ตอนที่ 309 กำราบวิญญาณชั่วร้าย
ฮั่วเจ้ายวนจ้องมองท้องท้องฟ้าที่อึมครึ้มขึ้นมา ไม่รู้ว่าตนเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่านอกจากสายลมและฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ตรงหน้า ยังมีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลและขมุกขมัวอยู่ด้วย สิ่งนั้นเหมือนอากาศที่เกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน มันเคลื่อนที่ขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผง!
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยเบิกตาขึ้น พบว่าสถานการณ์ยังไม่ต่างจากเมื่อครู่
ผี?
แต่มองไม่เห็นรูปร่าง…
หน้าตาเขาเคร่งเครียดจริงจัง ดูมีรังสีที่สื่อว่าคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้
“แม่นางซ่ง เจ้าเห็นอะไรบ้างหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนถาม
“ดิน ลม ไว้พิธีสิ้นสุดแล้วข้าต้องล้างหน้าโดยด่วน” ซ่งอิงกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่เช่นนั้นยังจะมีอะไรอีกเล่า ผีหรือ?
ฮั่วเจ้ายวนเม้มปาก “ขอยืมกำไลเขาวัวของแม่นางซ่งหน่อยจะได้หรือไม่”
“ได้สิเจ้าคะ” ซ่งอิงไม่ได้เห็นเขาเป็นคนอื่นคนไกลเช่นกัน ยื่นกำไลส่งให้
ฮั่วเจ้ายวนถือกำไลเขาวัวแล้วมองไปบริเวณรอบๆ อีกครั้ง เห็นความแตกต่างเล็กน้อย เช่นก้อนขมุกขมัวเมื่อครู่นั่นล่องลอยไปทั่วสี่ทิศอย่างอิสระ แต่รอบกายของซ่งอิงและเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้น
แต่เมื่อซ่งอิงถอดกำไลเขาวัวออก บรรยากาศเหล่านั้นก็เข้ามาใกล้ซ่งอิงขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงไม่เข้าใกล้เขา
เขาวัวป้องกันวิญญาณร้ายได้จริง?
ฮั่วเจ้ายวนขบคิดอย่างหนัก นำกำไลข้อมือยื่นให้ฮั่วซื่อเซี่ยง “เจ้าสวมสิ่งนี้แล้ววิ่งไปใกล้ๆ นี้หนึ่งรอบ”
“…” ฮั่วซื่อเซี่ยงค่อนข้างงุนงง
แต่เขาเป็นผู้ใต้บัญชาที่เชื่อฟัง จึงรีบไปทำตามคำสั่ง
ปรากฏว่าไม่ต่างจากที่คาดคิดไว้ ฮั่วซื่อเซี่ยงที่สวมใส่กำไลดังกล่าววิ่งไปทั่ว ทำให้อากาศที่ขมุกขมัวเหล่านั้นแหวกตัวหนีอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงนำกำไลส่งคืนซ่งอิง
ซ่งอิงคิดว่าใต้เท้าท่านนี้อาจเพราะมองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรเห็นเข้าแล้ว
บนโลกนี้มีผีแน่ ไม่อย่างนั้นนางเป็นตัวอะไรเล่า
ความรู้สึกของฮั่วเจ้ายวนในขณะนี้เรียกได้ว่าสับสนอย่างยิ่ง
ระยะนี้มีเรื่องให้เขาประหลาดใจค่อนข้างมากจริงๆ ตัวอย่างเช่นซ่งอิงเป็น…ภรรยาของอีกตัวตนของเขา และตัวอย่างเช่น…เห็นผี
“สรุปแล้วแม่นางซ่งคิดว่า…บนโลกนี้มีปีศาจหรือไม่” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยเสียงเบา
“ไม่มี ไม่มีแน่ ปีศาจเก่งกาจขนาดนั้น หากมีละก็ เป็นไปได้ที่ไหนเจ้าคะที่จะไม่เห็นเลยสักตน” ซ่งอิงดูจะตอบอย่างจริงใจ
ในตานางราวกับมีคำว่า ‘เจ้าต้องเชื่อข้า’ ตัวเบ้อเริ่ม
“หรือบางทีเป็นเพราะปีศาจค่อนข้างน้อยล่ะ หรือไม่ใต้หล้านี้ก็มีผู้มากวิชาความสามารถจำนวนมาก ดังนั้นปีศาจจึงเกิดความหวาดกลัว?” ฮั่วเจ้าย่วนครุ่นคิดอย่างละเอียด “มีประโยคหนึ่งกล่าวว่า จงเชื่อมั่นไว้ แม้ตอนนี้อาจยังไม่เป็นจริง เหตุใดแม่นางซ่งจึงได้มั่นใจเช่นนี้หรือ”
“ต้าเหรินเองก็ไม่เชื่อเช่นกันนี่?” ซ่งอิงหัวเราะเล็กน้อย “เอาเป็นว่าข้าไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งที่ไม่เคยเห็นล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง”
ก็เป็นเช่นนี้ละ
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เช่นนั้นที่เขามองเห็นตอนนี้คืออะไร ภาพหลอนหรือ
แต่ฮั่วเจ้ายวนมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าสิ่งที่เรียกว่าผีนั้นมองดูไม่ต่างอะไรกับฝุ่นควัน มันล่องลอยไปทั่วพร้อมกับสายลม ไม่หยุดอยู่กับที่แล้วยังสลายตัวไปอีกด้วย
ฮั่วเจ้ายวนหัวเราะเบาๆ “แม่นางซ่งพูดถูก”
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาข้อพิสูจน์ แต่ดูเหมือนไร้ความหมาย หากโลกนี้มีภูตผีปีศาจจริงแล้วเขาจะทำอะไรได้? หรือจะไปเป็นมือปราบผี?
เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ทำเรื่องที่มนุษย์ดีๆ ทำกันก็พอแล้ว หากในอนาคตเจอเรื่องพิลึกพิลั่นที่ยากจะจัดการจริง ถึงตอนนั้นไว้ค่อยว่ากันอีกที อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ยังมี…
คนที่สามารถกำราบวิญญาณชั่วร้ายได้อย่าง…ซ่งอิงผู้นี้ ไม่ใช่หรือ
เสียงหัวเราะของฮั่วเจ้ายวนคราวนี้ ทำให้ซ่งอิงงงเป็นไก่ตาแตก
นางเห็นใต้เท้าผู้นี้มาสี่ห้าครั้ง อีกฝ่ายมักมีสีหน้าเย็นชาเสมอ ดูดุดันเกินบรรยาย เมื่อคนเย็นชาผู้นี้หัวเราะขึ้นมา หน้าตาดูดีไม่น้อย แต่ก็ยังคงน่ากลัวพิลึกๆ อยู่ให้ห่างหน่อยจะดีกว่า
ซ่งอิงหดหัวลง แสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมว่าง่าย
เมื่อพิธีโปรดสรรพสัตว์จบลง ฮั่วเจ้ายวนก็มองไม่เห็นสิ่งผิดแผกใดๆ แล้ว ท้องฟ้าสว่างสดใส ความขมุกขมัวทั้งหมดหายไปและกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ตอนที่ 310 สิ่งที่มองไม่เห็น
ฮั่วซื่อเซี่ยงเข้าใจใต้เท้าตระกูลตนและรู้เช่นกันว่านักบวชกล่าวไว้ว่ากำไลเขาวัวสามารถป้องกันวิญญาณชั่วร้ายได้ ด้วยเหตุนี้หลังพิธีสิ้นสุดลงจึงทำตาปริบๆ ใส่ฮั่วเจ้ายวนแล้วกล่าว “ต้าเหริน เมื่อครู่ท่านพบอะไรที่น่าสงสัย หรือว่า…มองเห็นบางอย่างที่ไม่ธรรมดาแล้วหรือขอรับ”
ฮั่วเจ้ายวนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ก็แค่บางสิ่งที่มองไม่เห็น”
“บางสิ่งที่…มองไม่เห็น!? เช่นนั้นก็คือ…ผี!?”
ฮั่วซื่อเซี่ยงตระหนกตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “อยู่ไหน!? เยอะหรือไม่ขอรับ!”
“ไม่เยอะ ก็แค่ไม่กี่ตน มีตนหนึ่งเกาะอยู่บนบ่าเจ้า นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว” นัยน์ตาฮั่วเจ้ายวนแฝงรอยยิ้มไว้เล็กน้อย
กำไลเขาวัวถูกส่งคืนซ่งอิงไปแล้ว ตอนนี้ฮั่วซื่อเซี่ยงรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเสียแล้ว
ฮั่วซื่อเซี่ยงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก หันมาเอ่ยกับซ่งอิง “ฮั่วฮูหยิน กำไลข้อมือนั่นขายหรือไม่!?”
“…” ซ่งอิงยิ้มเจื่อนมองสองคนนี้แวบหนึ่ง จากนั้นมองค้อนฮั่วเจ้ายวนที่เดินปลีกตัวไปตามลำพังอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเอ่ย รู้สึกเหลือเชื่อไม่น้อย “นายท่านตระกูลเจ้าเป็นเช่นนี้มาโดยตลอดเลยหรือ” ภายนอกดูสงบเคร่งขรึม ทว่าในใจกลับเปี่ยมไปด้วยความบ้าบอ?!
โกหกผู้คนได้อย่างหน้าตาเฉย แล้วยังมีคนโง่หลงเชื่อเสียด้วย!
“ใช่แล้ว ใต้เท้าต่างกับสามัญชนคนธรรมดาอย่างข้า แต่ไหนแต่ไรมาก็สีหน้านิ่งสงบและไม่แยแสต่อสิ่งใด คนรอบข้างต่างพูดว่าใต้เท้าตระกูลข้าต้องเป็นเซียนสวรรค์ต้าหลัว[1]กลับชาติมาเกิดเป็นแน่ จึงได้มีนิสัยใจคอแน่วแน่เด็ดขาดเช่นนี้…” ฮั่วซื่อเซี่ยงเป็นสุนัขรับใช้ที่เชื่องมากคนหนึ่ง เขาจึงฟังความหมายในคำพูดของซ่งอิงไม่ออกเลยสักนิด
ซ่งอิงมองฮั่วซื่อเซี่ยงอย่างเห็นใจ
การจะเป็นคนโง่เช่นนี้ได้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน
“กำไลที่ว่านั่นขายได้ แต่นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลข้า อย่างน้อยก็ต้องห้าร้อยตำลึงเงิน” ซ่งอิงจงใจทำหน้าลำบากใจแล้วกล่าว
“ห้าร้อยตำลึงเงิน!?” ฮั่วซื่อเซี่ยงตะลึง เลียริมฝีปาก ร้อนรนใจเล็กน้อย “พะ..พอจะลดราคาให้หน่อยได้หรือไม่”
ซ่งอิงเกือบหลุดหัวเราะออกมา
นี่เห็นนางเป็นหมอผีขายเครื่องรางป้องกันวิญญาณร้ายไปแล้วหรือ!
เพียงแต่เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งอิงพลันยกยิ้มมุมปาก “ได้สิ เอาห้าสิบตำลึงเงินพอ เพียงแต่ของสิ่งนี้จะให้คนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ หากเจ้าอยากซื้อ เดี๋ยวข้าเอาไปวางไว้ในวัดก่อนหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยให้เจ้า ได้หรือไม่”
“ห้าสิบตำลึงเงิน…” ก็ไม่ใช่ถูกๆ เช่นกัน
เขายิ่งอยากรู้ว่า มีที่ราคาห้าอีแปะ หรือห้าสิบอีแปะหรือไม่…
แต่ขนาดใต้เท้ายังเห็นความสำคัญของสิ่งนี้เลย เช่นนั้นต้องคุ้มค่าแน่ ดังนั้น…
“เช่นนั้นก็รบกวนฮั่วฮูหยินด้วย ข้าหาคนไปทำธุระก่อน ไม่..ไม่รีบร้อน…” ฮั่วซื่อเซี่ยงยิ้มฝืด
ซ่งอิงกระตุกยิ้มมุมปาก
ฮั่วซื่อเซี่ยงยังต้องจัดคนลงเขาไปซื้อข้าวของอีก เขามีสีหน้าลังเลก่อนเดินจากไป เมื่อเขาไปแล้วซ่งอิงจึงเดินเล่นเตร็ดเตร่ในวัด สุดท้ายจึงซื้อดาบไม้ท้อเล็กกระจิ๋วหลิวจากแผงขายแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปหาอาจารย์ท่านหนึ่ง นำดาบไม้ท้อนี้วางเอาไว้ในโถที่เต็มไปด้วยเถ้าธูปกองโตในวัด
คนใต้บัญชาของใต้เท้าฮั่วจัดการงานได้อย่างขยันขันแข็งมาก ก่อนท้องฟ้าจะมืดมิดก็ซื้อของมาได้ครบครันแล้ว
นอกจากนี้ยังจัดหาหญิงวัยกลางวันที่มือไม้คล่องแคล่วให้นางอีกหกคน หญิงวัยกลางคนเหล่านี้ดูซื่อสัตย์มากเช่นกัน ไม่พูดจาอะไรให้มากความเลยสักนิด
ซ่งอิงไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการให้คนส่วนหนึ่งลงมือนวดแป้งและล้างแป้ง ส่วนนางรับผิดชอบนำหูกวากับถั่วงอกหั่นเป็นฝอยๆ ถั่วลิสงที่คั่วน้ำมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วมีประมาณหนึ่งไหใหญ่ ส่วนพริกผัดน้ำมันก็ตระเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้วเช่นกัน
หลังล้างเมี่ยนจินมาเรียบร้อย น้ำล้างที่เหลือจำเป็นต้องพักเอาไว้
จนกระทั่งยามฟ้าเริ่มสว่าง…
นำน้ำแป้งที่ปล่อยทิ้งไว้ตลอดหนึ่งคืนมากรอง แล้วนำน้ำแป้งซึ่งมีความเหนียวหนืดที่เหลือพร้อมกับเมี่ยนจินขึ้นหม้อนึ่งทั้งหมด
ซ่งอิงยังไม่ทันได้นำอาหารออกไปขาย ฮั่วเจ้ายวนก็มาหาเสียก่อน
“ต้าเหรินลองชิมดูก่อนสิเจ้าคะ ชามนี้ขายเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้น” ซ่งอิงยื่นถ้วยดังกล่าวให้
“เพียงยี่สิบอีแปะ?” ฮั่วเจ้ายวนย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้ายังว่าราคาถูกอีกหรือ”
“ก็ใช่สิเจ้าคะ ตั้งแผงขายในวัดแห่งนี้ถึงอย่างไรก็ต้องเสียเงินด้วยกระมัง แม้ต้าเหรินจัดหาแผงขายให้แล้ว แต่ก็ต้องคำนวณเข้าไปด้วยจึงจะถูก อีกทั้งอาหารของข้านี้ใช้แป้งสาลีทำทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนของเครื่องปรุงยังใส่น้ำตาลลงไปอีกด้วย…”
อยู่บนเขาทั้งทีย่อมต้องขายอะไรที่แปลกตา จะราคาแพงหน่อยก็เป็นธรรมดานี่
[1] เซียนสวรรค์ต้าหลัว แดนสวรรค์ขององค์ “ยวนสื่อเทียนจุน (元始天尊)” อยู่ที่ชั้นสูงสุดของสามสิบหกแดนสวรรค์ นามว่า “ไต้โหลเทียน (大羅天)”