ตอนที่ 287 สงสัยจะอายุยืนไปแล้ว
ซ่งอิงคิดว่าบิดานางทำงานรับเหมาตลอดทั้งวันเป็นอะไรที่ลำบากตรากตรำเกินไป
แต่สามีภรรยาคู่นี้ดื้อรั้นเหลือเกิน ให้เงินก็เสียดายเกินกว่าจะเอาไปใช้จ่าย งานอย่างการห่อบ๊ะจ่างเมื่อก่อนหน้า แล้วคราวนี้ยังเก็บผลซิ่งตามเขาอีก พวกเขาทั้งสองทำเงินได้ไม่น้อย
พ่อเฒ่าบรรลุเป้าหมายการสั่งสอนของเขาแล้วจริงๆ
เป็นบุตรชายคนโตต้องแข็งแกร่ง บุตรคนรองและคนที่สามต้องซื่อสัตย์ว่าง่าย ส่วนบุตรคนที่สี่คนเล็กสุดจึงต้องให้ความช่วยเหลือมากหน่อย
บิดานางและอาสามเติบโตมาตรงความคาดหวังของพ่อเฒ่าอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองรู้จักแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีความนึกคิดจะใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเลยสักนิด
หร่วนซื่อลังเลใจชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่ากังวลใจว่าซ่งสวินจะสู่ขอภรรยาไม่ได้อยู่เช่นกัน
ครอบครัวบุตรคนรองได้รับแบ่งที่อยู่อาศัยเพียงสองห้อง หากต้องการแต่งภรรยาเข้ามาจริง เกรงว่าจะไม่กล้าแม้แต่มีบุตรด้วยซ้ำ!
“แต่ข้า…ไม่เชี่ยวชาญทำสิ่งนี้จริงๆ ให้ข้าอยู่บ้านเย็บผ้ายังพอได้…” หร่วนซื่อหวาดหวั่นใจ
ซ่งอิงถอนหายใจ “ไม่มีใครเชียวชาญทำสิ่งใดมาแต่เกิดหรอกเจ้าค่ะ ต้องเรียนรู้กันทั้งนั้น ตำรับอาหารที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่านก็ง่ายดายเช่นกัน ท่านไม่ได้จะทำภัตตาคารใหญ่โตเสียหน่อย ตอนเช้าตรู่ก็ขายพวกซาลาเปาและโจ๊ก ถึงตอนกลางวันก็อาหารพวกผัดผักธรรมดาๆ ขายคู่กับข้าวสวยและหมั่นโถวก็ใช้ได้แล้ว ไม่ได้ยากไปกว่าที่ท่านทำอาหารอยู่ที่บ้านหรอกเจ้าค่ะ”
“หากยังคิดว่าตัวเองทำไม่ได้…” ซ่งอิงนวดคลึงหว่างคิ้ว “เช่นนั้นก็ชวนป้าสะใภ้ใหญ่หรือไม่ก็อาสะใภ้สามไปทำด้วยกันสิเจ้าคะ”
“ชวนพวกนางน่ะหรือ” หร่วนซื่อหดคอทันที รู้สึกว่าตัวเองเป็นประเภทใช้ชีวิตไปวันๆ มากเกินไป สงสัยจะมีชีวิตยืนยาวไปเสียแล้ว
แต่พูดตามตรง ไม่ชวนพวกนางแล้วจะชวนใครได้อีกล่ะ
ในหมู่บ้านมีคนดีอยู่มากทีเดียว แต่ติดที่คนละแซ่ซื่อ ไม่สู้คนครอบครัวตัวเอง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันมาก มีอะไรก็พูดออกมาได้ตรงๆ
“ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้า…อุปนิสัยหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ข้าเองก็เอาใจไม่ไหวเช่นกัน อาสะใภ้สามเจ้า…จะว่าไปนางรู้จักหาเลี้ยงชีพในแต่ละวันอยู่เหมือนกัน…” หร่วนซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าว
หากให้เจียวซื่อไปทำกิจการด้วย จะให้เงินตอบแทนตกหล่นไปสักเหรียญทองแดงเดียวไม่ได้เชียว!
ตระหนี่ถี่เหนียวจนน่ากลัว ผ้าหนึ่งผืนและเข็มเล่มหนึ่งในบ้าน นางล้วนจดจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง!
“ท่านจ้างอาสะใภ้สามช่วยซื้อของให้ได้ เก็บเงินได้ แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่ง หากท่านทำเอง ตอนแบ่งรายรับจะเบาใจไปได้มาก แต่หากทำร่วมกับอาสะใภ้สาม นิสัยนางเห็นเงินดุจชีวิต หากไม่ใช่ลูกน้องแต่เป็นหุ้นส่วน นางจะเป็นเหมือนแส้ที่เฆี่ยนให้ท่านทำงานเป็นแน่ และคงถูกใช้ให้ทำงานทั้งวันจนมืดค่ำ…” ซ่งอิงจำแนกแยกแยะข้อดีข้อเสียให้นางฟัง
คนอย่างเจียวซื่อเวลาอื่นยังพอคุยด้วยได้ง่าย ยกเว้นก็แต่ตอนพูดเรื่องเงิน จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือไวเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ
เพราะมีชีวิตยากจนจึงมีความละโมบโลภมาก สามารถเอะอะโวยวายได้โดยไม่สนเหตุสนผล
มารดานางจะจ้างคนมาเองก็ได้เช่นกัน แต่ในฐานะเถ้าแก่เหนียง ยามที่ร้านเกิดความขัดแย้งใด นางต้องเป็นผู้ออกหน้า แต่มารดานางอุปนิสัยไม่สู้คนขนาดนี้…
ไม่เหมาะจะเจรจาเพื่อแก้ปัญหากับผู้อื่นจริงๆ
ทั้งเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และเจียวซื่อ ล้วนทำได้ดีกว่ามารดานางมาก
ส่วนเหยาซื่อสะใภ้เล็ก…
อาสะใภ้สี่เป็นคนรักสวยรักงาม แต่อาสี่ก็มีความเป็นสุภาพบุรุษสูงมาก ย่อมไม่ให้ภรรยาตัวเองออกไปทำงานหาเงินแน่ เพราะนั่นไม่ต่างจากการตบหน้าเขาจังๆ
ส่วนน้องคังบุตรชายของครอบครัวอาสี่ก็ยังเล็กเกินไป เพิ่งสามขวบเท่านั้น ไม่สะดวกอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นข้าจะแบ่งส่วนแบ่งกับอาสะใภ้สามเจ้าอย่างไรหรือ” หร่วนซื่อเอ่ยปากถาม
“พวกท่านทั้งสองหากขายของกินด้วยกัน จะไม่ให้อาสะใภ้สามเข้าห้องครัวเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตำรับที่ข้าให้ อาสะใภ้สามก็ต้องรู้ด้วยเช่นกัน แต่ร้านค้านี้อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นผู้เปิดกิจการ ท่านก็พูดกับอาสะใภ้สามให้ชัดเจนถึงข้อดีและข้อเสีย โดยบอกนางไปว่า ต่อให้ไม่เลือกนาง ไปเลือกคนอื่นแทนก็เปิดร้านได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่แบ่งผลกำไรที่ค่อนข้างต่ำหน่อยให้อาสะใภ้สาม ก็จะกำหนดเบี้ยรายเดือนที่ชัดเจนให้นาง แล้วให้นางเลือกด้วยตัวเอง แน่นอนละว่าต้องลงนามทำสัญญาด้วย ในเมื่อร่วมงานกันแล้ว ภายหลังจะแยกตัวไปทำเองไม่ได้ นอกเสียจากพวกเราจะยินยอม” ซ่งอิงกล่าวอีกครั้ง
ปัญหาที่ใหญ่สุดของเจียวซื่อคือ เพื่อเงินแล้วนางอาจสะบัดมารดานางทิ้งหน้าตาเฉยหลังรู้ตำรับที่ใช้เปิดร้าน
ตอนที่ 288 อาหาร
หร่วนซื่อได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไป
นางไม่ถือว่าไร้เดียงสาเสียทีเดียวเช่นกัน ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจียวซื่อเป็นคนเช่นไร
“ว่าอย่างนี้แล้ว…ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้ายังจะน่าเชื่อถือมากกว่าสินะ” หร่วนซื่อถอนหายใจ
“แต่ท่านกล้าให้ป้าสะใภ้ใหญ่ทำงานหรือไม่เจ้าคะ ท่านทำกิจการร่วมกับป้าสะใภ้ใหญ่ ถึงตอนนั้นท่านก็กลายเป็นข้ารับใช้ที่อยู่ใต้กำมือป้าสะใภ้ใหญ่กันพอดี” ซ่งอิงหัวเราะเล็กน้อย
“ก็นั่นสิ นางก็ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไม่รู้จักพูดจาดีๆ ไม่ทันไรก็ต้องส่งเสียงเอะอะขึ้นมา แบบนั้นไม่เอาหรอก” หร่วนซื่อส่ายหน้า
พี่สะใภ้คนโตดุจมารดา แม้เรียกขานพี่สะใภ้ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องให้ความยำเกรงเขาอยู่ดี
ไม่เหมือนครอบครัวน้องสาม ถึงอย่างไรก็ต้องให้ความเคารพนางสักหน่อย
“อาสะใภ้สามเจ้าอาจเป็นจอมวางแผน แต่อาสามเจ้าถือว่าไม่เลวทีเดียว ต่อให้นางคิดจะแยกตัวไปทำเอง เขาก็ไม่มีทางเห็นดีด้วยเป็นแน่ อีกทั้ง…ในครอบครัวนางมีลูกชายสามคนและลูกสาวหนึ่งคน แต่ละคนล้วนต้องใช้เงิน แล้วจะมีเงินทุนจากไหนไปเปิดร้านด้วยตัวเองกันเล่า ตอนนี้ร้านนี้ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่างเลย กิจการจะเป็นเช่นไรก็ยังพูดยาก ข้าว่า…กำหนดเบี้ยรายเดือนให้อาสะใภ้สามเจ้าเป็นอันสิ้นเรื่อง ภายภาคหน้าหากกิจการดำเนินไปได้ดี อาสะใภ้สามเจ้าทำงานได้ดี ค่อยคิดเรื่องแบ่งเงินส่วนกำไรให้นาง ตอนนี้จะพูดทั้งส่วนดีและไม่ดีออกไปในคราวเดียวไม่ได้” หร่วนซื่อขบคิดอีกครั้งก่อนกล่าว
ทำเอาซ่งอิงประหลาดใจ
มารดานางก็ไม่ใช่คนโง่เขลานี่นา!
แรกเริ่มให้เป็นเงินค่าแรง ต่อไปตกรางวัลด้วยการแบ่งผลกำไรให้ด้วยก็ยังได้ ก็เหมือนภพชาติก่อนที่เจ้าของกิจการบางเจ้าจะแบ่งหุ้นให้นิดๆ หน่อยๆ เมื่อมีสิ่งดีๆ หลอกล่ออยู่ตรงหน้า ผู้ที่มองเห็นผลประโยชน์ย่อมกระตือรือร้นมากขึ้นเป็นธรรมดา!
หากหยาดน้ำตามารดานางมีราคาหน่อย คงไม่ปล่อยให้ไหลรินโดยง่ายดายขนาดนั้น นางคิดว่าทำด้วยตัวเองจึงจะเป็นการดีที่สุด
ซ่งอิงยิ้มตาหยีเห็นดีเห็นงามด้วย จากนั้นเริ่มนำตำหรับอาหารหลายชนิดที่คิดไว้มาพูดคุยกับหร่วนซื่อ
“ที่ท่าเรือมีคนงานเยอะ ดังนั้นก็ยึดอาหารที่จะทำให้อยู่ท้องเป็นหลัก ตอนเช้าเน้นขายซาลาเปาและแป้งทอดคู่กับอาหารเครื่องเคียงเล็กน้อย หากเป็นโจ๊กก็ไม่ต้องทำให้วุ่นวายเกินไป ยึดรสเค็มและหวานเป็นหลัก หวานก็พวกโจ๊กธัญพืช ใส่น้ำตาลลงไปนิดหน่อยเป็นอันใช้ได้ ส่วนรสเค็ม…ตอนเย็นซื้อพวกกระดูกหมูหรือไก่มาตุ๋นไว้ พอเช้าตรู่ก็เติมข้าวสาลีและเส้นที่ทำจากแป้งสาลี ไม่ต้องใส่มากนัก ผนวกกับเติมเครื่องปรุงลงไปอีกหน่อย…”
“น้ำแกงเนื้อสัตว์หรือ ไม่ใช่ว่าเป็นเงินไม่น้อยเลยหรือ” หร่วนซื่อขมวดคิ้วนิ่วหน้า
นางเคยไปท่าเรือ ที่นั่นมีร้านอาหารเช้าเช่นกัน น้ำแกงที่ขายเป็นน้ำแกงแบบเพียวๆ ได้ใส่ทั้งเนื้อสัตว์ทั้งเส้นที่ทำจากแป้งสาลีที่ไหนกัน
“ท่านแม่ กระดูกหมูราคาถูกกว่าเนื้อหมูหน่อย แต่ก็ต้องตุ๋นเป็นเวลานานจึงจะใช้ได้ มีกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์สักเล็กน้อยจึงจะดึงดูดคนได้ คนที่ทำงานเป็นหนุ่มใหญ่กันทั้งนั้น ใครบ้างได้กลิ่นเนื้อสัตว์แล้วไม่อยากกิน? ส่วนข้าวสาลีและเส้นที่ทำจากแป้งสาลี ที่ต้องการก็ไม่ได้มากมาย ท่านจะใส่พวกผิวเต้าหู้และเห็ดที่คนในหมู่บ้านเราเป็นคนเก็บลงไปด้วยหน่อยก็ได้…”
“ต่อให้ใส่ไก่ทั้งตัวจริง แต่ก็ทำกำไรได้แน่เจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวเสริมอีกประโยค
ไก่หนึ่งตัวประมาณแปดถึงสิบห้าอีแปะขึ้นอยู่กับขนาดตัว ข้าวสาลีไม่ต้องใช้มาก ครั้งละหนึ่งลิตรก็พอแล้ว จะเป็นเงินประมาณสามสิบอีแปะ เส้นที่ทำจากแป้งสาลียิ่งใช้น้อยไปใหญ่ หลักๆ ใส่เพื่อให้มีความข้นขึ้น ใช้สักสิบอีแปะก็ถือว่ายอดเยี่ยม
นอกนั้นคือผิวเต้าหู้ เกลือ เห็ด รวมไปถึงเครื่องปรุง
ผิวเต้าหู้ราคาไม่เท่าไร ใช้ห้าอีแปะก็เพียงพอแล้ว เห็ดเป็นวัตถุดิบเสริม ไม่ควรใส่มาก แค่นิดหน่อยก็ใช้ได้ รวมกับเครื่องปรุงเป็นเงินประมาณสามสิบอีแปะ
ต้นทุนหม้อหนึ่งประมาณเจ็ดสิบอีแปะ ไม่มากเกินกว่านี้แน่
หากทำกิจการค้าขายย่อมต้องใช้หม้อขนาดใหญ่ หนึ่งหม้ออย่างน้อยก็ตักได้ประมาณสองร้อยชาม อย่างไรเสียชามที่คนเราใช้ๆ กันอยู่ก็ไม่ได้ลึกมาก ต่อให้ขายชามละหนึ่งอีแปะก็ได้กำไรเห็นๆ นับประสาอะไรกับต่อให้ขายสองอีแปะก็น่าจะมีคนซื้อเช่นกัน
แน่นอนว่ายังไม่ได้หักลบค่าหน้าร้านและค่าแรงคนงาน
แต่สิ่งเหล่านี้สามารถเฉลี่ยกับอาหารมื้ออื่นในร้านได้
ซ่งอิงเล่าสิ่งที่ตนเองคำนวณไว้ให้มารดาฟังให้เข้าใจ ทั้งยังกล่าว “ท่านจดเอาไว้หน่อย พรุ่งนี้ต้องไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบเหล่านั้น จากนั้นก็ลองทำด้วยตัวเองสักสามสี่วัน เมื่อรสชาติใช้ได้แล้ว ไว้ข้ากลับมาจะไปดูร้านค้าห้องแถวกับท่านสักหน่อย หนึ่งร้อยตำลึงเงินจากการขายบ๊ะจ่างก่อนหน้านี้ที่แบ่งให้พี่ชายก็เอามาใช้เช่าร้าน หากท่านสงสารข้าจริง ก็หาเงินให้ได้มากๆ หน่อย ภายหลังจะได้เอามาจุนเจือข้า เช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”