ตอนที่ 315 เจ้าขโมยไปแน่นอน
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองนางอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
พลันรู้สึกว่าหลายวันนี้ดูเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็กลับเถอะ” ฮั่วเจ้ายวนไม่มีเหตุผลรั้งคนเขาไว้เช่นกัน เพียงแต่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่รู้จะอ้อมค้อมอย่างไร “หนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็จะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ วันที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ อย่าลืมมาส่งของขวัญประจำเทศกาลด้วยละ”
“…” ซ่งอิงหนังตากระตุก “ต้าเหรินเอาจริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เขาเป็นอา ต้องการของขวัญตามเทศกาลสักนิดจะเป็นไรไป
ซ่งอิงยิ้มทั้งที่โกรธแทบแย่ “เช่นนั้นท่านยังมิได้ให้ของขวัญการพบปะกันครั้งแรกในฐานะญาติเลยนะเจ้าคะ!”
“เงินห้าสิบตำลึงเงินของฮั่วซื่อเซี่ยงนั่น…”
“ท่านอาต้าเหริน นั่นจะเอามาคิดรวมกันได้อย่างไรเจ้าคะ นั่นเป็นของที่ข้าและต้าตี้ซื้อขายกันอย่างสมเหตุสมผล เขาเต็มใจซื้อสิ่งของจากข้าแล้วจะเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพบปะญาติครั้งแรกได้อย่างไรเจ้าคะ” ซ่งอิงพูดสวนออกไปทันควัน ไม่ยอมรับหัวเด็ดตีนขาด
ฮั่วเจ้ายวนเผยรอยยิ้มไว้ในแววตา
ไม่แสร้งทำเป็นอ่อนโยนซื่อตรงเสียแล้ว
ท่าทีอย่างรู้ความฉลาดเฉลียวก็หายไปแล้วเช่นกัน
“อะ ยี่สิบตำลึงเงินนี้ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพบเจอกันครั้งแรกฐานะญาติแล้วกัน” ฮั่วเจ้ายวนดันเงินที่ซ่งอิงยื่นให้กลับไป
ซ่งอิงถลึงตาโต ขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน เงินนี้เป็นเงินที่นางหามาได้! รับเอาไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้พอใจโดยแท้จริงเสียหน่อย!
ทว่าจะไม่รับเอาไว้ก็เสียดายเปล่าๆ
“ก็ได้ ท่านอา เช่นนั้นก็รอได้เลย ไว้เดือนแปดวันที่สิบห้าข้าจะนำของขวัญประจำเทศกาลไปส่งให้เจ้าค่ะ!” พูดจบ ซ่งอิงถือเงินไว้แล้วหันหลังขวับเดินจากไป
เป็นหมาป่าหางใหญ่ตัวหนึ่งเห็นๆ แล้วยังแสร้งเป็นเหล่าก้านปู้อีก
อาของฮั่วหรง? เห็นนางเป็นคนโง่เขลาที่เป่าหูได้โดยง่ายหรือ!
ก็เพราะว่าถูกตาต้องใจความงามและเสน่ห์ของนางเข้าแล้ว แต่คิดหาวิธีทำให้นางตกไปอยู่ในกำมือไม่ได้ต่างหากเล่า! คนชั่วช้าจิตใจวิปริตผิดมนุษย์มนา!
ฝันไปเถอะ!
ซ่งอิงสบถหึ อยู่กับความรู้สึกหลงตัวเอง เร่งรีบไปจากตรงนั้นทันที
คิดถึงต้าไป๋ของบ้านนางแล้ว
ผู้ที่ทำกิจการดูแลสัตว์นานาชนิดอยู่บริเวณนอกวัดได้ แน่นอนว่าล้วนผ่านการคัดสรรมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นซ่งอิงจึงเห็นว่าแม้ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ต้าไป๋ของครอบครัวนางก็ไม่ได้ผอมลงแต่อย่างใด ทั้งยังดูอ้วนกลมขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นจึงมองต้าไป๋แวบหนึ่งอย่างหมั่นไส้ “เจ้าอ้วนขนาดนี้ ยังจะเดินไหวหรือไม่”
“ฟึด…ฟึด…” ต้าไป๋ส่งเสียงผ่านจมูกขึ้นมาทันที กีบทั้งสี่เหยียบเหยียบอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง
ซ่งอิงอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นชำระค่าใช้จ่ายที่ดูแลต้าไป๋เสีย ขณะเตรียมกระโดดขึ้นรถลาก กลับถูกคนชนเข้าหนึ่งที
การชนเข้ามาครานี้ไม่ได้รุนแรงมาก เพียงแค่ท่อนแขนชาเล็กน้อย นางก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเช่นกัน อย่างไรเสียยามนี้ผู้คนมากมายต่างก็กำลังพากันลงมาจากเขา คนเดินไปมา มีกระทบกระแทกกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
ซ่งอิงลูบแขน ก่อนจะขึ้นไปบนรถเกวียน อย่างไรก็ตาม คนที่ชนนางก่อนหน้านี้กลับหยุดลง
คนผู้นั้นดูคุ้นตาเล็กน้อย
ลองนึกคิดดูครู่หนึ่ง ซ่งอิงก็นึกขึ้นได้แล้วว่า ตอนที่นางขายลวี่โต้วกั่วก่อนหน้านี้มีสหายร่วมห้องเรียนเดียวกันกับซ่งสวินมาคนหนึ่ง คนบ้าบอผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าซ่งสวิน จึงอยากหลอกเอาเงินของนาง ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่เสียเปรียบ แต่ยังถูกนางหลอกเอาเงินไปได้ถึงสี่ตำลึงเงิน
สี่ตำลึงเงินนั้นจึงเป็นเงินทุนของนาง จากนั้นอาศัยเงินนี้ซื้อวัตถุดิบทำบ๊ะจ่างขาย จากนั้นก็ได้ซื้อที่ดินเหล่านั้นของครอบครัว
แต่ทว่าแม้มีความเป็นมาเหล่านี้อยู่ ซ่งอิงก็ไม่เตรียมพูดจากับคนผู้นี้แม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางก็มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับคนผู้นี้เท่าไรจริงๆ
ควบรถเกวียนเคลื่อนไปได้ไม่เท่าไร กลับถูกขวางทางเอาไว้
“เจ้าไปไม่ได้!” เจียงจื่อชางรีบส่งเสียงตะโกนลั่น ขวางตรงหน้ารถเกวียนลาของซ่งอิง ทั้งยังลูบคลำบริเวณช่วงเอวตัวเอง ชักสีหน้าโกรธจัดและกล่าว “เงินของข้าหายไปแล้ว จะต้องเป็นเจ้าขโมยไปแน่แท้!”
ซ่งอิงเลิกคิ้ว เลียนแบบท่าทางของเขาโดยลูบคลำบริเวณเอวของตัวเองเช่นกัน “ไอหยา เงินของข้าหายไปแล้ว! เมื่อครู่คนที่ชนข้ามีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น จะต้องเป็นเจ้าที่ขโมยเงินไปแน่นอน!”
“…” เจียงจื่อชางหนังตากระตุก
แตกต่างจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย
“เจ้าพูดจาเหลวไหล เมื่อครู่ทั้งที่เป็นเจ้าขโมยเงินของข้า! หลายเดือนก่อนเจ้าก็หลอกเอาเงินข้าไปสี่ตำลึงเงิน ตอนนี้ยังริอ่านลงมือซึ่งๆ หน้าอีก! ซ่งอิง นำเงินคืนข้าโดยเร็ว มิเช่นนั้นข้าจะแจ้งทางการขุนนาง!” เจียงจื่อชางกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงเม้มปากเล็กน้อย หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่งจึงกล่าว “เจ้าพูดถูก ก่อนหน้านี้เจ้าก็ใส่ร้ายป้ายสีข้าว่าเงินที่ได้จากการค้าขายเป็นการหลอกหลวงเอามา ตอนนี้เงินข้าหายไป เจ้ากลับตะโกนว่าจะจับขโมย! รีบๆ ไปฟ้องทางการขุนนางเลย มัวรอไม่ได้แล้ว!”
ตอนที่ 316 ตราบใดที่ทำถูกต้องก็ไม่ต้องกลัวอันใด
กลัวที่ไหนเล่า!
ซ่งอิงแสยะยิ้มเยาะเย้ย มองดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยสักนิด
เจียงจื่อชางงุนงงเล็กน้อยไปชั่วครู่ เดิมทีเขาคิดว่า แม่นางสาวน้อยคนหนึ่งถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นขโมยจะต้องตะลีตะลานเป็นแน่ ตราบใดที่นางเอ่ยปากอธิบาย เช่นนั้นก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที!
วันนี้ผู้คนรอบข้างมากมาย เขาเอ่ยปากพูดจาปลุกระดมสักสามสี่ประโยค จะต้องมีคนไม่น้อยเข้าข้างเข้าเป็นแน่ ถึงเวลาอย่าว่าแต่เงินที่ซ่งอิงหลอกเอาไปจากเขาครั้งก่อนเลย ไม่แน่ว่าจะได้มากกว่าที่ต้องการหลายตำลึงเงินด้วยซ้ำ!
เขารู้ว่าซ่งอิงมีเงิน!
วันนี้เป็นงานพิธีทางศาสนาวันสุดท้าย เขาก็เลยเร่งรีบมาจากตัวอำเภอเพื่อมาเดินชมงานเสียหน่อย หลังเดินเล่นไปได้สองชั่วยาม มองเห็นคนจำนวนไม่น้อยกินอาหารชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเหลียงผี จึงไปเดินหาดู แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มองเห็นซ่งอิง
ใบหน้าซ่งอิงนี้ถูกบดบังไว้อยู่ตลอด แต่เขากลับมองออก เพราะน้ำเสียง รูปร่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะกว่าหญิงสาววัยเยาว์ตระกูลอื่น
เขาแอบจับตาดูนางอยู่พักใหญ่ ค้นพบว่าซ่งอิงหาเงินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
คนที่ซื้อของทยอยกันมาไม่หยุดหย่อน คนแล้วคนเล่าเรียงรายเข้ามาซื้อทีละคนก็ไม่เท่าไร แต่ยังมองเห็นเหมือนเป็นสาวใช้ของวงศ์ตระกูลคนใหญ่คนโตมาซื้อครั้งหนึ่งถึงสิบชุด!
ชุดละยี่สิบอีแปะเชียวนะ เฉพาะช่วงเวลานั้นที่เขาคอยจับตาดู ก็ขายออกไปเกินกว่าหนึ่งร้อยชุด
เขาถามไถ่ได้ความมาอีกว่า ซ่งอิงตั้งร้านขายอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่วันแล้ว
สี่วันเป็นจำนวนเงินมากเท่าใดกันเล่า?
เขาขบคิด ยามนี้เงินที่ซ่งอิงหามาได้จะต้องไม่ต่ำกว่ายี่สิบตำลึงเงินเป็นแน่ ไม่แน่ว่าจะมากกว่านั้นอีกด้วย
หาเงินได้ตั้งมากมายขนาดนี้ ตอนแรกกลับหลอกเขาไปตั้งสี่ตำลึงเงิน!
เจียงจื่อชางยิ่งคิดยิ่งโมโห มองดูซ่งอิงที่เตรียมเคลื่อนจากไปหน้าตาเฉย ด้วยความเหลืออดจึงเดินเข้าไปกระแทก กระแทกคราเดียวก็ไม่พอให้ระบายโทสะ จึงคิดใช้โอกาสนี้สร้างเรื่องหลอกเอาเงินสักหน่อย
ใครจะรู้ว่าซ่งอิงหนังหนาได้ถึงเพียงนี้ และคิดไม่ถึงว่ายังจะแว้งกัดเขาคืนอีกด้วย!
ยามนี้มีคนจำนวนไม่น้อยแห่กันมามองดู และมีบางส่วนชี้มือชี้ไม้ยกใหญ่
เจียงจื่อชางค่อยๆ หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย กัดฟันแน่นแล้วกล่าว “ซ่งอิง ข้าเป็นสหายร่วมห้องเรียนเดียวกันกับพี่ชายเจ้า ข้ารู้ว่าหลังจากใบหน้าเจ้าเสียโฉมแล้วก็นิสัยเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกระทำเรื่อง…ชั่วช้าเยี่ยงนี้ได้ เงินครั้งก่อนนั้นก็ช่างมันเถิด แต่ครั้งนี้…คนตั้งมากมายขนาดนี้ ไยเจ้ายังไร้ยางอายได้เช่นนี้อีกเล่า! ภายภาคหน้าเรื่องราวแพร่งพรายไปถึงหูพี่ชายเจ้า จะให้พี่ชายเจ้าทำตัวอย่างไร จะเผชิญหน้ากับสหายคนสนิทเก่าแก่อย่างพวกเราได้อย่างไร!?”
ครั้นเอ่ยพูดเยี่ยงนี้ทุกคนก็ถึงบางอ้อ
เป็นคนคุ้นเคยกันเสียด้วย!
เช่นนั้นแม่นางสาวน้อยผู้นี้ก็ทำไม่ค่อยถูกเสียแล้ว
ซ่งอิงหัวเราะเยาะ “หากกล่าวว่าไร้ยางอายยังมีใครเกินเจ้าด้วยหรือ นอกจากรูปลักษณ์หน้าตาไม่ดีแล้วยังวาจาหยาบคาย นิสัยใจคอร้ายกาจ ทั้งยังทัศนคติต่ำตม! คนที่ชาญฉลาดเขาล้วนมองออกทั้งนั้นแหละ เมื่อครู่ข้าเดินอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าเดินอยู่ข้างหลัง แล้วคิดว่าข้าจะเข้าไปชนเจ้าได้หรือ ในทางกลับกัน…จริงอยู่ที่ผู้คนรอบตัวเจ้าค่อนข้างมาก แต่ถนนหนทางนี้ก็กว้างขวางมากไม่แพ้กัน ทว่าเจ้ากลับมาชนข้า แล้วนี่ยังไม่ถือว่าเป็นการจงใจอีกหรือ”
“วันนี้เจ้าพูดจนฟ้าถล่มก็ไร้ประโยชน์ เงินข้าหายไปแล้ว ตอนนี้คนที่ชนข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว จะต้องเป็นเจ้าแน่แท้ที่ขโมยเงินไป เจ้ากับข้าไปคุยกันที่หยาเหมินให้รู้เรื่องแล้วกัน!” ซ่งอิงยืนกรานเด็ดขาด
เจียงจื่อชางร้อนรนใจ “เจ้าเป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่หน้าไปถึงหยาเหมิน ยังรู้จักยางอายอยู่หรือไม่!?”
“ข้าไม่ใช่ขโมยเสียหน่อย ไยต้องอายด้วยเล่า คนที่ควรอายคือคนที่ร้อนตัวเพราะเป็นขโมยต่างหาก!” ซ่งอิงแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ท่าทางที่ไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อยของนาง เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าตราบใดที่นางทำถูกต้องก็ไม่ต้องกลัวอันใด
หากขโมยสิ่งของของผู้อื่นจริง มีหรือจะดึงดันต้องการไปฟ้องร้องกับทางการขุนนางให้จงได้?
เพียงแต่สองคนนี้สรุปแล้วใครถูกใครผิดยังมองไม่ออกเสียทีเดียว
อย่างไรเสียพ่อหนุ่มหน้าขาวผิวพรรณผุดผ่องตรงข้ามผู้นั้น มองดูไม่เหมือนคนเลวสักเท่าใดเช่นกัน
“ข้าว่าต้องฟ้องทางการขุนนางจึงจะดี ไม่แน่ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนล้วนไม่มีใครขโมยของ แต่เงินของพวกเจ้าที่หายไปเป็นฝีมือคนอื่นขโมยไปแล้วก็เป็นได้…”
“ลักขโมยของภายใต้สายตาพระพุทธเจ้า นี่ต้องได้รับผลกรรมตามทันเป็นแน่ ไม่รู้เช่นกันว่าหัวขโมยผู้นั้นไปเอาความหาญกล้านี้มาจากไหน!”
ทันใดนั้น ผู้คนรอบข้างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา!