ตอนที่ 359 อย่าโมโห
ซ่งเหล่าเกินเพิ่งเห็นการค้าขายลักษณะนี้เป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
เมื่อทุกคนเดินพ้นประตูเข้ามาอยากกินอะไรก็ตักกันไปคนละหนึ่งช้อนใหญ่ โดยเอาชามวางไว้ในถาดนั่นสักสองสามใบ อยากจะสั่งกับข้าวกี่อย่างล้วนได้ทั้งนั้น อีกทั้งราคาไม่แพงอีกด้วย
สองสามอีแปะก็ซื้อกับข้าวได้หนึ่งอย่างแล้ว มิหนำซ้ำในกับข้าวมีเนื้อสัตว์อีกด้วย นี่ได้เห็นกันบ่อยครั้งเสียที่ไหนเล่า
แม้ประมาณหนึ่งช้อนใหญ่มีเนื้อสัตว์ไม่มากมายสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้รสชาติที่มีความเป็นเนื้อสัตว์นี่? กินคู่กับแป้งทอดแผ่นใหญ่อร่อยเด็ดเช่นกัน!
แล้วยังมีปริมาณข้าวสวยที่มากพอ ไม่ว่าใครล้วนมองออกว่าเถ้าแก่ร้านผู้นี้ไม่ได้คิดจะอาศัยข้าวสวยมาทำรายได้!
การค้าขายช่วงเที่ยงง่ายกว่าตอนเช้ามาก หลังหร่วนซื่อผัดกับข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ได้พักผ่อนสักหน่อย
“นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสอนพวกเขาทั้งหมดเลยหรือ” ซ่งเหล่าเกินมองหลานสาวผู้นี้อย่างสับสน
“ใช่สิเจ้าคะ” ซ่งอิงตอบอย่างหน้าตาเฉยมาก
ซ่งเหล่าเกินมองนางครู่หนึ่ง “คนที่คอยห่อซาลาเปาอยู่ด้านหลังไม่พอใช้งาน ไม่คิดจะให้ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าแล้วก็อาสะใภ้สามมาช่วยหรือ”
ส่วนครอบครัวบุตรลำดับที่สี่คงเป็นไปไม่ได้ อันเนื่องจากบุตรชายลำดับที่สี่ของเขาช่างโง่เขลา ทำใจให้ภรรยาทำงานไม่ได้
“ท่านปู่ ท่านเห็นว่าพวกนางทำงานกันได้หรือเจ้าคะ หรือว่าพวกนางทำงานให้แม่ข้าจะดูเหมาะสมหรือไม่” ซ่งอิงไม่ปฏิเสธไปโดยตรงเช่นกัน เพียงแค่เอ่ยถามอย่างสบายๆ
กลายเป็นว่าทำให้ซ่งเหล่าเกินคิดหนักในใจ
นั่นน่ะสิ
ครอบครัวบุตรคนโตไม่ชอบถูกชี้นิ้วสั่งการ หร่วนซื่อคงเรียกใช้งานไม่ได้ เจียวซื่อ…ตระหนี่ถี่เหนียวเสียยิ่งกว่าอะไรดี
“เช่นนั้นก็ได้ ให้แม่เจ้าหาคนงานด้วยตัวเองอีกสักคน ข้าคิดว่าแค่คนเดียวก็น่าจะพอแล้วเช่นกัน กิจการเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะขายดิบขายดีทุกวัน หากเจอสถานการณ์ที่ฝนตกติดต่อกันหลายวันเช่นนั้น หรือแม่น้ำมีน้ำแข็ง เกรงว่าก็คงไม่มีคนมาบริเวณแถวนี้หรอก” ซ่งเหล่าเกินกล่าว
“ก็จริงอย่างว่าเจ้าค่ะ” ซ่งอิงพยักหน้า
วันนี้ขายดี นั่นเป็นเพราะระยะนี้สภาพอากาศสดใส พ่อค้าเดินเรือและคนงานที่อยู่ตามท้องน้ำมีจำนวนมาก
“พี่ใหญ่เจ้า…” ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจ “อีกไม่กี่วันก็จะกลับบ้านแล้ว จะอย่างไรก็ต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักมื้อ ถึงเวลาทางบ้านต้องทำอ่างไฟขึ้นมาสักใบ และคนในครอบครัวพูดประโยคน่าฟังสักสองสามประโยค ขับไล่ความโชคร้ายไป เอ้อร์ยา…ถึงเวลาเจ้าก็มาร่วมด้วยเช่นกัน”
ซ่งอิงเลิกคิ้ว
ตามจริงซ่งเหล่าเกินรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเช่นกัน
เอ้อร์ยาแหละหลานชายคนโตไม่ถูกชะตากัน ไม่ควรให้พวกเขาเจอะเจอกันจึงจะถูก
เพียงแต่…
เขาก็แค่คิดว่า เมื่อในครอบครัวมีเรื่องสำคัญๆ จะขาดเด็กสาวคนนี้ไปไม่ได้…
เมื่อก่อนไม่มีความนึกคิดเช่นนี้ และไม่รู้เช่นกันว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ในใจเขา แอบมองเอ้อร์กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นรู้สึกว่า เด็กสาวคนนี้พูดจาและกระทำการใดก็ตามล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัวได้…
หากมองนางในลักษณะเช่นหลานสาวคนโตผู้นั้น ลูกผู้หญิงที่ออกเรือนไปแล้ว จะกลับมาอีกหรือไม่กลับมาก็ไม่สำคัญอะไร…
“ท่านปู่เอ่ยปากเชิญทั้งที ข้ามีหรือจะไม่ไป ทว่าท่านต้องคิดให้ดีนะเจ้าคะ ไม่แน่เสมอไปว่าพี่ใหญ่จะอยากเห็นหน้าข้า หากเขาเห็นข้าแล้วเกิดบันดาลโทสะด่าทอผู้คน ข้าก็ไม่มีทางยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ปล่อยให้เขารังแกโดยไม่ทำอะไรนะเจ้าคะ” ซ่งอิงชะงักไปชั่วครู่ “ข้าจะเลียนแบบเช่นอาสี่ลักษณะนั้นแน่ โดยถีบเขาด้วยเท้าข้างเดียวออกไปไกลๆ เลย ถึงเวลาท่านก็อย่าได้ตำหนิโทษว่าข้าไม่ให้ความเคารพแก่เขาแล้วกันเจ้าค่ะ”
“แล้วถ้าเขาไม่สร้างความวุ่นวายให้เจ้าล่ะ” ซ่งเหล่าเกินโมโห
“เช่นนั้นข้าก็ย่อมไม่เป็นฝ่ายสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่เขาเช่นกัน ข้าอยากให้เขาไม่มองหน้าข้าด้วยซ้ำ ต่างคนต่างอยู่ไป” ซ่งอิงกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ตกลง เจ้าไม่เชื่อในตัวพี่ใหญ่เจ้า เด็กคนนั้นตอนยังเยาว์วัยก็เป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังจากเจ้าห่างบ้านไปสองปีเลยทำให้ความสัมพันธ์ห่างไกลกันไปหน่อย ไว้เดี๋ยวข้าจะให้ลุงใหญ่เจ้าพูดคุยกับเขาให้ชัดเจน” ชายชรามีความมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง
ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย
ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้งขณะมองผู้เฒ่าที่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ “ท่าน…จะอย่างไรก็รักษาสุขภาพให้มากๆ อย่าได้โมโหขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเชียวนะเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว
“…” ซ่งเหล่าเกินได้ยินพลันรู้สึกแปลกพิลึก
คล้ายกับเป็นห่วงว่าเขาจะถูกหลานชายทำให้โกรธเกรี้ยวจนขาดใจตายอย่างไรอย่างนั้น
หลานชายคนโตเขาแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ!
ไม่เข้าใจความนึกคิดของหลานสาวผู้นี้เลยจริงๆ!
นอกจากนี้ตระกูลดองก็เป็นจริง จิตใจชั่วร้ายเกินไป ลูกหลานของครอบครัวตัวเองแท้ๆ ต้องหวังให้เขาได้ดีจึงจะถูกสิ!
ตอนที่ 360 ฉลาดเฉลียว
ชายชราเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ และเหมือนว่าเขากำลังเดิมพันกับซ่งอิงดูสักตั้งเสียด้วยซ้ำไป
หลังคิดไปคิดมา ผู้เฒ่าซ่งก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ากล้าพนันกับปู่หรือไม่”
“พนันเป็นเงินหรือ” ซ่งอิงตาลุกวาว
“ไม่มีเงิน!” ซ่งเหล่าเกินหน้าชราๆ ถึงกับกระตุก “หากเป็นจริงอย่างเจ้าว่า โดยเด็กหนุ่มผู้นั้นชักสีหน้าใส่เจ้า พูดจาปากคอเราะรายหรือปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่มีเหตุมีผล ขอเพียงมีคนเป็นพยาน เช่นนั้นข้าจะเชื่อในคำพูดที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เหล่านั้น นอกจากนั้น หลังจากนี้เจ้าจะดูแลจัดการเด็กทั้งหลายในครอบครัวอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น จะว่ากล่าว จะเฆี่ยนตี ข้าให้อำนาจแก่เจ้าจัดการได้เลย”
ซ่งอิงเม้มปาก “ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมากมายสักเท่าไหร่นี่…ท่านนี่ฉลาดน่าดูนะเนี่ย ท่านแพ้แล้ว ข้ายังต้องกำกับดูแลหลานชายให้ท่านอีก? ช่างเข้าใจคิดจริงๆ”
“…” ซ่งเหล่าเกิน
“อย่าถึงขั้นให้พวกเขาเชื่อฟังข้าเลย หากท่านแพ้แล้ว ท่านเชื่อฟังข้า ข้าให้ท่านทำอย่างไรท่านก็ทำเช่นนั้น จะกลับคำมิได้ จะโมโหมิได้ แล้วยังต้องเขียนสัญญาไว้สักฉบับด้วยเพื่อจะได้ไม่มีผู้ใดเล่นแง่ตุกติก?” ซ่งอิงหัวเราะร้ายกาจขึ้นมาทันที
ซ่งเหล่าเกินมีโทสะเล็กน้อย “เจ้าคิดจะบงการข้า? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
“จะพนันกันก็พนันให้เต็มที่ หรือไม่ก็ไม่ต้องพนันเจ้าค่ะ!” ซ่งอิงสบถฮึ
ซ่งเหล่าเกินอยากเล่นงานคนจริงๆ เขาอดทนอดกลั้นมานานมากแล้ว
นี่หากบุตรชายเหล่านั้นของตนกล้าเอ่ยคำพูดเยี่ยงนี้ เขาได้ถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่ไปแล้ว
แต่สำหรับซ่งอิง ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเขาจึงไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่!
“ตกลง!” ซ่งเหล่าเกินกัดฟันตัดสินใจเด็ดขาด “หากข้าชนะ เจ้า…คิดหาวิธีสร้างรายได้ให้พี่ใหญ่เจ้าสักวิธี…ก็ไม่ต้องถึงขั้นว่าทำงานได้มากมายหรอก เดือนหนึ่งได้สักหนึ่งตำลึงเงินก็ใช้ได้แล้ว อย่างไรเสียเขาก็ต้องเลี้ยงดูลูก ไม่มีรายรับเลยคงไม่เหมาะสม…”
ซ่งเหล่าเกินพูดจบ หน้าชราที่ดูเหลี่ยมจัดก็แดงก่ำขึ้นมา
เพียงแต่ด้วยความที่ผิวคล้ำจึงมองไม่ออก
ซ่งอิงมองเขาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“ไฉนไม่เห็นว่าท่านจะนึกถึงอาสามบ้างเลย? ครอบครัวอาสามก็ค่อนข้างลำบากเช่นกันนี่เจ้าคะ” ซ่งอิงหัวเราะเสียงเยาะเย้ยเหน็บแนม
ซ่งเหล่าเกินรู้สึกคล้ายควันจะออกจมูก “อาสามเจ้า…ไม่ใช่คนอายุน้อยๆ แล้ว ต้องให้ข้าเดือดเนื้อร้อนใจเสียที่ไหนกัน ลูกๆ ในครอบครัวเขาก็รู้ความเช่นกัน และยังมีงานทำอีกด้วย…”
“ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องอธิบายไปหรอก ท่านก็แค่พูดมาตรงๆ ว่าเอ็นดูซ่งเสี่ยนมากกว่าก็พอ อ้อมค้อมเช่นนี้ท่านไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างรำคาญ
ซ่งเหล่าเกินสบถฮึ
นั่นเป็นหลานชายคนแรกของเขา เอ้อร์ยาจะเข้าใจความรู้สึกเขาเสียที่ไหนกันเล่า
“พี่ใหญ่เจ้าไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายหรอก” ซ่งเหล่าเกินแน่วแน่มาก
“เจ้าค่ะ ท่านคิดว่าไม่เลวร้าย เราก็มาพนันกันดูสักตั้ง เพียงแต่พนันกันจนถึงท้ายที่สุด ท่านอย่าทำร้ายใจตัวเองก็เป็นพอ อีกอย่างการจะดูคนผู้หนึ่งว่าดีหรือเลวแค่วันสองวันก็คงมองไม่ออกเช่นกัน ฉะนั้นกำหนดเวลาไว้สามเดือน จากนี้สามเดือน หากพี่ใหญ่ไม่ได้ก่อปัญหาใด ไม่พูดจาแย่ๆ ใส่ข้าหรือวางแผนเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ดี ข้าก็จะคิดหาวิธีสร้างรายได้ให้กับเขา! แน่นอนว่า ตอนนี้คือเราพนันกันอยู่ จะให้เขารู้ล่วงหน้าไม่ได้ มิเช่นนั้น…ก็เป็นโมฆะ” ซ่งอิงกล่าว
ซ่งเหล่าเกินขานรับอย่างมั่นใจในตัวเองเช่นกัน
ซ่งจินซานเห็นเพียงผู้เฒ่าและเด็กสาวจ้องหน้ากันเขม็ง จากนั้นอีกเดี๋ยวก็หากระดาษมาขีดเขียนบางอย่าง
ท้ายที่สุดยังประทับตานิ้วมือลงไปด้วย ไม่รู้เช่นกันว่าสองคนนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่
แต่ดูแล้วมีลักษณะอย่างปู่หลานทั้งสองที่ ‘กลมเกลียว’ กัน ซ่งจินซานจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
ช่างเป็นภาพฉากที่ดีงามเหลือเกิน หากปรองดองกันได้เช่นนี้ตลอดไปก็คงดี
นี่นับเป็นครั้งแรกที่บิดาเขา…ให้ความสนิทสนมเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทำให้เขาถึงขั้นรู้สึกว่านี่คือความฝัน
ทว่าหากซ่งจินซานรู้ถึงสิ่งที่สองคนนี้หารือกันอยู่ เกรงว่าคงไม่คิดอย่างนี้แล้ว
“ท่านพ่อ หรือไม่คืนนี้ท่านพักที่นี่ยังไม่ต้องกลับไปหรอก เราสองคนพักห้องเดียวกันได้ขอรับ” ซ่งจินซานที่ถูกภาพตรงหน้าสร้างความประทับใจ จึงกล่าวอย่างคิดเอาเองฝ่ายเดียว
“…” ซ่งเหล่าเกินไม่รู้เช่นกันว่าบุตรชายนึกอะไรขึ้นมา
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าจะให้ท่านทำงานนะขอรับ ข้าก็แค่คิดว่า…ท่านอยู่ที่นี่ ช่วยให้รู้สึกวางใจน่ะขอรับ” ซ่งจินซานกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
ซ่งเหล่าเกินเผยสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย “เจ้ามีน้ำใจ เช่นนั้น…ก็อยู่ค้างสักคืนแล้วกัน…”
พูดตามตรงเขาไม่ได้อยากอยู่เลย เพราะในบ้านยังมีงานต้องทำ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรชายคนนี้มองเขาอย่างชวนให้ขนลุกขนชันขนาดนี้ อายุปูนนี้แล้ว เบิกดวงตากว้างเสียขนาดนั้น ไม่รู้หรือไรว่ามันชวนให้หวาดกลัว!
จากคนจนกลายเป็นคนร่ำรวย อย่าได้ถึงขั้นเสียสติไปเชียวล่ะ เขาจำเป็นต้องคอยจับตาดูไว้สักหน่อยแล้ว