ตอนที่ 263 คนตายที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ฮั่วซื่อเซี่ยงกลับเห็นเงินนั่นเป็นดั่งภัยพิบัติขนานใหญ่ กล้ารับเอาไว้เสียที่ไหนกันเล่า
แม้ว่าท่านผู้นี้ฐานะไม่ค่อยดี อีกทั้งเป็นเพียงหญิงม่ายของตัวตนที่นายท่านตั้งใจให้อยู่ในสถานะผู้เสียชีวิต ในความเป็นจริงไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดกับนายท่านเลยสักนิด แต่…
แม้แต่ในยามที่นายท่านไม่รู้ว่านางคือภรรยาม่ายของฮั่วหรง ก็ยังปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษเลย!
ฮั่วซื่อเซี่ยงไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์นี้ คิดว่าตนเองใกล้บ้าเต็มทน จึงรีบโยนกระเป๋าเงินดังกล่าวกลับคืนไปแล้วหันขวับขึ้นควบม้าจากไป
ระหว่างทางนั้นสับสนสุดขีด
ตอนแรกยามที่บอกนายท่านว่าฮั่วหรงมีภรรยาแล้ว นายท่านสงบนิ่งมาก อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเพียงตัวตนหนึ่งที่ไม่ได้ใช้แล้ว…
แต่ตอนนี้ล่ะ?
เดิมทีนายท่านก็สนใจสามีภรรยาคู่นี้อยู่แล้ว ขืนรู้อีกว่าสามีผู้นั้นก็คือตัวเอง แล้วจะไม่ยิ่งกระทำตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครไปใหญ่หรือ ถึงเวลา…แม้แต่เรื่องประเภทแย่งชิงตัวหญิงสามัญชนก็ไม่ต้องทำแล้ว แค่สลับเปลี่ยนตัว กลายเป็นคนตายที่ฟื้นมาก็สิ้นเรื่อง…
ถุย นายท่านตระกูลเขาไม่ใช่คนประเภทนั้นสักหน่อย
ต่อให้ภรรยาผู้นี้เป็นของตนเอง แต่ก็ไม่ใช่ของตนเองเสียทีเดียว…
จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร บุตรชายของนายท่านหายตัวไปทั้งคน นั่นยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่
อย่างน้อยก็ต้องบอกกล่าวสักหน่อยกระมัง?
ซ่งอิงมองดูกระเป๋าใส่เงินใบย่อมบนพื้น ตะลึงงัน ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจแล้วกล่าว “ขุนนางท่านนี้คล้ายว่าเอาใจใส่เรื่องเหลนหลินเป็นพิเศษ ช่างเป็นคนดีจริงๆ เลย!”
“ก็แค่เงินค่าน้ำชาเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มากมายเกินไป ยังจะไม่ต้องการอีกหรือ เป็นคนดีจริงๆ” ซ่งอิงคิดว่าตัวเองมองคนผิดไปแล้ว
เมื่อก่อนนางคิดว่าใต้เท้าฮั่วไม่เลวเลย แต่ดูลูกกระจ๊อกคนนี้…ถุย ผู้ใต้บัญชาคนนี้กลับค่อนข้างมีอุปนิสัยอย่างชายหนุ่มใหญ่ไม่น้อย เวลามองแววตาของสตรีมักแฝงไว้ด้วยความระแวงและดูถูกเล็กน้อย โดยเฉพาะกับชาวบ้านธรรมดาอย่างนาง มักให้ความรู้สึกว่าตัวเขาสูงส่งเลิศเลอ…
แต่บัดนี้ดูสิ…
แม้แต่เงินยังไม่กล้ารับเอาไว้ เมื่อครู่มองแววตาของนางก็เหมือนเห็นเสืออย่างไรอย่างนั้น ช่างชวนให้คนปลาบปลื้มใจจริงๆ
“เอ้อร์ยาโถว ขุนนางผู้นี้ดูน่าเชื่อถือไม่น้อยทีเดียว เจ้าทำใจให้สบายเถิด ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะตามตัวเหลนหลินกลับมาได้แล้ว” ชายชรากล่าว
“เจ้าค่ะ ท่านปู่ก็พักผ่อนแต่หัววันหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวทันที
ซ่งเหล่าเกินจะพักผ่อนลงได้ที่ไหนกันเล่า ในใจเขาตอนนี้เหมือนถูกค้อนทุบอย่างแรงหลายต่อหลายครั้ง ใจกระตุกจนเจ็บปวด ต้องรอคอยจนกระทั่งพาตัวเหลนกลับมา ใจดวงนี้จึงจะผ่อนคลายลงได้!
“เอ้อร์ยา หรือไม่คืนนี้แม่ไปนอนเป็นเพื่อนเจ้า” หร่วนซื่อเป็นห่วงบุตรสาว
ในยามนี้บุตรสาวดูสงบนิ่งมาก แต่นางมักคิดว่าเด็กคนนี้ตั้งใจแสดงออกเช่นนี้ เพราะอยากทำให้คนอื่นวางใจ
ไม่ใช่เพียงหร่วนซื่อที่คิดเช่นนี้ แม้แต่ซ่งเหล่าเกินก็คิดว่าหลานสาวกำลังแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง
ถึงขั้นว่าแอบปิดบังความรู้สึกเอาไว้ในใจ หลานสาวผู้นี้นิสัยแข็งกร้าวยิ่งกว่าผู้ชายเล็กน้อย เจอปัญหาไม่ตื่นตระหนกลนลานแล้วยังวางแผนการได้สมบูรณ์แบบ ทั้งดูแลปลอบขวัญผู้อาวุโส ถือเป็นความสามารถที่เหมาะแก่การเป็นหัวหน้าครอบครัว
สมกับเป็นเด็กที่เคยอยู่ในจวนโหวมาสองปี แตกต่างจากแม่นางหญิงสาวในหมู่บ้าน
คิดไม่ออกจริงๆ ว่า จวนโหวนั่น…ทอดทิ้งเด็กที่ว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
ซ่งเหล่าเกินมีชีวิตมายาวนานขนาดนี้แล้ว เคยพบเจอผู้คนหลากหลายรูปแบบ ยามหนุ่มๆ ยังเคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาโดยมีสองศีรษะในร่างเดียว เด็กคนนั้นเกิดมาก็เสียชีวิตทันที แน่นอนว่ากรณีที่มีหกนิ้วมือก็มีเช่นกัน ถึงขั้นเคยเห็นคนที่ขาดแขนไปหนึ่งข้างแต่กำเนิด ดังนั้นในมุมมองเขา หกนิ้วเท้า…ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวเลย
ยิ่งไปกว่านั้นซ่งอิงเป็นเด็กผู้หญิง นิ้วเท้าซ่อนอยู่ในรองเท้า หากคนในครอบครัวไม่พูด คนภายนอกจะรู้ได้ที่ไหนกัน
กฎระเบียบของครอบครัวใหญ่โตนี่ก็มากมายเสียเหลือเกิน นิ้วมือจะน้อยเกินไปหรือมากเกินไปก็ไม่ได้ทั้งนั้น ช่างประหลาดจริงๆ
แน่นอนว่าซ่งอิงไม่ต้องการให้คนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนแต่อย่างใด
นางต้องกลับบ้าน ไม่แน่ว่าตอนกลางคืนภูตโสมจะโผล่ออกมาจากดินก็เป็นได้
ตอนที่ 264 ลูกชายหายตัวไป
เห็นหร่วนซื่อกังวลใจมาก ซ่งอิงจึงผ่อนปรนท่าทีเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่
หร่วนซื่อปฏิบัติต่อนางดีจริงๆ แต่ก็ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนเกินไปเช่นนี้ ทำให้สื่อสารกับนางอย่างตรงไปตรงมาเกินไปไม่ได้
ผิดกับเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ เลยได้ แน่นอนว่าบุตรไม่รังเกียจข้อเสียของผู้เป็นมารดา ซ่งอิงยังคงปฏิบัติอย่างเคารพกตัญญูเช่นเดิม แม้นางไม่อาจปฏิบัติต่อหร่วนซื่อเสมือนเจ้าของร่างที่ใช้ใจอันบริสุทธิ์ของความเป็นลูกได้เสียทีเดียว แต่ในฐานะบุตรสาวก็ทำเรื่องที่พึงกระทำไม่ต่างกัน
วันนี้ให้ซ่งต๋าและซ่งอู่พักอยู่บ้านซ่งทั้งสองคน ซ่งอิงจะได้รอคอยอย่างสงบเงียบ
ในขณะเดียวกันนี้ ฮั่วซื่อเซี่ยงควบม้าทะยานไปถึงหยาเหมินด้วยความเร่งรีบตลอดทาง นำรายละเอียดบอกกล่าวกับนายอำเภอ ให้พวกเขาระดมพลจับคน นายอำเภอย่อมรู้ตำแหน่งท่านผู้นี้อยู่แล้ว มีหรือจะกล้าชักช้าลีลา แม้ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งภูเขาลูกโตกดทับเหนือศีรษะ แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด…
มีขุนเขาลูกโตนี้อยู่ คะแนนความดีชอบของเขาก็จะมั่นคง ตอนจะทำการประเมินในภายภาคหน้า ไม่แน่อาจได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น
ฮั่วซื่อเซี่ยงจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นก็เร่งรีบกลับไปจวนฮั่ว จากนั้นพุ่งตรงไปยังห้องหนังสือของฮั่วเจ้ายวน
ฮั่วซื่อเซี่ยงหน้าตาตื่นขนาดนี้ ฮั่วเจ้ายวนกลับไม่รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ชวนประหลาดใจ
เด็กหนุ่มผู้นี้นิสัยกระโตกกระตากไปหน่อย แต่ทำงานได้รอบคอบเรียบร้อย ความสามารถก็ดีเยี่ยม อีกอย่าง เขาเป็นทายาทรุ่นหลังของผู้ใต้บัญชาประจำตระกูลฮั่ว ย่อมมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
“ต้าเหริน ไม่ได้การแล้วขอรับ…ลูกชายท่านหายตัวไปแล้วขอรับ…” ฮั่วซื่อเซี่ยงเข้าไปก็คุกเข่าลงแล้วกล่าวขึ้นทันที
“…” ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้ว “คิดดีแล้วค่อยพูด”
ที่พูดนี่ใช่วาจาคนเขาพูดกันหรือ
“หมายถึงลูกชายของฮั่วหรง ลูกชายของเขาหายตัวไปขอรับ…” ฮั่วซื่อเซี่ยงรู้สึกลำบากใจถึงขีดสุดเกินบรรยาย คิดในใจว่าบุตรชายของฮั่วหรงก็คือบุตรชายของท่านมิใช่หรือ!
“ครอบครัวนั้นแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางแล้วหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนนิ่งสงบมาก
ตัวตนฮั่วหรงผู้นี้เสียชีวิตไปแล้ว เขาจะยอมรับบุตรที่โผล่มาหลังจากเสียชีวิตแล้วได้อย่างไรกันเล่า
แล้วนับประสาอะไรกับเขาไม่อาจจัดการไปเสียทุกเรื่อง มิเช่นนั้นนายอำเภอประจำพื้นที่นี้จะไม่เท่ากับไร้ตัวตนหรอกหรือ เช่นนั้นนายอำเภอเหล่านั้นก็ย้ายเก้าอี้ไปนั่งรับแดด คอยกินเงินเดือนโดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นแล้วน่ะสิ
“แต่ว่า…ภรรยาของฮั่วหรงคือ…แม่นางซ่งที่เห็นกันก่อนหน้านี้นะขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงเสียงเบา กล่าวขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่าสงสาร
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่นายท่านปฏิบัติต่อแม่นางซ่งอย่างพิเศษแล้ว เขาก็จะไม่บอกกล่าวเรื่องนี้หรอก!
อย่างไรเสีย นายท่านก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่า เมื่อฮั่วหรงตายไปก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับนายท่านอีก ให้จัดการในฐานะสามัญชนธรรมดา ส่วนแม่ม่ายพร้อมบุตรชายก็ไม่ต้องสนใจไยดีอะไรเลย…
ฮั่วเจ้ายวนชะงักสิ่งที่ทำอยู่ในมือทันที “ซ่งอิง?”
“เป็นนางขอรับ ครั้งก่อนหัวหน้าหมู่บ้านพูดไม่ชัดเจน อีกทั้งตอนนั้นพวกเราก็ไม่รู้จักแม่นางผู้นี้ ดังนั้น…จึงไม่ได้จับมาโยงเป็นเรื่องเดียวกัน” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าว
ฮั่วเจ้ายวนคิดอย่างสุขุมใจเย็น
แม่ม่ายพร้อมบุตรชายคู่นี้จะเป็นคุณหนูซ่งหรือไม่ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจนำนางมาเป็นภรรยาที่แท้จริงของเขาได้
เพียงแต่ นึกถึงซ่งอิงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่โตแต่กลับต้องไปขายผลไม้ริมทาง ท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเหย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยจนเกินไป จึงเกิดความรู้สึกใจอ่อนเล็กน้อย อีกทั้งอุปนิสัยคุณหนูซ่งผู้นี้ดุจดวงตะวันทอแสง
มองดูสุขุม แต่เมื่อยิ้มขึ้นมาให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างยิ่ง
นึกถึงตรงนี้ ฮั่วเจ้ายวนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างปากแข็ง “ตามหาตัวเด็กกลับมาก็เป็นพอ ที่ว่าการอำเภอย่อมมีคนทำงานได้อยู่แล้ว”
“ต้าเหริน แม่นางซ่ง…ฝากคำพูดมาบอกกล่าวท่านด้วยขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “นางเอ่ยว่า…นางกับฮั่วหรงยึดมั่นในความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง นางจะอยู่เป็นม่ายเฝ้าฮั่วหรงชั่วชีวิต ภายหน้ายังต้องการจะยื่นขอตั้งซุ้มประกาศเกียรติคุณในฐานะแม่ม่ายผู้มีความมั่นคงต่อสามีที่ล่วงลับไปตั้งไว้หน้าทางเข้าออกหมู่บ้านให้คนดูอีกด้วยละขอรับ…”
สรุปแล้วท่าน จะจีบแม่นางที่นิสัยแข็งกร้าวขนาดนี้ได้เมื่อใดกัน
เพิ่งอายุสิบแปดปีก็ต้องการจะอยู่เป็นม่ายชั่วชีวิตแล้ว?!
ยุคสมัยต้าติ้งสนับสนุนการที่สตรีแต่งงานใหม่เป็นอย่างยิ่งนี่?
ซ่งอิงไม่ใช่หญิงผู้เปี่ยมความเคารพขนบธรรมเนียมดั้งเดิมระดับนั้นแน่นอน ตอนนั้นที่นางพูดออกมา ก็แค่เพื่อให้ใต้เท้าฮั่วผู้นี้ไสหัวไปเท่านั้นเอง ดังนั้น..
เป็นที่แน่ชัดว่า ถูกเข้าใจผิดเสียแล้ว…