ตอนที่ 265 รังเกียจถึงขีดสุด
ฮั่วเจ้ายวนพลันรู้สึกอึ้งเช่นกันหลังได้ยินดังกล่าว คุณหนูซ่งไม่ได้บ้าไปแล้วกระมัง พูดคำว่าอยู่เป็นม่ายชั่วชีวิตสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน?!
ยึดมั่นในความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง?
ไร้สาระสิ้นดี!
หากรู้สึกต่อกันอย่างลึกซึ้งจริง มีหรือเจอหน้ากันแล้วยังจำกันไม่ได้?
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างละเอียด ตอนแรกยามที่นางอยู่เมืองหลวง เขาแค่เคยเห็นคุณหนูซ่งในงานเลี้ยงระดับสูงครั้งเดียวเท่านั้นเอง มิหนำซ้ำตอนนั้นมีศาลาหนึ่งกั้นกลางอีกด้วย ห่างไกลชนิดที่ว่ามองเห็นได้รางๆ เท่านั้น
หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะคุณหนูซ่งชื่อเสียงระบือไกล แต่ละคนล้วนรู้ว่านางต้องแต่งให้อ๋องเฒ่าผู้หลงในราคะที่ใกล้ถูกฝังลงดินเต็มที เขาก็ไม่มีทางเหลียวตามองนางบ่อยครั้งจนพอจะจดจำรูปร่างลักษณะได้
ดังนั้นเขากับคุณหนูซ่งผู้นั้นไม่มีความรู้สึกส่วนตัวต่อกันเป็นแน่!
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดนางจึงเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
ฮั่วเจ้ายวนครุ่นคิด นึกถึงสถานการณ์ที่เจอหน้ากันเมื่อตอนกลาง พลันเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจ
คงไม่ใช่เพราะ…แม่นางท่านนี้คิดจริงจังว่าเขามีใจให้กระมัง ดังนั้นจึงใช้สามีผู้เสียชีวิตไปแล้วมาเป็นข้ออ้างบอกปฏิเสธ? ซึ่งก็หมายความว่า แม่นางซ่งรังเกียจเขาถึงขีดสุด?
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วแน่น รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนชอบคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ทำได้ไม่ดีเพื่อแก้ไขในภายหลังให้จงได้
“ซื่อเซี่ยง ตัวเรามีอันใดไม่เหมาะสมหรือ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
ฮั่วซื่อเซี่ยงตระหนกตกใจ
แม้ว่านายท่านเป็นอ๋องอู่เฉินที่ได้รับการพระราชทานแต่งตั้งโดยฮ่องเต้ แต่ไม่เคยยึดติดตำแหน่งอ๋องต่างแซ่กับราชวงศ์ที่ว่านี้มาก่อน ถึงขั้นว่าแทบจะวางตนเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป การเรียกแทนตัวเองเช่นนี้ หรือว่าจะ…ระเบิดอารมณ์?
“ท่านผู้เป็นวีรบุรุษช่ำชองศึกสู้รบ มีความซื่อสัตย์ภักดี ย่อมไร้ข้อเสียใดๆ ทั้งสิ้นแน่นอนขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวด้วยความมั่นใจทันทีทันใด
“รูปลักษณ์ล่ะเป็นเช่นไร” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“รูปลักษณ์…” ฮั่วซื่อเซี่ยงสับสนชั่วขณะ “สดใส หล่อเหลา…”
“เพ้อเจ้อ” ฮั่วเจ้ายวนสบถฮึ เขารูปลักษณ์เป็นอย่างไรย่อมรู้อยู่แก่ใจ
สดใส หล่อเหลา คำนี้ฟังดูคล้ายการบรรยายลักษณะของบัณฑิตน้อยหน้าขาวอะไรทำนองนั้น
“ต้าเหริน รูปลักษณ์ท่านแม้ไม่ได้รับความชมชอบจากแม่นางในเมืองหลวงเหล่านั้น แต่อยู่ที่เมืองยงพวกเราก็ไม่เป็นสองรองใครนะขอรับ แม่นางในเมืองหลวงเหล่านั้นไม่เคยพบเจอโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ มักคิดว่าใต้หล้านี้บุรุษที่รูปลักษณ์สุภาพอ่อนโยน บอบบางสูงเพรียวจึงจะดูดี แต่บุรุษที่ดูอิ่มน้ำผุดผ่องประเภทนั้นจะพึ่งพาได้อย่างไรกัน ไม่เหมือนต้าเหริน ท่านสุขุมสง่ามีราศีและมากความสามารถ ท่านเป็นเสมือนหงส์บนท้องนภา ส่วนพวกนกน้อยเหล่านั้น…”
“พอได้แล้ว” ฮั่วเจ้ายวนไม่อยากฟังต่อ จากที่เขารู้จักซื่อเซี่ยง ขื่นให้พร่ำเอ่ยต่อไปเกรงว่าจะเป็นคำพูดไร้สาระพวกนั้น
อีกทั้งเขารู้เช่นกันว่าตัวเองมีข้อเสียตรงไหน
คุณหนูซ่งถือเป็นหญิงสาวในเมืองหลวงคนหนึ่งเช่นกัน เกรงว่าจะชมชอบชายที่ผิวขาวดูบอบบางประเภทนั้นเช่นกัน
เขา…
ฮั่วเจ้ายวนลูบเคราของตัวเอง รู้เช่นกันว่าตนเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว บุคลิกก็เย็นชาเกินไป
“ต้าเหริน ท่าน…ต้องการเป็นคนตายที่ฟื้นคืนชีพหรือไม่ขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงทำใจดีสู้เสือกล่าว
“ว่างขนาดนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไปตามหาตัวเด็กเสีย คอยให้การสนับสนุนนายอำเภอแต่ละอำเภอ จับหัวขโมยลักพาตัวเด็กแถบนี้ไปลงทัณฑ์ให้หมดในคราวเดียว” ฮั่วเจ้ายวนอยากใช้ค้อนทุบศีรษะของฮั่วซื่อเซี่ยงสักทีจริงๆ
ทำตัวเป็นคนตายที่ฟื้นคืนชีพ?
เขาเป็นคนหน้าไม่อายระดับนั้นหรือ!
ฮั่วเจ้ายวนมองข้ามความลังเลชั่วขณะในใจ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ฮั่วซื่อเซี่ยงรับคำสั่งอย่างว่าง่ายแล้วเตรียมออกไป ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงฮั่วเจ้ายวน “รอเดี๋ยว”
“ต้าเหริน?” ฮั่วซื่อเซี่ยงหันหน้ามา
“แม่นางซ่งไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว
หญิงคนนี้ช่าง…ดวงชะตาลุ่มๆ ดอนๆ เสียจริง
เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงแต่งงานให้ป้ายวิญญาณ รับเลี้ยงเด็กหนึ่งคน พึ่งพากันและกันด้วยชีวิต แต่เด็กกลับถูกขโมยไปแล้ว หากใช้คำพูดของนักบวชสมณศักดิ์สูงวัดนั้น หญิงผู้นี้ก็คือผู้มีชะตาถูกบิดามารดาดูแคลน โดดเดี่ยวและยากลำบาก
แต่คนเรามีชีวิตเดียว จะยอมรับชะตากรรมทั้งเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่รู้เช่นกัน บางทีนางอาจยืนหยัดเผชิญหน้าได้ ไม่ปล่อยให้ชะตาชีวิตเป็นไปตามฟ้าลิขิต
“แม่นางซ่ง…สบายดีขอรับ?” ฮั่วซื่อเซี่ยงตะลึงชั่วขณะ “ดูไม่เศร้าโศกเสียใจใหญ่โต พูดจาชัดเจนมีหลักการ ไม่เหมือนได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเลยขอรับ…”
ตอนที่ 266 ลงโทษ
เมื่อฮั่วซื่อเซี่ยงพูดเช่นนี้ ฮั่วเจ้ายวนก็นึกถึงซ่งอิงที่ตะโกนขายผลไม้ป่าวันนั้น
อุปนิสัยเช่นนั้น ตามจริงลักษณะที่ควรเป็นคือร้องห่มร้องไห้ นี่จึงดูไม่สมเป็นนางเอาเสียเลย
“เอาละ ไปเถอะ” ฮั่วเจ้ายวนกล่าว “ที่แม่นางซ่งไม่เศร้าเสียใจต้องเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าทางการขุนนางต้องจับผู้ร้ายได้แน่นอน ประชาชนมีความเชื่อมั่นเช่นนี้เพราะราชสำนักเรามีโชควาสนา สั่งการให้อำเภอหลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้มากหน่อย”
ฮั่วซื่อเซี่ยงพยักหน้าอีกครั้ง คิดว่าวันตายของหัวขโมยลักพาตัวเด็กเหล่านั้นใกล้เข้ามาแล้ว
ราชวงศ์ต้าติ้งมีกฎระเบียบลงโทษขโมยลักพาตัวเด็กเช่นกันว่า หากเด็กที่ลักพาตัวไปขายเป็นบุตรของข้าทาส บทลงโทษที่ได้รับจะเบาหน่อย อย่างไรเสียข้าทาสก็เปรียบเสมือนทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แต่หากที่ขโมยไปเป็นบุตรจากครอบครัวที่สุจริตไร้มลทิน จะได้รับโทษความผิดสถานหนัก
กฎหมายข้อบังคับของราชวงศ์ต้าติ้ง หากลักพาตัวเด็กจากครอบครัวที่สุจริตไร้มลทินไปขายเป็นข้าทาสจะถูกลงโทษด้วยการแขวนคอ หากเอาไปขายเป็นผู้ใต้บัญชาฝ่ายอารักขาส่วนตัวของตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่โต จะถูกเนรเทศไปไกลถึงสามพันลี้ หากขายไปเป็นภรรยา อนุภรรยาหรือลูกหลาน ต้องจำคุกสิบปี
หากถูกจับได้คาหนังคาเขาระหว่างกระทำความผิด แน่นอนว่าต้องทำการทรมาน ซักถามทั้งครอบครัวพวกเขาให้เข้าใจชัดแจ้ง หลังถามได้ใจความแล้วก็ลงโทษตามบทลงโทษของเบื้องบนที่กำหนดไว้ แต่หากไม่ใช่ผู้กระทำผิดซ้ำซาก ไร้ครอบครัวไร้ญาติพี่น้องและไม่ทันได้ขายตัวเด็กได้สำเร็จ ก็จะรับโทษเบาหน่อย แต่ก็ต้องถูกพาเดินไปตามถนนประจานสู่สายตาผู้คนมากมายและจับขังเป็นเวลาสามถึงห้าปี
นอกจากนี้ นอกเหนือจากตัวบทกฎหมายที่กำหนดไว้ ยังมีความรู้สึกอารมณ์ของผู้คนแต่ละสถานที่ซึ่งแตกต่างกันไป
ตอนนี้ใต้เท้าตระกูลเขาเป็นผู้ควบคุมจัดการเมืองยง หากใต้เท้าคิดจะเฆี่ยนตีคน เช่นนั้นก็ย่อมได้ ต่อให้ลงไม้โบยจนตายก็ไม่เป็นไร
ใครใช้ให้คนเหล่านี้กระทำผิดโดยการลักพาตัวเด็กซึ่งเป็นโทษหนักกันเล่า
…
ซ่งอิงอยู่บ้านรอคอยจนถึงครึ่งคืน ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือศีรษะ ลานบ้านก็มีเสียงกรอบแกรบ และมีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาจากดิน แทรกตัวอยู่ในลานบ้านของนาง จากนั้นไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมีบางอย่างกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา!
ซ่งอิงกลับไม่ตื่นเต้นตกใจแม้แต่น้อย เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ เมื่อมองพินิจอย่างละเอียด ภูตโสมโผล่ออกมาจากดิน หลังพ้นประตูเข้ามาก็รีบแปลงรูปโฉม ปีศาจกบเขียวก็เช่นเดียวกัน ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลี่ยนร่างกลายเป็นบัณฑิตหนุ่มน้อยในชุดเขียว
“ท่านแม่!”
“ท่านอาจารย์ผู้มากความสามารถ!”
ทั้งสองคนเห็นซ่งอิงก็พร้อมใจกันส่งเสียงตะโกน
ซ่งอิงรู้สึกแปลกชอบกลเมื่อได้ยินคำเรียกอย่างท่านอาจารย์ผู้มากความสามารถ แต่บัณฑิตปลอมผู้นี้ค่อนข้างหัวรั้น เกรงว่าจะแก้ได้ยาก
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่” ซ่งอิงก้าวเข้าไปหารีบเอ่ยปากถาม
“ไม่ขอรับ!” ภูตโสมส่ายหน้าทันควัน จากนั้นกล่าว “นึกว่าพวกเขาจะเก่งกาจสักแค่ไหนเชียว! หากไม่ใช่ท่านแม่บอกว่าจะเผยรูปลักษณ์เดิมต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้ พวกเขาคงไม่มีทางจับตัวข้าได้ด้วยซ้ำ เดิมทีข้าก็วิ่งเร็วเสียยิ่งกว่าอะไรดี!”
“โชคดีแล้วที่ไม่ได้เปลี่ยนกลับร่างเดิม ไม่อย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็กลับมาไม่ได้แล้ว ต่อให้กลับมาได้ก็จะถูกคนของทางการขุนนางจับตัวแล้วส่งให้ฮ่องเต้เฒ่า” ซ่งอิงครุ่นคิดแล้วกล่าว
นี่เป็นถึงภูต!
ภูตทั่วไปก็ไม่เท่าไร แต่เป็นโสมเชียวนะ! ไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะคิดว่าไอ้ตัวนี้จะช่วยให้อายุยืนยาวได้!
“พวกเขาพาเจ้าไปไหน” ซ่งอิงถาม
“ชายที่ตัวอ้วนๆ กลมๆ นั่นนามว่าหูจ่าน ส่วนผู้หญิงไม่รู้นามอันใด ผู้ชายเรียกนางว่าชุยเหนียงจื่อ พวกเขาไม่ได้พาข้าเข้าเมือง หลังพาตัวข้าไปก็แบ่งเศษเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้คุ้มกันประจำบ้านเหล่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ข้าถูกหูจ่านพาไปยังตำบลเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ที่แห่งนั้นบังเอิญมี…มีหญิงแก่ประหลาดคนหนึ่ง…”
“เป็นคนกลางค้ามนุษย์ที่ทำการซื้อขายคนในตำบล” กบเขียวรับช่วงอธิบายต่อ “หูจ่านกับชุยเหนียงจื่อสวมรอยเป็นพ่อแม่ นำน้องโสมขายให้แม่ค้าคนกลางผู้นั้น ด้วยความที่น้องโสมรูปลักษณ์ดีสุดๆ ดังนั้นนางจึงให้ราคาสูงถึงสามสิบตำลึงเงิน สองคนนั้นปลื้มใจอย่างยิ่งเลยละขอรับ…”
“ต่อมาได้ยินแม่ค้าคนกลางเอ่ยว่า น้องโสมรูปงามเช่นนี้ อยากขายให้ตระกูลใหญ่โตผู้ร่ำรวยไปเป็นหลวนถง[1]” ปีศาจกบเขียวกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าเกรงว่าตอนเช้าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงฉวยจังหวะฟ้ามืดให้น้องโสมหนี ทว่าท่านอาจารย์วางใจได้ ก่อนหนีมาข้าจงใจเปิดหน้าต่างทิ้งไว้แล้ว จะไม่มีคนสงสัยว่าน้องโสมมุดดินหนีมาแน่นอน” ปีศาจกบกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ท่านแม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ คนพวกนั้นเลวทรามเกินไปแล้ว จะลงโทษพวกเขาอย่างไรดี!”
————————–
[1] หลวนถง (娈童) การที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย