต้องกล่าวโทษนางแน่แท้ เช่นนี้ก็จะยิ่งไม่ดูแลนางเข้าไปใหญ่ ถึงเวลานางจะทำอย่างไรล่ะ จะให้นอนรอความตายบนเตียงหรือ!?
ทำได้เพียงเลือกตบปาก!
ในใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น!
สามีผู้ไม่เอาไหนของนาง ไม่ใช่ว่าจะไปขโมยของหรอกหรือ เหตุใดจึงทำร้ายนางอย่างนี้ล่ะ!
แล้วก็ซ่งอิงอีกคน นางเด็กสาวสารเลวหน้าไม่อายผู้นั้น คนอย่างนางคู่ควรให้ตนชดใช้เงินให้ด้วยหรือ!
เมื่อนึกถึงเงิน ในใจหลิวซื่อก็เจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง
สามีนางค่อนข้างได้รับความเอ็นดู ด้วยเหตุนี้ตอนที่แยกครอบครัวจึงได้รับสมบัติของตระกูลเกินกว่าครึ่ง และยังต้องเลี้ยงดูผู้ชราอีกด้วย แต่ในความเป็นจริง ทรัพย์สินของตระกูลนั้นยังคงถูกควบคุมโดยหญิงชรา ที่สามีของนางมีอยู่ก็มีแค่เงินของครอบครัวตนเองที่เก็บหอมรอมริบจากน้ำพักน้ำแรงมาอย่างยากลำบากเท่านั้น หากเอาออกมาสิบตำลึงเงิน ก็จะเหลือจริงๆ ไม่กี่อีแปะเท่านั้น!
แต่จะหวังให้หญิงชราช่วยจ่ายเงินแทนนาง? ไม่มีทางเสียหรอก!
แม้ไม่เต็มใจ…แต่เงินนั่นก็ยังต้องเอาออกมาอยู่ดี
หลังเอาเงินให้แล้ว หลิวซื่อเดินเนื้อตัวสั่นเทาไปยังโถงบรรพชน
เมื่อก่อนโถงบรรพชนแห่งนี้ไม่เคยลงโทษด้วยการตบปากมาก่อน ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านยังครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ว่าจะใช้มือหรือใช้ไม้ไผ่
ท้ายที่สุดตัดสินใจแน่วแน่ว่าใช้ไม้ไผ่ อย่างไรเสียหากใช้มือ ที่เจ็บปวดน่าจะเป็นคนทำโทษเสียมากกว่า แน่นอนว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่หัวหน้าหมู่บ้านตัดสินใจเช่นนี้ ก็เป็นเพราะการเอ่ยปากของครอบครัวซ่ง
ไม้เรียวที่ทำจากไม้ไผ่เป็นของที่เลือกขึ้นมาใหม่ คนที่ลงโทษคือหญิงชราสูงวัยในหมู่บ้านแต่อายุกลับไม่ถือว่าชราภาพ หญิงชราผู้นี้ก้าวร้าวดุดันมาแต่ไหนแต่ไหร ดังนั้นจึงไม่มีทางลงมืออย่างออมแรงด้วยเช่นกัน
หลิวซื่อรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย แต่ก็สายไปแล้ว
มือทั้งสองถูกมัด คุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชน ในปากมีผ้าสีขาวหนึ่งก้อนอุดเอาไว้ระหว่างฟันบนล่างอีกด้วย ซึ่งยิ่งทำให้ใบหน้านี้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และลงมือได้สะดวกมากขึ้น
ครั้นเกิดเสียง ‘เพียะ’ เรือนร่างหลิวซื่อถึงกับดิ้นรนอยากหลุดออกจากพันธนาการไปให้ได้
บัดซบโว้ย นี่จะเจ็บเกินไปแล้ว!
แต่นางถูกคนจับมัดอยู่ หนีรอดไปไม่ได้ นางรู้สึกแค่ว่าไม้เรียวนั่นเหมือนมีดที่กรีดลงมาไม่หยุดหย่อน เสียงดัง ‘เพียะๆๆๆๆ’ บาดแก้วหูทำให้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว
หร่วมซื่อมองดู ก่อนเริ่มปิดตาของซ่งอิง
อย่างไรเสีย ดวงหน้าของหลิวซื่อก็แดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว
“พี่สะใภ้รอง ปิดตาทำไมหรือ นี่สะใจเสียยิ่งอะไรดี! เหลืออีกไม่กี่ทีแล้ว อาศัยจังหวะตอนนี้ที่ยังมองเห็นเลือดซิบออกมา จับตาดูเขาไว้ให้มากๆ!” ใบหน้าซ่งหม่านซานเต็มไปด้วยความตื่นตัว
ตอนที่ 136 เปรียบเทียบ
ซ่งอิงพยักหน้าเห็นด้วย
นั่นน่ะสิ ได้ยินเสียงนั้นช่างเสนาะหูยิ่งอะไร?
หลิวซื่อผู้นี้ปากไม่เป็นมงคล เอ่ยคำพูดที่ชวนให้นางสะอิดสะเอียนตั้งเท่าไร? ก็สมควรแล้วที่ตอนนี้ถูกตบจนเลือดซิบ
“เอ้อร์ยาเป็นเด็กสาว ใจกล้าเสียที่ไหนกันละ…” หร่วนซื่อเอ่ยพูดอย่างสงสารจับใจ
หากลูกสาวตกใจกลัวจนฝันร้ายจะทำอย่างไร? ดังนั้นจึงกล่าว “อาอิงอา เจ้าไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า ล้วนเป็นหลิวซื่อที่ปากเสียเกินไป เป็นกรรมตามสนอง! หลังกลับไปเจ้าชงน้ำผึ้งดื่มสักถ้วย จะได้ช่วยให้จิตใจสงบ”
“เอาละ แม่จะกลับไปเอากระถางไฟให้เจ้า แล้วก็เด็ดกิ่งใบหลิวเอามาปัดเป่าสักหน่อย ไล่ความโชคร้ายออกไป เช่นนี้ตอนกลางคืนก็จะไม่ฝันร้ายแล้ว” หร่วนซื่อกล่าว
ซ่งอิงหัวเราะเจื่อนๆ
มารดานางไม่เข้าใจนาง
“ชิ…นางน่ะหรือขี้ขลาด?” ซ่งหม่านซานกลอกตามองบนใส่ พี่สะใภ้รองสายตาไม่ดีแล้วกระมัง
หลานสาวคนรองผู้นี้ตอนเด็กๆ ค่อนข้างขี้ขลาด ให้นางทำอะไรก็ทำ ไม่เคยมีปากมีเสียงมาก่อน หลายต่อหลายครั้งถูกเขาด่าว่าจนร้องไห้ขี้มูกโป่ง หลังกลับบ้านก็ยังฝืนฉีกยิ้มหน้าบานออกมา น่าเกลียดจริงๆ
แต่ครั้งนี้จากที่มองดู กลายเป็นว่ามีความหาญกล้ามากกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะที่ตบหน้าซ่งเสี่ยนไปสองทีนั่น เสมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นี่หากเป็นเมื่อก่อนจะไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน
“จริงสิพี่สะใภ้ใหญ่ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คนที่พอรู้ประสีประสาในครอบครัวซ่งเราไม่ควรมากันให้หมดหรอกหรือ แล้วหลานเสี่ยนล่ะ?” ซ่งหม่านซานเอ่ยถาม
บนใบหน้าเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มประหม่า
“ลูกเสี่ยนคุกเข่าวันนั้นถูกลมเย็นเข้าแล้ว หลายวันมานี้จึงปวดหัวอยู่ตลอด ก็เลยพักผ่อนอยู่ในห้อง” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เผยสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อยเช่นกัน
ซ่งสวินของบ้านสองมาร่วมด้วย หลานเซิ่งและหลานเวยของบ้านสามก็มาด้วยเช่นกัน บ้านสี่เด็กยังเล็กก็แล้วไป แต่มีเพียงบ้านใหญ่นางที่…
เฮ้อ หลานต๋ายังเด็ก ไม่เหมาะจะมามองดูสถานการณ์ประเภทนี้ แต่หลานเสี่ยนในฐานะหลานชายคนโตของครอบครัวบุตรคนโต ก็ควรมาช่วยเป็นกองหนุนให้น้องสาวที่ออกเรือนไปแล้วผู้นี้หน่อยสิ
“ไม่ใช่เพราะเลียนแบบลูกเต่าจึงเอาแต่หลบอยู่ในบ้านไม่อยากโผล่หน้าออกมากระมัง?” ซ่งหม่านซานสบถฮึเหยียดหยาม “อุตส่าห์เรียนหนังสือมาตั้งสองปี ยังรู้ความไม่เท่าข้าด้วยซ้ำ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่แข็งทื่อไป
ซ่งหม่านซานในฐานะบุตรคนเล็กที่พ่อเฒ่าเอ็นดู จึงสามารต่อกรกับครอบครัวบุตรคนโตได้สบายมาก
ดังนั้น ยามที่ซ่งหม่านซานยังเด็ก พ่อเฒ่าก็เคยส่งไปโรงเรียนเพื่อร่ำเรียนหนังสือเช่นกัน แต่วันแรกก็ทำให้ครูผู้สอนโกรธจัดจนล้มป่วยแล้ว
ว่านอนสอนง่ายอยู่ได้หนึ่งปี เมื่อส่งไปอีกครั้ง คราวนี้อยู่นานหน่อย ประมาณสามเดือนเต็ม แต่สามเดือนนั้น เขาทำให้บรรดาเด็กๆ ในโรงเรียนกลายเป็นลูกน้องของตนเอง คำพูดที่เอื้อนเอ่ยใช้ได้ยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก ดังนั้นจึง…ได้รับเกียรติในการถูกตักเตือนให้ลาออกไปเสีย
แต่ชายชราคิดว่าเขาผู้นี้เกเรเกินไป รูปลักษณ์ก็ไม่เหมือนลักษณะผู้ที่ทำไร่ทำนาได้ จะไม่เรียนหนังสือไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าภายภาคหน้าจะกลายเป็นอันธพาล ดังนั้นหลังผ่านเลยไปอีกหนึ่งปี ก็ไปขอร้องให้รับเข้าเรียน แน่นอนว่าครั้งนี้พ่อเฒ่าลงมืออย่างโหดเหี้ยม ระหว่างคาบเรียนก็จับเขามัดไว้
อาจารย์ผู้สอนก็ยังคงเป็นท่านเดิม จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ยินดีเหลียวแลเขาเช่นกัน
ซ่งหม่านซานก็เลยร่ำเรียนอย่างว่าง่ายไปได้สามปี หลังพอรู้จักตัวอักษรพื้นฐานแล้ว ก็หายหน้าหายตาไม่เห็นแม้แต่เงาทันที
ส่วนหลานเสี่ยนแตกต่างออกไป ตรงกันข้ามกับซ่งหม่านซานอย่างสิ้นเชิง
อาชายและหลานชายอายุห่างกันสามปี ดังนั้นหลังซ่งหม่านซานเรียนไปได้สองสามปี ซ่งเสี่ยนก็มาขอเข้าเรียนด้วยพอดี
ตอนอยู่ในโรงเรียน อาจารย์กล่าวเชยชมซ่งเสี่ยนประโยคหนึ่ง ก็เป็นอันต้องว่ากล่าวซ่งหม่านซานด้วยสักหน่อย ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่ลงรอยกันตั้งแต่เด็ก อีกทั้งในมุมมองซ่งหม่านซาน ไอ้หนุ่มน้อยซ่งเสี่ยนผู้นี้ไม่ฉลาดเลยสักนิด ที่อาจารย์เชยชมหลานชายคนโตเขาผู้นี้ก็เพราะจงใจแก้แค้นทำให้เขาไม่สบอารมณ์
แต่นอกจากนั้น ซ่งเสี่ยนยังเอาแต่ทำหน้าอวดดี ทำให้เขาไม่พึงพอใจหลายต่อหลายครั้ง หลังกลับมาบ้านก็ยังริอาจย่ำยีเขาเพื่อเอาหน้าต่อหน้าพ่อเฒ่าอีก!
แล้วจะให้อดทนได้อย่างไรหรือ
ดังนั้นไม่ว่าจะเปิดเผยหรือลับหลัง จึงเล่นงานซ่งเสี่ยนไปหลายครั้ง ซ่งเสี่ยนจึงได้รู้จักสงบเสงี่ยมขึ้นมาบ้าง