ตอนที่ 197 การบังคับใช้กฎหมายใช้ได้กับกรณีลงโทษคนเพียงไม่กี่คน
ซ่งอิงได้ยินมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกตระหนกตกใจ
ชายที่สมควรตายประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ตายไปสิ…
หญิงผู้นี้กลับโง่เขลา หากนางไม่พูด ปล่อยให้เรื่องนี้สลายไปในท้องชั่วชีวิต ใครก็ไม่อาจรู้ได้มิใช่หรือ ทว่า…
หากเป็นนาง เกรงว่าก็จะเป็นฝ่ายพูดออกมาเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพื่อซากศพที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ บอกกล่าวบรรดาลูกๆ ว่า แม่คนนี้แก้แค้นแทนพวกเจ้าแล้ว
ซ่งอิงอดทอดถอนใจไม่ได้
“เจ้าผลักแค่หวังซิ่งเท่านั้นหรือ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
เขาเคยอ่านเอกสารราชการที่แบ่งหมวดหมู่เก็บรักษาเอาไว้ คนแรกที่เสียชีวิตจากการตกน้ำก็คือขี้เมาคนนั้น ซึ่งก็คือชายผู้นี้เองสินะ
“ข้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง วันนั้นหลังผลักเขาแล้วก็ตระหนกตกใจกลัว ไม่ได้ออกจากบ้านไปหลายวัน…เป็นข้าเองที่ไม่เอาไหน…” หญิงภรรยาผู้นั้นร้องห่มร้องไห้ “นั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้านะ…”
“ต้าเหริน ข้าสังหารคนข้าสมควรตาย แต่หากไม่ใช่เพราะแม่สามีข้ากดดันหวังซิ่ง บรรดาลูกของข้าก็ไม่ต้องตาย! ขอต้าเหรินโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
นางปลิดชีพหวังซิ่งได้ นั่นเป็นเพราะหวังซิ่งดื่มสุราเมามายและตอนนั้นบังเอิญอยู่ริมน้ำพอดี
แต่แม่สามีนาง นางกลับลงมือไม่ได้
แม่สามีดูแลครัวในบ้าน เอาแต่จับจ้องนางทำงานบ้านงานเรือน ต่อให้นางอยากใช้ยาเบื่อหนูวางยาให้ตายก็ไม่มีโอกาสนั้น
นับประสาอะไรกับแม่สามีนางป้องกันนางอย่างแน่นหนา และสัมผัสได้ถึงความแค้นเคืองของนาง ฉะนั้นทุกครั้งที่กินอาหาร นางต้องกินก่อนสามสี่คำ พวกเขาจึงจะร่วมโต๊ะอาหารกัน
ซ่งอิงคิดว่าเรื่องราวของหมู่บ้านนี้เกรงว่าจะไม่ง่ายแก่การจัดการเสียแล้ว
หากมีคนกระทำผิดเพียงคนเดียวเท่านั้นก็จะจัดการได้ง่าย จับตัวไปก็สิ้นเรื่อง
แต่มีคำกล่าวหนึ่งเรียกว่าการบังคับใช้กฎหมายใช้ได้กับกรณีลงโทษคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หมู่บ้านหนึ่ง ไม่แน่ว่าทุกครอบครัวล้วนเคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อนละ จะจัดการอย่างไรหรือ หรือว่าต้องตัดหัวทั้งหมด?
อีกอย่าง เกรงว่าในหมู่บ้านก็มีคนนับไม่ถ้วนถูกกดดันเหมือนหญิงผู้นี้ แล้วจะจัดการอย่างไร
ซ่งอิงสาดสายตามองไปยังใต้เท้าผู้นั้น
“ซื่อเซี่ยง เรียกคนมาตรวจสอบครอบครัวคนที่สังหารเด็กในหมู่บ้าน จะต้องตรวจสอบกระดูกทั้งหมดตรงนี้ให้แน่ชัด ให้จำนวนตัวเลขตรงกัน จากนั้นนำใบรายชื่อส่งมอบให้ข้า” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวเสียงสุขุม
ฮั่วซื่อเซี่ยงขานรับทันทีที่ได้ยิน จากนั้นลากตัวหัวหน้าหมู่บ้านไป
จากคำให้การของหัวหน้าหมู่บ้าน จะต้องได้ความเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมเป็นแน่
แต่ยังมีอีกสิบเอ็ดคนที่ตกน้ำแล้วตรวจสอบสาเหตุที่ชัดเจนได้ไม่…
“ต้าเหริน…เมื่อครู่ปลาดุกตัวนี้ส่งเสียงร้องไห้อย่างเด็กทารกออกมาจริงๆ นะขอรับ…” เจ้าหน้าที่มือปราบกล่าวเสริมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
คนอื่นพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นกัน
ฮั่วซื่อเซี่ยงแม้เชื่อในคำพูดของคนเหล่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือภูตผีปีศาจชั่วร้ายจริงๆ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แนวคิดของปวงประชาก็สำคัญยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล่าว “อาจเพราะปลาตัวนี้เคยกินเนื้อมนุษย์ ก็เรียกนักบวชเหล่านั้นมา จัดตั้งป้ายนิรนามเอาไว้บริเวณใกล้ๆ นี้และแผ่บุญกุศลให้คนที่มันกินเข้าไปมากมาย แล้วจัดเก็บกระดูกเหล่านั้นเอาไปฝังตามพิธีให้ถูกต้อง ตราบใดที่ยังไม่ได้ระบุชื่อผู้กระทำผิด ประชาชนในหมู่บ้านทั้งหมดต้องใส่เสื้อผ้าป่านสีอ่อน นอกเสียจากต้องไปทำนาเพาะปลูก ก็ให้มาคุกเข่าแสดงการไว้อาลัยอยู่ที่นี่”
“หมู่บ้านนี้ นอกจากเด็กที่ไม่รู้เรื่องด้วย ทุกคนล้วนมีความผิดกันถ้วนหน้า นับแต่วันนี้ไป พาเด็กวัยสิบสองปีทั้งหมดในหมู่บ้านไปเลี้ยงดูอบรมโดยที่ทำการขุนนางให้หมด” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
กระเป๋าเงินของเขา จะต้องฉีกอีกเล็กน้อยเสียแล้ว
“ต้าเหริน! พาเด็กๆ ไปแล้ว เช่นนั้น…เช่นนั้นพวกเราก็ไร้ทายาทสืบทอดแล้วมิใช่หรือขอรับ!” หัวหน้าหมู่บ้านเงยหน้าขึ้นทันใด
“พวกเจ้าเดิมทีก็ถนัดสังหารเด็กอยู่แล้วนี่ วางแผนเช่นนี้แล้วจะเป็นไรไปหรือ” ฮั่วเจ้ายวนยิ้มเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากได้เด็ก เช่นนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะมีความผิดหรือไม่ ภายในสิบปีหากหมู่บ้านสือโถวให้กำเนิดเด็กทารกใหม่ ให้ที่ทำการขุนนางมารับเอาไปทั้งหมด”
ช่วงเวลาสิบปี เด็กที่พาไปก็สามารถกลับมาพร้อมความเข้มแข็งได้แล้วกระมัง ถึงเวลาค่อยส่งกลับคืนภูมิลำเนาเดิม ความเป็นไปได้ที่จะถูกบิดามารดาทำร้ายก็จะลดน้อยลงไปมากเช่นกัน
ต่อให้ป้องกันมากมายเท่าไรก็ไม่อาจห้ามคนจิตใจชั่วร้ายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้เด็ดต้นกล้าโดยตรงเลยจะดีกว่า
ก็เหมือนที่ดินเพาะปลูกพืชผล ครั้นรากต้นกล้าเสียหายแล้ว รวงที่ออกมาก็เป็นเปลือกว่างเปล่าเช่นกัน!
ตอนที่ 198 กลุ่มคนกระทำผิด
ฮั่วเจ้ายวนมองดูกระดูกเหล่านั้น ถึงขั้นอยากปลิดชีพคนก็ว่าได้
เขาไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบให้ควบคุมจัดการ จะมีคดีความที่สะเทือนขวัญเช่นนี้
แม้กำหนดไว้สิบปี แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ทำเด็กจมน้ำตายจะไร้ความผิด
ฮั่วซื่อเซี่ยงไปตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย
พวกเขาพาคนไปด้วยจำนวนมาก แต่ละคนสีหน้าแววตาดุดันโหดเหี้ยม แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวถูกแยกออกมาบริเวณหนึ่ง เจ้าบีบบังคับข้า ข้าบีบบังคับเจ้า พูดโยนกันไปโยนกันมา ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ตรวจสอบคนที่เคยจับเด็กโยนน้ำในหมู่บ้านออกมาได้ทั้งหมด
แน่นอนละว่า จำนวนยังคงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
แต่นี่ยังต้องคำนวณไปถึงคนส่วนหนึ่งที่ชราภาพและไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วย
ดังนั้น จำนวนคลาดเคลื่อนจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ส่วนชาวบ้านเหล่านี้ เกิดกลัวว่าตนเองพูดจำนวนน้อยกว่าความเป็นจริงก็จะได้รับโทษทัณฑ์หนักยิ่งขึ้น ดังนั้นแทบทั้งหมดล้วนสารภาพทุกสิ่งเท่าที่ตนเองรู้ออกมา แต่ละถ้อยคำ ไม่มีการลวงหลอก
คนที่ไม่เคยจับเด็กโยนน้ำตายก็มีเช่นกัน
แต่จะว่าไม่มีความผิดหรือ?
ฮั่วเจ้ายวนไม่ได้คิดเช่นนั้น
เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน มีหรือจะไม่รู้? เกิดเรื่องระดับนี้ แต่กลับไม่มีคนแจ้งความสักคนเดียว ต่างฝ่ายต่างปกปิด นี่ก็คือความผิดอย่างไรละ!
ถึงขั้นว่ามีคนบางส่วนไม่ใช่ว่าไม่ได้กระทำผิด แต่เป็นเพราะไม่มีลูกเสียที หรือไม่ก็เพราะที่เกิดมาเป็นเด็กผู้ชายทั้งหมด จึงทำใจปลิดชีพทิ้งไม่ได้ จึงไม่ได้ไปกระทำผิดก็เท่านั้นเอง!
หากคลอดออกมาติดๆ กันเป็นหญิงทั้งหมด ผลสุดท้ายเกรงว่าก็คงต่างออกไป
ดังนั้นในสายตาฮั่วเจ้ายวน คนกลุ่มนี้กระทำผิดกันถ้วนหน้า
คนเหล่านี้ ช่างสมควรถูกตัดหัวให้หมดจริงๆ
“ใครก็ตามที่สังหารหรือเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกเดือนมุ่งหน้าไปที่ว่าการอำเภอรับโทษหนึ่งครั้ง โดยแต่ละครั้งให้ลงโทษโดยลงไม้โบยห้าสิบครั้ง ลงโทษเป็นระยะเวลาห้าปี” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวอย่างสั้นง่ายได้ใจความ
เขาตรวจสอบได้ความกระจ่างแจ้งแล้วว่าผู้ใดกระทำการจับเด็กโยนน้ำตายด้วยตนเอง ผู้ใดไม่ยอมรับบุตรสาวหรือหลานสาว แต่ละคนล้วนมีความผิดทั้งนั้น ไม่มีการตัดสินผิดพลาดอย่างแน่นอน
ซ่งอิงเลิกคิ้วหลังได้ยินดังกล่าว
นี่ไม่ต่างจากตัดหัวเท่าไรกระมัง?
“ต้าเหรินโปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ! ต้องถูกโบยทุกเดือนแล้วจะทำไร่ทำนากันได้อย่างไรละขอรับ…” หัวหน้าหมู่บ้านโขกหน้าผากลงกับพื้น
“ทำไร่ทำนา?” ฮั่วเจ้ายวนหัวเราะเล็กน้อย “แม้ว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้ง แต่เอาไว้เลี้ยงสัตว์เดรัจฉานยังดีกว่าเลี้ยงประชาชนจิตใจชั่วช้าอย่างพวกเจ้า ตัวข้าให้เส้นทางรอดชีวิตแก่พวกเจ้าแล้วหนึ่งทาง ยืนหยัดได้เกินห้าปี ตัวข้าก็จะไม่เอาความกับอดีตที่ผ่านไป หากยืนหยัดไม่ได้ ก็ถือเสียว่าเจ้าได้ชดใช้ชีวิตให้แก่คนที่เจ้าสังหาร จะว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ คนตายไปแล้วต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
ซ่งอิงคิดว่า เช่นนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
ช่วงเวลาห้าปี คนที่สามารถทนได้จะต้องมีจำนวนไม่มากเป็นแน่ และต่อให้ผ่านมาได้ก็รับประกันได้ว่าจะกลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง
จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร แต่คนที่น่าสงสารเหล่านี้ไม่คุ้มค่าที่จะให้ความเห็นใจ
เด็กตัวน้อยนิดก็คือหนึ่งชีวิตไม่ใช่หรือ
เดิมทีซ่งอิงนึกว่าใต้เท้าฮั่วท่านนี้ท้ายที่สุดจะลงไม้โบยในคราวเดียวก็สิ้นเรื่อง อย่างไรเสียในยุคสมัยนี้ กรณีบิดาฆ่าลูกที่เคยรับโทษก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้มองดูเหมือนไม่ได้หยิบมีดขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงกลับใช้บทลงโทษประเภทการทารุณสร้างความทรมาน
ส่วนคนอย่างภรรยาหวังซิ่ง แม้ได้รับการอภัยโทษจากกรณีสังหารคน แต่ก็ยังต้องได้รับโทษไปด้วย
ทว่าหญิงผู้นั้นก็ไม่ได้ลงมือจับเด็กโยนลงน้ำ จากนี้สิ่งที่ควรกระทำก็คือเลี้ยงดูครอบครัวไปวันๆ รับผิดชอบไร่นาในครอบครัว อย่างไรเสียแม่สามีและพ่อสามีล้วนเกี่ยวข้องกับคดีความ ไม่แน่ว่าท้ายที่สุดอาจต้องถูกเฆี่ยนตีจนตาย หญิงตัวคนเดียวนั้นค่อนข้างยากลำบากหากต้องทำนา แต่ก็ไม่ยากนักที่จะเลี้ยงชีพตนเอง
นางเข้าใจฮั่วเจ้ายวนเช่นกันว่าสาเหตุใดจึงไม่ถือหางปกป้องสตรีในหมู่บ้านที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน
เพราะพวกนางไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์เสียทีเดียว ตนเองไม่ได้ลงมือกระทำการใด จึงส่งผลให้เกิดเรื่องราวลักษณะนี้ขึ้น ก็สมควรได้รับโทษเช่นกัน อีกทั้ง โทษประเภทนี้…เรียกว่าเป็นรางวัลชนิดหนึ่งก็ว่าได้
คนที่จับเด็กโยนลงน้ำเหล่านั้นหลังถูกโบย จะอย่างไรก็ต้องเชิญหมอมาดูอาการกระมัง?
หากไม่มีเงิน ก็ทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง ถึงเวลาย่อมต้องมีใจแค้นเคืองเป็นแน่
ทว่าหากเป็นไปในลักษณะนี้ เวลานานวันเข้า ผู้คนจะไม่ผิดปกติไปกันหรอกหรือ
ซ่งอิงรู้สึกในใจลึกๆ แล้วหม่นหมองเล็กน้อย
“ต้าเหริน…ข้าคิดว่า…จำเป็นต้องกระจายแรงผลักดันเชิงบวกบ้างหรือไม่…” ซ่งอิงชักสีหน้าจริงจังบอกกล่าวกะทันหัน
“หืม?” ฮั่วเจ้ายวนหรี่ตาเล็กน้อยขณะมองนาง
“ความหมายของข้าคือ…จำเป็นต้องส่งเสริมให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง…ความจริง ความดีและความงามอย่างไรละเจ้าคะ…ไม่สู้หาคนมาเล่าเรื่องสักคนจะดีกว่า โดยเขียนคำพูดบางอย่างที่มีเหตุมีผล แล้วเข้ามาอ่านให้ฟังกันทุกเดือนเพื่อไม่ให้คนบางกลุ่มต้องคิดมาก ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ” พูดโดยง่าย นางคิดว่าคนเหล่านี้ขาดพลังบวกนั่นเอง