ตอนที่ 363 คันฉ่องเงินบ้าเอ๊ย
ซ่งอิงดูถูกรูปลักษณ์ตัวเอง หนิวต้าลี่กลับตกตะลึงไปชั่วครู่
“พี่ใหญ่ ไยท่านพูดเช่นนี้ล่ะ!” หนิวต้าลี่อ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ “ท่านเก่งขนาดนี้ หาเงินเลี้ยงครอบครัวแล้วยังดูแลเด็กๆ ได้ จิตใจก็งดงาม ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ จะอย่างไรก็คู่ควรกับชายที่กำยำแข็งแกร่งที่สุดสักตัวละเจ้าค่ะ!”
ซ่งอิงหนังตากระตุก รู้สึกตงิดๆ
สักตัว…
“ต้าลี่ คนเราส่วนใหญ่จะมองกันที่ภายนอก ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ก่อนแล้วจึงมองภายใน” ซ่งอิงกล่าว
รูปลักษณ์?
หนิวต้าลี่จับจ้องอย่างเพ่งพินิจพิจารณา
ตอนที่ซ่งอิงอยู่บ้านไม่ได้สวมหมวก ดังนั้นใบหน้านี้จึงเปิดเผยต่อหน้าพวกเขา
“ก็ไม่ได้อัปลักษณ์นี่?” หนิวต้าลี่คิดว่า ตนน่าจะยังพอมีวิสัยทัศน์การมองที่ดีอยู่บ้างกระมัง
พี่สาวผู้มีพระคุณเครื่องหน้างดงามอย่างยิ่ง งดงามกว่านางที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนตั้งมากมาย พวกมนุษย์มีเงื่อนไขสูงขนาดนี้เชียวหรือ โชคดีนางเป็นวัว!
“ข้าไม่อัปลักษณ์ เพียงแต่บนใบหน้ามีรอยแผล รอยแผลเป็นลึกและยาวมาก คนทั่วไปมองเห็นก็จะคิดว่าเบื้องลึกเบื้องหลังจะต้องมีเหตุการณ์อะไรแน่นอน จึงเป็นธรรมดาที่จะถอยห่างจากข้า” ซ่งอิงเอ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
ทว่าแผลเป็นสามรอย ไม่อาจบดบังทั่วทั้งใบหน้าของนางได้เลยสักนิด ดังนั้นหากเป็นคนก็ย่อมมองออกทั้งนั้นว่านางหน้าตาดี
แต่ทำไมทุกคนมองเห็นหน้านางแล้วต้องตกใจด้วยเล่า หาใช่เพราะรอยบาดแผลนี้ไม่ แต่เพราะในสมองจะตามมาด้วยสาเหตุของการมีบาดแผลนี้อยู่ต่างหากล่ะ
อีกทั้ง รอยแผลเป็นของนางประเภทนี้ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนเช่นไร และคนอื่นคงไม่คิดเช่นกันว่านางเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง กอปรกับนางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ดังนั้นคนจำนวนมากก็จะคิดไปโดยปริยายว่า นางอาศัยรูปลักษณ์หน้าตาที่งดงามนี้หลอกล่อผู้ชาย จึงถูกทำลายใบหน้า
หากไม่ใช่เช่นนี้ เช่นนั้นไยจึงแขนขาไม่ขาด แต่กลายเป็นหน้าเสียโฉมเล่า
หนิวต้าลี่คิดไม่ได้มากขนาดนี้
“รอยแผลเป็นของพี่ใหญ่มองดูแล้วก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสนะเจ้าคะ” กล่าวขึ้นอีกครั้ง
คำพูดนี้จากหนิวตาลี่ แม้แต่ซ่งต๋ายังขยับเข้ามามองดูบ้าง “เอ๋ พี่รอง ตอนที่ท่านอยู่เมืองยงไปซื้อยาขี้ผึ้งมาทาแล้วใช่หรือไม่ ท่านแม่ข้าบอกว่าที่เมืองยงมียาดีรักษารอยแผลเป็นได้”
“เจ้าหมายความว่าใบหน้าข้านี้ดีขึ้นไม่น้อยแล้วหรือ” ซ่งอิงยิ้มกล่าว คิดว่าซ่งต๋ารู้จักปากหวานขึ้นมาบ้างแล้ว
“ใช่น่ะสิ แม้ยังพอมองออก แต่ดูเหมือนจางไปกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย” ซ่งต๋ากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
หากอยู่กับพี่รองตลอด บางทีเขาก็อาจมองไม่ออกเช่นกัน
แต่ครึ่งเดือนนี้ เขาแทบไม่ได้เห็นพี่สาวคนรองเลย พอตอนนี้ได้มองอย่างละเอียด ก็สังเกตเห็นได้ชัดเจน
ซ่งอิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า จากนั้นลุกขึ้นกลับเข้าห้องไปส่องคันฉ่อง
คันฉ่องเงินบ้าเอ๊ย มองไม่ชัดเลยสักนิด…
ขยับเข้าไปใกล้จับจ้องอยู่เนิ่นนาน ดูเหมือน… มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเล็กน้อยจริงๆ แต่… ขออภัยในสายตานางด้วย นางไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเลย
อย่างไรเสียต่อให้นางไม่ชื่นชอบการส่องกระจก แต่ทุกวันตอนเช้าตื่นนอนก็ต้องส่องกระจกหวีผม ดังนั้นจึงมองไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
แต่ในเมื่อมีหลายคนพูดว่าจางลงไปบ้างแล้ว เช่นนั้นก็น่าจะเป็นความจริง
สาเหตุ…
ซ่งอิงนึกถึงอาหารที่ตนกินทุกวัน
ต่อให้เป็นตอนอยู่เมืองยง นางก็พยายามกินผักป่าที่ผ่านการลดน้ำผ่านจิตซึ่งเอาออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติสักเล็กน้อย หลายเดือนก่อนที่ปลูกพวกแตงเอาไว้ในช่องว่างระหว่างมิติต่างก็ออกผลทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นในทุกวันๆ นางเป็นต้องกินนิดๆ หน่อยๆ
แม้ว่ารอยแผลเป็นเลือนจางไปตามกาลเวลา แต่ย่อมไม่รวดเร็วขนาดนี้เป็นแน่ ดังนั้นนอกจากช่องว่างระหว่างมิติ นางก็หาความเป็นไปได้อื่นไม่ได้แล้ว
ซ่งอิงกระตุกมุมปาก รู้สึกสุขใจ
ใครๆ ก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น
“ท่านแม่ หลังเปลี่ยนไปสวยแล้วจะแต่งงานใหม่หรือไม่” ภูตโสมถามหยั่งเชิงต่อ
“แต่งงานใหม่?” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม “คนมีชีวิตอยู่จะเชื่อฟังกว่าคนตายแล้วหรือ? ชั่วชีวิตข้านี้ไม่มีทางทำผิดต่อพ่อเจ้าหรอก! เจ้าวางใจเถอะ!”
หาใครสักคนที่มีชีวิตมาอยู่ด้วยยุ่งยากรำคาญใจจะตาย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายนางยังมีปีศาจตัวน้อยๆ มากมายขนาดนี้ ในนิทานปรัมปรานั่น สวี่เซียนมองดูเป็นคนดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท? แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะเคยตกใจกลัวงูแทบแย่มาแล้วครั้งหนึ่งหรอกหรือ
นางกลัวว่าจะหาสามีใหม่สู้สวี่เซียนไม่ได้ และไม่อาจแบกรับกระตุ้นความรู้สึกครั้งแล้วครั้งเล่าไหว!
ตอนที่ 364 โกรธแทบขาดใจตายแล้วหรือไม่
นางไม่มีความสามารถในการขโมยหญ้าเซียนนั่นเอามาได้ เกิดชายผู้นี้ตระหนกตกใจจนตาย เช่นนั้นจะยุ่งยากมากเกินไป
ดังนั้นใช้ชีวิตเฝ้าโครงกระดูกสบายเสียยิ่งกว่าอะไรดี หลายสิบปีให้หลัง ภูตโสมฝังนางแล้ว มีปีศาจคอยปกป้อง แม้แต่แมลงก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ก็ไม่ถึงขั้นตายอย่างเรือนร่างไม่ครบองค์ประกอบ แบบนี้ก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว
ฮั่วหลิวไม่รู้เลยว่าตอนนี้ซ่งอิงครุ่นคิดไปไกลใหญ่แล้ว
เขายังดีอกดีใจอยู่ อยากไปคำนับหน้าหลุมฝังศพบิดาเขาสักสองทีเป็นพิเศษ
สาเหตุที่เขาเอาแต่ถามเรื่องแต่งงานใหม่อยู่ตลอด ตามจริงก็เพราะสิ่งที่ซวนจื่อพูด ซวนจื่อกล่าวว่ามารดาเขายังเป็นสาวเกินไป ภายภาคหน้าจะต้องอยู่เป็นแม่ม่ายไม่ได้แน่ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เป็นความจริงที่ว่ามีแม่สื่อมาเยือนครอบครัวพวกเขา
การแต่งงานใหม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาจะได้ติดตามไปด้วยหรือไม่
มารดาเขาไม่อาจโกหกเขาได้หรอก ตอนนี้ในเมื่อเอ่ยว่าไม่แต่งงานใหม่ เช่นนั้นเรื่องดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้นแล้วแน่นอน!
ดีจริงๆ! เขาไม่ต้องย้ายบ้านแล้ว!
ฮั่วหลินกลับไปกินข้าวด้วยความดีใจ เมื่อกินข้าวเสร็จก็ทำการบ้านต่อกับซ่งต๋าและซ่งอู่ ซ่งอิงไม่ได้ทดสอบความคืบหน้าของพวกเขานานมากแล้ว จึงมองดูพวกเขาอยู่พักหนึ่ง
พัฒนาขึ้นมาก
ซ่งต๋าเดิมทีก็มีพื้นฐานที่แน่นอยู่แล้ว และตัวเขาเองก็ไม่โง่เขลา ดังนั้นเป็นคนที่ท่องหนังสือมากที่สุดในบรรดาสามคน ภูตโสมเป็นจิตวิญญาณพืชที่ชาญฉลาดที่สุด แต่เมื่อก่อนไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นจึงตามหลังอยู่หนึ่งก้าว แต่เมื่อเขาปูพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว คาดว่าซ่งต๋าจะเทียบเขาไม่ติดก็เป็นได้
ซ่งอู่ค่อนข้างขะมักเขม้น พัฒนาตามหลังซ่งต๋ากับฮั่วหลินมาติดๆ เช่นกัน
ทั้งสามคนซักถามซึ่งกันและกัน แล้วยังเปรียบเทียบกันและกันอีกด้วย ดูไม่เลวจริงๆ
การบ้านระยะนี้ก็เอามาวางตรงหน้าซ่งอิงหมดแล้วเช่นกัน ซ่งอิงจึงให้รางวัลดอกไม้แดงตามสถานการณ์ความเป็นจริง
หลังฝึกสอนเด็กน้อยทั้งสามคนเป็นพิเศษเสร็จสิ้น จากนั้นก็ถึงคราวหนิวต้าลี่
หนิวต้าลี่พละกำลังล้นหลาม ซ่งอิงกลัวว่านางจะควบคุมไม่อยู่ จึงมอบหน้าที่หนึ่งให้นาง นั่นก็คือ…เย็บปักถักร้อย
อีกสองวันนี้ ซานยาน่าจะมาเรียนปักลายกับนาง ถึงเวลาสองคนนี้จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน
ทว่าระดับฝีมือของหนิวต้าลี่แย่กว่ามาก
ตาวัวที่ดีๆ แทบจะเบียดกันกลายเป็นตาไก่แล้ว ถือเข็มก็มือสั่นไม่หยุด ผ่านไปหนึ่งเค่อเพิ่งร้อยด้ายผ่านรูเข็ม เช่นนี้ ยังเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหน้า
ผู้ที่ไม่รู้ยังคิดว่าซ่งอิงทรมานนางแล้วเสียอีก
เป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ
“พี่ใหญ่ ท่านให้ข้าไปสับฟืนเถอะ!” หนิวต้าลี่คิดว่างานเย็บปักเป็นอะไรที่ทรมานมาก
“ฟืนที่กองเรียงอยู่เต็มผิวกำแพงลานบ้านด้านหลังก็เป็นฝีมือเจ้าทั้งหมดมิใช่หรือ ครอบครัวเรายังขาดแคลนฟืนอีกหรือ” ซ่งอิงไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด “หลายวันก่อนข้าไม่มีเวลาว่าง แต่วันนี้เพิ่งกลับมาก็พบว่าบ้านเราเปลี่ยนไปเสียแล้ว”
“หลายวันมานี้เจ้าอยู่บ้านทำอะไรบ้าง ไหนพูดให้ข้าฟังหน่อย” ซ่งอิงยกสองมือกอดอก ดูดุดัน
“ทำงานสิเจ้าคะ” หนิวต้าลี่มองซ่งอิงอย่างไร้เดียงสา “ตัดฟืน ตำข้าวสารกรอกหม้อ บดถั่ว จริงสิ แล้วก็ให้อาหารไก่และเป็ด แล้วก็เด็ดผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้ลานหลังบ้านมาเล็กน้อย น้องหลินบอกว่าต้องทำผลไม้กวนน้ำตาล แต่ข้าทำไม่เป็นก็เลยหาคนถามดู เรียนรู้อยู่สองวัน…”
ลานหลังบ้านนาง ต้นท้อ ต้นซิ่งไน่ ต้นสาลี่และต้นทับทิม ล้วนเป็นต้นผลไม้ที่โตเต็มที่แล้ว จึงออกผลได้ในปีนี้
ตอนนี้พากันทยอยสุกส่วนหนึ่งแล้วเช่นกัน
ซ่งอิงถอนหายใจออกมาขณะมองหนิวต้าลี่ผู้ขยันขันแข็ง
“ถั่วที่เจ้าบดเสร็จแล้วเพียงพอให้ครอบครัวพวกเรากินหนึ่งเดือนแล้ว ส่วนข้าวเปลือกเหล่านั้น…เจ้าเรี่ยวแรงมากเพียงนี้ คงไม่ได้สังเกตใช่หรือไม่ว่าข้าวเหล่านั้นล้วนถูกเจ้าบดกลายเป็นข้าวป่นแล้ว ใกล้ถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว หากเจ้าควบคุมพละกำลังไม่ได้ ถึงเวลาข้าคงไม่กล้าให้เจ้าทำงานนี้จริงๆ”
เป็นธัญพืชทั้งนั้นเลยนี่…
ซ่งอิงเสียดายอย่างยิ่ง
หนิวต้าลี่ได้ยิน ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเผยท่าทีกระบิดกระบวนเล็กน้อย
เพราะรู้ว่านางเป็นวัว ดังนั้นมองเห็นการกระทำนี้ ซ่งอิงรู้สึกเพียงสมองว่างเปล่าเหมือนเพิ่งผ่านการถูกสายฟ้าฟาดลงมา เกือบไหม้เกรียมไปทั้งตัว
“เมื่อก่อนเจ้าบอกกับข้าว่าเจ้าเคยทำงานมามากมาย แล้วผู้จ้างเมื่อก่อน…ว่าเช่นไรบ้าง” ซ่งอิงประหลาดใจ คนเหล่านั้นถูกทำให้โมโหแทบขาดใจตายแล้วหรือไม่