ตอนที่ 191 ภูตปีศาจ
ไม่ว่าที่ใดล้วนมีคนที่ชอบพูดซุบซิบนินทากันทั้งนั้น คนที่เอ่ยปากผู้นั้นกระตือรือร้นอย่างยิ่ง คล้ายว่าตัวเองเคยเห็นกับตา พร่ำพูดไม่หยุด
“ประมาณหนึ่งเดือนก่อนเห็นจะได้ ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านเมามายไม่ทันระวังตกลงไปตายในทะเลสาบ หลังเขาเสียชีวิตก็กลายเป็นผีน้ำ พาลให้คนในหมู่บ้านไม่เป็นอันสงบสุข ได้ยินว่าเขาคิดว่าตัวเองตายเพราะถูกคนปองร้าย ส่งเสียงร้องไห้ทุกวัน กลางดึกดื่นเที่ยงคืนมักได้ยินเสียงแปลกประหลาดอยู่เสมอ อย่างเดือนนี้ไร่สวนต่างก็จำเป็นต้องรดน้ำกันแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้านนั้นตอนไปหิ้วน้ำก็เลยถูกผีน้ำดึงลงไป”
“คนในหมู่บ้านเสียชีวิตต่อเนื่องตั้งเก้าคนเชียวละ!”
“หลังเก้าคนนี้เสียชีวิตไป หัวหน้าหมู่บ้านก็เริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก จึงแอบหานักบวชลัทธิเต๋าคนหนึ่งไปทำพิธี หลังนักบวชผู้นั้นทำพิธีเสร็จก็เอ่ยว่าจากนี้จะไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ แล้ว ซึ่งในหมู่บ้านก็สงบสุขอยู่พักหนึ่งจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่า…ที่ว่าการอำเภอทางด้านนี้ส่งคนไปก่อกำแพงรั้วเตี้ยๆ แต่แล้วก็มีคนงานผู้หนึ่งตกน้ำเสียชีวิตไปอีก…”
“หัวหน้าหมู่บ้านเริ่มตื่นตระหนกอีกครั้ง จึงเชิญนักบวชไปอีก แต่ว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น? นักบวชคนนั้นเดินไปอยู่ชายฝั่ง ชี้ซ้ายชี้ขวา เอ่ยว่านี่เป็นเพราะฮวงจุ้ยมีปัญหา ต้องถมทะเลสาบนี้เสีย เพิ่งพูดจบก็ถูกลากลงไปต่อหน้าชาวบ้านด้วยเช่นกัน คนจำนวนมากมายขนาดนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ส่งเสียงร้องให้ช่วยชีวิต แต่ด้วยความที่ตระหนกตกใจจึงไม่กล้าเดินเข้าไป! ก็ได้แต่มองดูสองคนนั้นจมน้ำตายไป!”
“เฮ้อ สิบสองชีวิตเชียวนะ!”
“…”
คนที่ฟังสีหน้าทยอยเปลี่ยนไป ต่างตกใจกลัวไม่เบา
ซ่งอิงรู้สึกแปลกประหลาดเช่นกัน
คนเดียวตกน้ำเป็นอุบัติเหตุ แต่สิบสองคน… เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้กระมัง?
ซ่งอิงรู้สึกว่าตัวเองรีบไปจะดีกว่า จึงสะบัดแส้เล็กในมือทันที
เพียงแต่เกวียนลาเพิ่งเคลื่อนไปได้สองฝีก้าว ซ่งอิงก็หยุดลง
ก้มหน้ามองใจกลางฝ่ามือที่อุ่นร้อน
บนนั้นไม่ได้มีแสงทองกะพริบแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นนางกลับมีความรู้สึกที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะหลังได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ใจกลางฝ่ามือก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับว่า… กำลังเตือนบางอย่างกับนางอยู่
นางนึกถึงตอนที่จับภูตโสมเอาไว้ได้
ตอนนั้นก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นกัน ใจกลางฝ่ามือปรากฏแสงสีทอง หลังจากนั้นนางก็ควบคุมแสงนั้นมัดภูตโสมเอาไว้
ตอนนั้นนางมั่นใจว่าความสามารถนี้น่าจะเอาไว้ต่อกรกับภูต ดังนั้นตอนนี้…
“ต้าไป๋… หรือว่า… เราไปร่วมสนุกกันดี? มองดูห่างๆ หากช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เผ่น?” ซ่งอิงลังเลเล็กน้อย
นางมีช่องว่างระหว่างมิติ ทั้งยังได้รับนิ้วมือทองคำที่มีความพิเศษเช่นนี้ หากทะเลสาบนั่นมีปีศาจจริง แต่นางกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก
ต้าไป๋ขยับใบหู เท้าตวัดวาดวงกลม หันกลับไป
ซ่งอิงพ่นลมหายใจ
จิตใต้สำนึกเริ่มสำรวจสิ่งของในช่องว่างระหว่างมิติของตัวเอง
พื้นที่ในช่องว่างระหว่างมิติไม่ได้กว้างใหญ่ ประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตรเห็นจะได้ ตอนนี้ด้านในนอกจากต้นลวี่โต้วกั่วสองต้น ก็เป็นพวกลวี่โต้วกั่วกวนน้ำตาลตลอดจนของประเภทแตงและมะเขือที่ยังไม่สุก
ช่องว่างระหว่างมิติก็เป็นส่วนหนึ่งที่นางใช้ปกป้องชีวิตของนาง ดังนั้นนางจึงเอามีดหั่นกระดูกหนึ่งด้ามและมีดใหญ่สับฟืนหนึ่งด้ามไว้ในนั้น
“ท่านขุนนาง หรือไม่…ข้ากับต้าไป๋ไปลองมองดูด้วยสักหน่อย?” ซ่งอิงครุ่นคิด แล้วก็กล่าวกับเจ้าหน้าที่มือปราบผู้นั้น
เจ้าหน้าที่มือปราบได้ยินดังกล่าว ก็ตกตะลึงปนประหลาดใจอย่างยิ่ง “แม่นางต้องการไปด้วยกันหรือ ย่อมได้อยู่แล้ว ถึงเวลาจะไม่ให้ท่านเข้าไปใกล้มากจนเกินไป”
ส่วนพระหนึ่งรูปและนักบวชลัทธิเต๋าหนึ่งรูปหมายทิ้งขบวนจริงๆ อย่างที่คาดคิดไว้ หลังขอร้องกันอยู่พักใหญ่ เจ้าหน้าที่มือปราบก็ไม่อยากมัวชักช้าเสียเวลาแล้วเช่นกัน จึงได้ปล่อยพวกเขาไป
แต่ต้องชดใช้เงินมัดจำในการทำพิธีเป็นจำนวนห้าเท่า
เพราะซ่งอิงเป็นฝ่ายเสนอตัวว่าต้องการไปด้วย และเจ้าหน้าที่มือปราบผู้นี้ก็สนอกสนใจในตัวต้าไป๋ คนเหล่านี้จึงปฏิบัติต่อซ่งอิงด้วยท่าทีที่ดีกว่าหน่อยอย่างเห็นได้ชัด
“แม่นางไม่ต้องเกรงกลัวไป ตามจริงการทำพิธีทางความเชื่อเป็นเพียงสิ่งที่ทำเพื่อให้ชาวบ้านสบายใจ ตอนนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นต่างเอะอะว่าต้องการถมบ่อทะเลสาบนั้น แต่ทะเลสาบนั้นเป็นแหล่งน้ำเดียวของหมู่บ้านสือโถว บทจะให้ถมก็ถมได้เลยเสียที่ไหนกัน ดังนั้นนายอำเภอจึงกล่าวว่า หาคนมาทำพิธีก่อน จากนั้นค่อยส่งทหารขุนนาง[1]ตรวจสอบทะเลสาบอย่างละเอียด…
ตอนที่ 192 ความแตกต่าง
เจ้าหน้าที่มือปราบฟังออกว่าซ่งอิงอายุยังน้อย ฉะนั้นจึงกล่าวเสริมขึ้นมาอีก “นายอำเภอของพวกเราพลิกเปิดบันทึกจำนวนมากข้ามวันข้ามคืน จึงพอจะคาดเดาสาเหตุของเรื่องนี้ออกแล้วเช่นกัน…”
“อาจเป็นเพราะริมทะเลสาบแห่งนั้นมีสมุนไพรไม่รู้ชื่อซึ่งส่งผลให้เกิดอาการหลอน ส่งกลิ่นหอมออกมาดึงดูดผู้คนให้สูดดม ทำให้คนที่ไม่ทันระมัดระวังตกลงไปในน้ำ ครั้งนี้พวกเราเชิญหมอผู้เฒ่ามาด้วยสองท่าน จะต้องตรวจหาสาเหตุได้เป็นแน่” เจ้าหน้าที่มือปราบผู้นั้นกล่าว
ซ่งอิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางน่ะคิดว่า…
กระทั่งภูตโสมยังมี ภูตผีปีศาจตนอื่นก็ย่อมมีเช่นกัน ไม่น่าประหลาดเลยสักนิดนี่!?
แต่คำพูดเหล่านี้ แน่นอนว่าซ่งอิงจะพูดไปตามตรงไม่ได้
ตลอดทางนั่งรถม้ามาจึงไม่ถือว่าเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใด ตะวันยังไม่ทันเคลื่อนมาอยู่ใจกลางท้องนภา ขบวนคนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงที่หมายกันแล้ว
หมู่บ้านสือโถวแห่งนี้ย่ำแย่กว่าหมู่บ้านซิ่งฮวามากจริงๆ
เส้นทางของหมู่บ้านซิ่งฮวาใช้หินเทลาดเอาไว้หมดแล้ว ต่อให้ฝนตกก็ไม่มีดินโคลนมากมาย ขณะที่หมู่บ้านสือโถวกลับมีเพียงเส้นทางที่มุ่งไปหมู่บ้านสายเดียวเท่านั้น ซึ่งทางนี้ลุ่มๆ ดอนๆ ต้าไป๋เดินอยู่ข้างหน้ายังเกือบเท้าเคล็ด
หมู่บ้านสือโถวแทบจะรายล้อมสี่ด้านด้วยภูเขา พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือดินแดนในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุข ไม่มีการสู้รบปรบมือ ผู้คนเอื้ออาทรต่อกัน พูดอย่างไม่น่าฟังหน่อย นั่นก็คือ…ถิ่นทุรกันดารอย่างที่ว่าไก่ไม่ขี้นกไม่วางไข่
ปากทางเข้าค่อนข้างสูงชัน สูงขนาดที่มองลงไปสามารถเห็นทั้งหมู่บ้านได้
ในหมู่บ้านมีประมาณร้อยกว่าครัวเรือน ล้วนเป็นบ้านที่ก่อจากดินโคลนหลังคามุงหญ้า ที่ดินไม่น้อยแต่ก็ไม่มาก หลักๆ คือไม่มีนาข้าว เป็นที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ทั้งหมด
สิ่งเดียวที่ได้เปรียบก็คืออยู่ติดภูเขาเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ป่าเขารอบสารทิศรกทึบไปหน่อย มองดูก็รู้ว่าอันตรายมาก โอกาสที่จะหารายได้จึงน้อยกว่าหมู่บ้านซิ่งฮวา
หมู่บ้านสภาพเช่นนี้ ในสมองซ่งอิงมีคำเดียวแวบขึ้นมา นั่นก็คือ จน
ซ่งอิงนับว่าค่อนข้างโชคดีแล้ว จุดเริ่มต้นตอนที่นางข้ามภพมาไม่ค่อยเลิศเลอนัก คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลบรรดาศักดิ์แต่ถูกทอดทิ้ง จากคนที่รูปโฉมงดงามกลับเสียโฉม พ่อแม่บุญธรรมรักและเอ็นดูนางแต่นางต้องแต่งงานออกเรือนเสียแล้ว…
แม้มีหลากหลายเรื่องราวขนาดนี้ แต่ว่า แต่…
หมู่บ้านซิ่งฮวาดินน้ำอุดมสมบูรณ์นี่!
นางตัวคนเดียวยังสามารถซื้อขายที่นาได้ อยากไปในตัวอำเภอก็สะดวกสบาย
หากนางมาอยู่ในหมู่บ้านสือโถว เช่นนั้นก็เรียกได้ว่าซวย!
จะซื้อที่ดิน?
ฮ่าๆ ที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยก้อนหินกองพะเนิน ที่พอปลูกพืชผลได้ก็จำกัด จะขายบ๊ะจ่าง? จากหมู่บ้านสือโถวมุ่งหน้าไปตัวอำเภอ อย่างเร็วสุดเกรงว่าต้องช่วงบ่ายจึงจะไปถึง โชคดีที่บริเวณที่เจอเจ้าหน้าที่มือปราบเมื่อครู่ไม่นับว่าอยู่ห่างจากหมู่บ้านสือโถวมากนัก มิเช่นนั้น…จนฟ้ามืดแล้วนางก็คงยังไม่ได้กลับเป็นแน่
ขณะนี้ ซ่งอิงมองเห็นทะเลสาบดังกล่าวแล้ว
ไม่นับว่ากว้างใหญ่ แต่เพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตคนจำนวนมากในหมู่บ้านแน่นอน
ทุกคนเดินเข้าไปด้วยกัน พบว่าริมทะเลสาบนี้สร้างกำแพงเตี้ยๆ ยาวเยียดหนึ่งแถวไว้แล้ว เพียงแต่ช่วงกลางกำแพงเตี้ยเปิดช่องขนาดสองสามก้าวทิ้งเอาไว้ให้สะดวกสำหรับทุกคนที่จะลงไปตักน้ำ
ถัดจากริมบ่อน้ำทะเลสาบพื้นที่ประมาณสิบกว่าเมตร มีคนเผากระดาษ มีคนร้องห่มร้องไห้
เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านต่างไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป
“ท่านหมอเชิญมากับข้า ไปดูก่อนว่าหญ้าตรงนี้สรุปแล้วมีปัญหาหรือไม่” เจ้าหน้าที่มือปราบส่งเสียงเรียก หลังมองเห็นหัวหน้าหมู่บ้านก็กล่าว “เตรียมเรือเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง อีกเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มือปราบที่คุ้นเคยทางน้ำมางมหาสิ่งที่อยู่เบื้องล่างขึ้นจากน้ำด้วย”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าระรัว
ท่ามกลางดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองอยู่ หมอผู้เฒ่าทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
พวกเขารู้ว่าการทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตคน ดังนั้นยามนี้แม้จะเกรงกลัวเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนหยัด ทำให้ซ่งอิงแอบศรัทธาเลื่อมใส
สมกับที่เป็นหมอด้วยใจจริง
หลังตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่ง หมอผู้เฒ่าทั้งสองต่างส่ายหน้า “นี่ล้วนเป็นหญ้าป่าและวัชพืชน้ำธรรมดาๆ ไม่ได้มีของที่จะส่งผลให้เกิดอาการหลอนได้”
“เพียงแต่…น้ำทะเลสาบนี้กลับค่อนข้างประหลาดทีเดียว” หมอกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่มือปราบรีบกล่าวทันควัน “ประหลาดอย่างไรหรือ”
“น้ำนี้…สีสันดูคล้ายจะออกสีเขียวๆ เล็กน้อยและมีกลิ่นด้วย…” หมอผู้เฒ่าทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง
สีสันของน้ำไม่ได้เห็นชัดเป็นพิเศษ แต่พวกเขาเป็นหมอ จึงมีสัมผัสรับรู้แตกต่างเล็กน้อย เมื่อครู่หยุดยืนบริเวณริมน้ำนั่น รู้สึกว่ามีสิ่งที่ต่างออกไป…
[1] ทหารขุนนาง (官兵) เป็นทหารของทางการรัฐบาลจีนในยุคสมัยโบราณ