ตอนที่ 301 ศึกษาพิจารณาพระธรรม
ซ่งอิงเห็นท่าทีขุนนางผู้นี้ดูเสียดายเงินจนเจ็บปวดรวดร้าวใจ อดอยากหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ขอบคุณท่านขุนนาง เช่นนั้นเราไปกันเถอะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างไม่ลังเล ขอเพียงให้เงินกันแล้ว ก็แค่ไปฟังนักบวชสวดมนต์เท่านั้นเอง? ไม่มีอะไรยากเย็น!
อีกทั้งนางไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่จะทุกข์ทรมานเพราะบทสวดเสียหน่อย
ซ่งอิงชะงักไปชั่วครู่
เอ่อ…เหมือนว่านางเป็นวิญญาณที่มาสิงร่างผู้อื่น? คงไม่ถูกนักบวชมองออกกระมัง? แม้แต่ปีศาจยังมีเลย จะมีนักบวชสมณศักดิ์สูงที่มีวิชาอาคมอยู่บ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันนี่?
ซ่งอิงสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจ มองไปยังขั้นบันไดที่สูงลิ่วอย่างขลาดกลัวแวบหนึ่ง
“ฮั่วฮูหยินวางใจได้ ท่านเดินขึ้นไปไม่กี่สิบขั้นจะมีเกี้ยวนวมคอยอยู่ หากเหนื่อยเกินไป จะจ่ายเงินจ้างคนแบกเกี้ยวสักสองคนก็ได้ พวกเขาจะแบกท่านไปส่งตลอดทาง รับประกันได้ว่าไม่ทำให้ท่านเจ็บเท้าแน่” ฮั่วซื่อเซี่ยงรีบกล่าว
แต่เขาไม่มีเงินแล้ว ดังนั้น จ้างคนแบกเกี้ยวเอาเองแล้วกัน!
ตามจริงนั่งรถม้าจากบริเวณนี้ไปตามทางอ้อมก็จะถึงด้านหลังเขา เส้นทางหลังเขานั้นค่อนข้างราบเรียบ รถม้าไปถึงในวัดได้โดยตรง เพียงแต่ไกลเกินไป สู้ขึ้นบันไดจะรวดเร็วกว่า
“ไม่เป็นไร ขั้นบันไดแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอันใด” ซ่งอิงกล่าวอย่างสบายๆ “ท่านขุนนาง ขอถามหน่อยสิว่าในวัดนี้มีนักบวชสมณศักดิ์สูงกี่รูปหรือ”
อีกเดี๋ยวนางต้องอยู่ให้ห่างหน่อย จะได้ไม่ถูกจับเอาไปเผาไฟขึ้นมาจริงๆ
“เดิมทีมีเพียงรูปเดียว แต่ใต้เท้าคิดว่านักบวชเพียงรูปเดียวไม่พอ จึงเชิญจากหลายที่มาร่วมด้วย ตอนนี้…น่าจะมีเก้ารูปกระมัง อีกเดี๋ยวแม่นางก็ได้เห็นแล้ว” ฮั่วซื่อเซี่ยงกล่าว
ซ่งอิงหนังตากระตุก
หนีตอนนี้ยังทันไหม
แต่หากนางหนีก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าร้อนตัว…
“ไอ้หยา ข้ารู้สึกมึนหัวเล็กน้อย” ซ่งอิงจับหน้าผากกระทันหัน
ฮั่วซื่อเซี่ยงขมวดคิ้ว รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย “เช่นนั้นเชิญฮูหยินรีบๆ เข้าวัดเถอะ ใต้เท้ารู้ว่าวันนี้คนในวัดมากมาย เกรงว่าจะเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย จึงเตรียมหมอไว้กว่าสิบคน อีกเดี๋ยวหลังนักบวชสวดมนต์เสร็จ หมอที่เชิญมายังต้องตรวจรักษาการกุศลที่บริเวณตีนเขาอีกสามวันด้วยละ!”
“…” ซ่งอิงหนังตากระตุก “ข้าฉุกคิดขึ้นมาได้กระทันหันว่าตัวเองมีธุระนิดหน่อย…”
“ข้าน้อยจะเรียกคนมาให้เดี๋ยวนี้ ฮูหยินฮั่วแค่สั่งการก็พอ!” ฮั่วซื่อเซี่ยงสีหน้าราวกับว่าพร้อมตายในหน้าที่
ซ่งอิงหัวเราะเจื่อน “ก็ไม่ค่อยสำคัญนักหรอก ไปกันเถอะ”
นางมองออกแล้วว่าวันนี้ขุนนางท่านนี้ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่
หากนางต้องการหนีจริงๆ ไม่แน่ว่าจะถูกจับมัดแล้วแบกขึ้นไปก็เป็นได้ ขืนเป็นเช่นนั้นจะอับอายขายหน้าเกินไป ไม่สู้เป็นฝ่ายไปเองจะดีกว่า
ฮั่วซื่อเซี่ยงมองนางอย่างสงสัยแวบหนึ่ง แต่เห็นฝีเท้านางราวกับจะบินก็วางใจขึ้นมา
รูปร่างซ่งอิงมองดูถือว่าบอบบาง แต่แท้จริงแล้วเรือนร่างอรชรสมสัดส่วน พละกำลังดุจวัวตัวใหญ่ ฝีเท้ารวดเร็วปานสายลมพัดผ่าน การเดินขึ้นบันไดสำหรับนางไม่ถือว่าลำบาก ก็เลยไม่ใช้เกี้ยวนวม ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางก็ขึ้นมาถึงในวัดแล้ว
เมื่อเข้าสู่บริเวณวัด กลิ่นธูปจันทร์หอมยิ่งฉุนขึ้น
เมื่อทอดสายตามองไป ประชาชนที่นี่ล้วนมีใบหน้าเลื่อมใสศรัทธา
ยุคราชวงศ์ต้าติ้งลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธตั้งตัวเป็นอิสระ แต่ล้วนได้รับความนับถือและเลื่อมใสจากปวงประชาทั้งคู่ หรือกล่าวได้ว่า ประชาชนเห็นคนเขาพูดหรือทำอะไรก็ทำไปตามนั้น วันนี้ที่วัดแห่งนี้จัดพิธีทางศาสนา หากลัทธิเต๋าที่อยู่บริเวณใกล้ๆ นี้จัดพิธีกรรมขึ้นมาบ้าง ก็คงครึกครื้นไม่ต่างกัน
ฮั่วเจ้ายวนกำลังอยู่เป็นเพื่อนนักบวชสมณศักดิ์สูงหลายรูป ศึกษาพิจารณาพระธรรม
ในความเป็นจริง ก็แค่จ้องมองตาปริบๆ ขณะฟังนักบวชทั้งหลายพูดคุยไร้สาระกัน
เสียงพึมพำพระคัมภีร์บทสวดจอแจ ฟังแล้วสมองจะระเบิด แต่เขาอยู่ในอาการสงบนิ่งเรื่อยมา ต่อให้ได้ฟังจนง่วงงุนก็แสร้งแสดงท่าทีสนอกสนใจออกมา
“ต้าเหริน ฮูหยินมาถึงแล้วขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงมาได้เสียที
ฮั่วเจ้ายวนจึงได้ลุกขึ้นอย่างเกรงใจแล้วรีบสาวเท้าออกไปต้อนรับ
มาได้จังหวะพอดี เขาฟังมากพอแล้ว ฟังมาตลอดช่วงเช้า มีภูตผีปีศาจหรือสัตว์ถูกโปรดให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งความทุกข์เสียที่ไหนเล่า มีแต่กลิ่นควันธูปอบอวลไปทั่วทั้งตัวและศีรษะ
ตอนที่ 302 ไอปีศาจพุ่งสู่ฟากฟ้า
ซ่งอิงเผชิญหน้ากับใต้เท้าฮั่วที่เดินเข้ามาต้อนรับ
รู้สึกเพียงใต้เท้าผู้นี้ดูจะดีใจอย่างยิ่ง สาวเท้ายาวๆ เดินหน้าตั้งมาโดยไม่กลัวว่าขาจะฉีกเอา นางถึงกับถอนหายใจอยู่ลึกๆ…
ใต้เท้าตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ แสดงว่าความพิศวาสในใจเขายังไม่มอดดับไปสินะ!
“ใต้เท้าฮั่ว” ซ่งอิงปั้นสีหน้าเย็นชา ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำให้เขาอับอายกลับไป
ฮั่วเจ้ายวนนิ่งอึ้งเล็กน้อย จากนั้นค่อยนึกได้ว่าคุณหนูซ่งไม่ชอบหน้าตาเขา เขาจึงไม่แปลกใจกับท่าทีของนางแล้วกล่าวเพียงว่า “แม่นางซ่งมาแล้วหรือ รีบเข้าไปเถอะ เหล่านักบวชสมณศักดิ์สูงรออยู่พักใหญ่แล้ว”
เขาเองก็ต้องการดูเสียหน่อยว่าบรรดานักบวชจะพูดอย่างไร
พลังเจิ้งชี่[1]ติดตัว ปีศาจร้ายไม่กล้าเข้าใกล้?
คงเป็นเช่นนั้นกระมัง!
ฮั่วเจ้ายวนส่งสายตาให้ฮั่วซื่อเซี่ยง ไม่นานนัก ลานกว้างด้านนอกก็มีแม่นางห้าหกคนเดินเข้ามา พวกนางสวมอาภรณ์เรียบง่าย รูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีบางคนที่ดูอัปลักษณ์ แต่ก็มีที่งดงามสุดๆ ด้วยเช่นกัน
“แม่นางซ่งอย่าได้ถือโทษโกรธกัน” ฮั่วเจ้ายวนพูดขึ้นมาสั้นๆ โดยไม่ได้อธิบายต่อ
ซ่งอิงไม่ถามไถ่เช่นกัน หลังครุ่นคิดแล้วจึงก้าวเข้าไป
ท่ามกลางผู้เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อให้มองอะไรออกขึ้นมาก็น่าจะไม่ถึงขั้นจุดไฟเผาคนกระมัง?
นับรวมซ่งอิงแล้ว มีหญิงสาวทั้งสิ้นเจ็ดคนเดินเข้าสู่โถงวิหารไปพร้อมกัน บรรดานักบวชสมณศักดิ์สูงล้วนสงบนิ่งอย่างยิ่ง กำลังเคาะไม้มู่อวี้[2]และสวดบทพระคัมภีร์ ราวกับว่ามองไม่เห็นพวกนางอย่างไรอย่างนั้น
“อาจารย์ทุกท่าน มองดูหน้าตาของแม่นางเหล่านี้สักหน่อยได้หรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวอย่างเกรงใจ แต่ท่าทีนั้นกลับทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเอ่ยคำปฏิเสธ
ซ่งอิงถอดหมวกออกแต่เนิ่นๆ แล้ว แม้บนใบหน้ามีรอยแผลเป็น แต่ก็มีแม่นางอีกคนสองคนที่รูปลักษณ์ไม่ค่อยดีนักอยู่ด้วย ใบหน้านางจึงไม่ดูประหลาดแต่อย่างใด
นักบวชเหล่านั้นได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามอง
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ทุกท่านค่อยๆ เอ่ยปากพูด ข้าจะให้กระดาษพร้อมพู่กันแก่พวกท่าน หากมีคนที่มีเจิ้งชี่ติดตัว ไม่ต้องเกรงกลัวภูตผีปีศาจร้าย พวกท่านโปรดเขียนลงมา แล้วข้าจะดูว่าที่พวกท่านเขียนมาตรงกันหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงหันไปมองอย่างประหลาดใจ
ใต้เท้าฮั่วผู้นี้ไม่ใจแคบไปหน่อยหรือ
เคลือบแคลงใจเหล่านักบวชนี่นะ? จึงได้ใช้บททดสอบนี้?!
ทว่า…น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน เกิดนักบวชสมณศักดิ์สูงพร้อมใจกันอับอายขายหน้าก็ยิ่งน่าสนใจไปใหญ่!
ซ่งอิงไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ดึงดูดสายตา ส่วนนักบวชเหล่านั้นก็ให้ความร่วมมืออย่างยิ่งโดยไม่พูดจาให้มากความ รับกระดาษเอาไว้อย่างมั่นใจ
เจิ้งชี่ติดตัว?
ซ่งอิงคิดว่านางน่าจะมีเยาชี่[3]เต็มตัว ขนาดที่ว่าพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าได้
ในโถงวิหารเงียบสงัดมาก ธูปจันทร์หอมที่กลิ่นอ่อนละมุนยังคงฉุนจมูกเล็กน้อย
ฮั่วเจ้ายวนให้โอกาสนักบวชสมณศักดิ์สูงมองสำรวจพวกนาง หลังเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ จึงได้กล่าว “อาจารย์ทุกท่านตัดสินใจได้แล้วหรือไม่”
บรรดานักบวชพยักหน้าแล้วต่างคนต่างเขียน
จากนั้นไม่ทันไรฮั่วซื่อเซี่ยงก็เก็บกระดาษและพู่กันกลับมา กระดาษเหล่านั้นวางอยู่ในมือฮั่วเจ้ายวน หลังพลิกดูเป็นที่เรียบร้อยเขาก็ขมวดคิ้วแน่น ดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง
“ความหมายของท่านอาจารย์คือ…แม่นางท่านอื่นที่อยู่ตรงหน้าล้วนปกติดี ไม่มีอะไรแปลกประหลาด มีเพียงนางที่แตกต่างจากคนอื่น?” ฮั่วเจ้ายวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
บรรดานักบวชพยักหน้าเล็กน้อย “แม่นางท่านนี้ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมดีงามใหญ่หลวง มองดูแล้วหน้าตาก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่มีพลังที่ยิ่งใหญ่สามารถกำราบปีศาจร้ายได้ดีกว่าการที่ปีศาจไม่กล้าเข้าใกล้เสียอีก นอกจากนี้บนข้อมือนางก็มีวัตถุชั้นดีอยู่ เขาวัวป้องกันพลังเชิงลบ หากแม่นางสวมใส่เอาไว้นานๆ จะดีต่อร่างกายอย่างมาก”
ผีและวิญญาณไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ แต่เป็นอินชี่[4]ที่ทำให้คนอึดอัดและไม่สบาย นำมาซึ่งการเกิดแก่เจ็บตายบนโลก แต่ละวันผู้คนบนโลกเสียชีวิตไม่รู้มากน้อยเท่าใด เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพลังงานชั่วร้ายบางอย่าง คนธรรมดาสัมผัสมากๆ เข้าจะเจ็บป่วยและโชคร้ายทำอะไรก็ไม่ราบรื่น
แต่เมื่อใส่กำไลเขาวัวนี้ไว้ ย่อมไม่เกิดเรื่องเช่นนั้น
ซ่งอิงตะลึงงัน
เพราะยามที่นักบวชผู้นั้นเอ่ยก็จ้องมองมาที่นาง
เห็นได้ชัดเจนมากว่าที่พรรณนาอย่างให้เกียรตินั้นพูดถึงนาง เพียงแต่…นางไม่เคยได้ยินใครกล่าวยกย่องเช่นนี้มาก่อน…
หากกล่าวว่าวัดนี้ให้เกียรตินางยังค่อยสบายใจหน่อย แต่การที่คำยกยอนี้มุ่งมาที่ตัวนาง ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้ทรงพลังไปชั่วพริบตา…
———————–
[1] พลังเจิ้งชี่ (正气) พลังงานบวกประเภทหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาอันยิ่งใหญ่และคุณธรรมจริยธรรมของบุคคลนั้นๆ
[2] มู่อวี้ (木鱼) เป็นหนึ่งในเครื่องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาชิ้นสำคัญของพระสงฆ์จีน มีขนาดเล็กใหญ่ไม่ตายตัว โดยขนาดใหญ่จะมีประจำไว้ที่โถงวิหาร ใช้เคาะประกอบกิจของสงฆ์
[3] เยาชี่ (妖气) หมายถึง ไอปีศาจ
[4] อินชี่ (阴气) ทางการแพทย์จีนสรรพสิ่งที่เป็นอินชี่คือทุกอย่างในร่างกาย ทั้งสสารหรือสภาวะการทำงานที่มีลักษณะสงบนิ่ง ปรากฏอยู่ภายใน มีทิศทางลงล่าง หนาวหรือเย็น มีรูปร่างหรือมองเห็นได้ รวมไปถึงมืดทึม ทางความเชื่ออินชี่คือพลังงานชั่วร้าย