ตอนที่ 413 รีบคืนเงินหน่อย
เผยเหล่าต้าแม้ว่าไม่ใช่บุตรที่เกิดจากหญิงชราเผย แต่นางก็เป็นคนที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ดังนั้นจึงกตัญญูต่อหญิงชราผู้นี้เช่นกัน เพียงแต่บรรดาลูกๆ ในรุ่นถัดไปถือว่าชาญฉลาดไม่น้อย พวกเขารู้จักป้องกันหญิงชราเผยและบ้านสองอยู่เสมอ
ณ ตอนนี้มองเห็นทางด้านบ้านสองเกิดปัญหาภายในกันขึ้นมา ทางด้านบ้านใหญ่นี้จึงแอบสุขสันต์ในใจเป็นอย่างยิ่ง
เผยเหล่าเอ้อร์เฝ้ายิงเหยี่ยวมาตลอดทั้งวัน บัดนี้กลับถูกเหยี่ยวจิกตาเข้าเต็มเปา แล้วยังไม่ให้เจ็บปวดรวดร้าวได้อย่างไรเล่า!
ส่วนอีกด้านหนึ่ง พวกซ่งจินซานก็กลับบ้านแล้วเช่นกัน
สมาชิกทั้งตระกูลซ่งรวมตัวรับประทานอาหารด้วยกันหนึ่งมื้อ
บนโต๊ะอาหารนี้ เต็มไปด้วยความเงียบสงัด
“มัวก้มหน้าก้มตาเศร้าสร้อยอะไรกัน! ราวกับพ่อตายแล้วก็ไม่ปาน!” ผู้เฒ่าซ่งเห็นซ่งฝูซานห่อเหี่ยว ทันใดนั้นก็ส่งเสียงตะคอกใส่เขา “เจอเรื่องใหญ่โตหน่อยก็รับไม่ไหวแล้วหรือ!”
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรนั่งก็เป็นลูกชายข้า ยังไม่ยอมให้ข้าเศร้าโศกสักหน่อยเลยหรือ” ซ่งฝูซานน้อยเนื้อต่ำใจมากเช่นกัน
“เจ้าเสียใจได้ แต่หากให้ข้ารู้ว่าเจ้าลอบเอาเงินให้เขา…” ผู้เฒ่าซ่งสบถฮึ “ข้าจะขับไล่เจ้าออกไปด้วยเช่นกัน!”
ซ่งฝูซานถลึงตาโต
ขณะเตรียมพูดบางอย่าง ก็เห็นผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เงินขวัญถุงที่ได้ช่วงฉลองเทศกาลก็เอามาจ่ายคืนเอ้อร์ยาเสีย และหลังจากนี้ทุกเดือนเอามา…สองตำลึงเงิน มอบให้เอ้อร์ยา ที่เหลือพวกเจ้าก็เอาไว้เลี้ยงลูก เก็บนิดเก็บหน่อยก็พอใช้แล้วเช่นกัน!”
“สองตำลึงเงิน!?” ซ่งฝูซานรู้สึกเหลือเชื่อ “เอ้อร์ยาก็ไม่ได้รีบร้อนใช้เงินแต่อย่างใด ข้าขอค่อยๆ ทยอยคืนหน่อยแล้วกัน…”
เงินค่าแรงเขาก็แค่สามตำลึงเงินเศษเท่านั้นเอง บัดนี้จู่ๆ ก็หายไปถึงสองตำลึงเงิน เช่นนั้นหลังจากนี้ยังจะใช้จ่ายเงินอย่างสบายๆ ได้อย่างไรกัน
ลูกต๋าต้องเรียนหนังสือ ค่าอุปกรณ์การณ์เรียนที่ใช้จ่ายในทุกๆ เดือนก็ไม่น้อยเลย เงินแค่หนึ่งตำลึงเงินเศษจะต้องไม่พออย่างแน่นอน!
“เงินนี้เอ้อร์ยาไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ! เจ้ามีเงินก็ต้องใช้คืน! หากเจ้าอยากมองเห็นเอ้อร์ยาเหมือนมองเห็นบรรพบุรุษเช่นนั้นก็เชิญคืนไปทีละนิดแล้วกัน!” ซ่งเหล่าเกินรู้สึกโมโห
ยังมีหน้าขอค่อยๆ ทยอยคืนอีก? ติดค้างเงินตั้งมากมายเพียงนี้ไม่รู้จักร้อนรนใจ เป็นหนี้เป็นสินแล้วแท้ๆ ยังไม่รู้จักกังวลใจอีกสินะ
ซ่งฝูซานมองซ่งอิงแวบสายตาหนึ่งอย่างอึดอัดใจ เห็นซ่งอิงก้มหน้าก้มตากินข้าวของนาง ไม่หือไม่อือ จึงได้ถอนหายใจออกมา “นี่ไม่ใช่เพราะคิดว่าเป็นคนตระกูลตัวเองก็เลยไม่เป็นไรหรอกหรือ…แต่ในเมื่อท่านพ่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นข้ารีบๆ คืนหน่อยก็สิ้นเรื่อง…”
เงินเก็บก็ไม่มีแล้ว ที่เหลือก็แค่เงินค่าแรงนั่น คงต้องให้คนทั้งครอบครัวอดอยากปากแห้งกันเสียแล้ว
“เจ้ายังมีหน้าถอนหายใจอีก ดูน้องสามของเจ้าสิ เดิมทีครอบครัวเขาก็ลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกไอ้ลูกอกตัญญูที่เจ้าเลี้ยงดูผู้นั้นผลาญเงินเกลี้ยงแล้ว!” ซ่งเหล่าเกินกล่าวขึ้นอีกครั้ง “หากให้ข้ารู้ว่าเจ้าลอบเจียดเงินให้เขา ข้าก็จะไม่ขอมีลูกชายอย่างเจ้าแล้ว!”
ซ่งฝูซานเดิมทีไม่ได้คิดมากมายถึงเพียงนี้เลยจริงๆ
ถึงขั้นรู้สึกว่า จากนี้หากซ่งเสี่ยนมาขอเงินจริง เขาในฐานะบิดา เอาให้เดือนละหนึ่งตำลึงเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เดิมทีเขาทำงานหาเงินก็เพื่อให้ลูกใช้จ่ายอยู่แล้วนี่
แต่ตอนนี้ต้องเอาเงินไปใช้หนี้สิน ซ่งฝูซานก็รู้เช่นกันว่าตนย่อมไม่อาจค้ำจุนซ่งเสี่ยนได้แล้วเป็นแน่
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่โทษพี่ใหญ่หรอก ท่านอย่าว่ากล่าวเขาเช่นนี้เลย” ซ่งเหล่าซานเป็นคนซื่อตรง
“ก็มีแค่เจ้าที่ซื่อบื้อ” ซ่งเหล่าเกินสบถฮึ
ซ่งเหล่าซานหดหัวทันทีที่ได้ยินดังกล่าว
ส่วนซ่งจินซานกลับรู้สึกไม่ค่อยสุขใจเท่าไรนัก ปัจจุบันน้องสี่ไม่อยู่บ้าน บิดาแล้วก็พี่ใหญ่และน้องสามล้วนยากจนแร้นแค้น มีเพียงเขา วันหนึ่งหาเงินได้สี่ห้าตำลึงเงิน รายรับที่มากมายถึงเพียงนี้ สำหรับเขา แทบจะเป็นการร่ำรวยล้นฟ้าแล้วก็ว่าได้ แต่ความร่ำรวยนี้เป็นตนร่ำรวยอยู่ตามลำพัง ขณะที่บรรดาพี่น้องเผชิญความยากลำบาก เขาจึงรู้สึกละอายใจ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวางตัวลำบากยิ่ง
แต่ตามจริงในใจ เขามองร้านนั้นเสมือนช่วยบุตรชายและบุตรสาวกำกับดูแลมาโดยตลอด ดังนั้นก็ไม่กล้าเอาเงินมาค้ำจุนในตระกูลเช่นกัน
ซ่งอิงมองท่าทีลังเลสับสนเช่นนี้ของบิดา หลังครุ่นคิดก็กล่าว “ตอนเทศกาลจงหยวนข้าเคยขายของกินประเภทหนึ่งในเมืองยง แม้ว่าเป็นการใช้แป้งสาลี แต่หากขายดีก็จะทำเงินได้เช่นกัน ป้าสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สามอยู่บ้านไม่มีเรื่องอันใดต้องทำ ข้าสอนพวกท่านทำได้ ทำเสร็จแล้วก็ไม่ต้องขายด้วยตนเองหรอก นำของที่ทำเสร็จแล้วนั่นขายส่งให้กับร้านที่ขายของกินเล่น จะมากจะน้อยก็ทำเงินได้สักหน่อยเช่นกัน”
ตอนที่ 414 เงินที่ได้จากความเหน็ดเหนื่อย
ครั้นสิ้นเสียงซ่งอิง เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และเจียวซื่อที่นั่งอยู่อีกโต๊ะข้างๆ ก็พร้อมใจกันวางตะเกียบลง
เจียวซื่อหน้าตาตื่นยิ่งกว่าใครๆ “ทำ ทำ! ไม่ว่างานอันใด หาเงินได้จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร ทำให้ในครอบครัวได้สุขสบายขึ้นมาหน่อยได้ก็เป็นพอ!”
เจียวซื่อระยะนี้ในใจก็เหมือนมดที่เดินไต่ไปทั่วหม้อ
ตอนแรกยามที่แบ่งทรัพย์สินในครอบครัว ผู้เฒ่าซ่งแทบจะนำที่ดินในตระกูลมอบให้บ้านสามพวกเขาทั้งหมด แต่…นางมีบุตรชายตั้งหลายคน!
ภายภาคหน้าเมื่อแบ่งให้บุตรชายทั้งสามคน ที่จะตกมาถึงมือพวกเขาก็เหลือไม่กี่หมู่ด้วยซ้ำไป!
เดิมทีคิดว่ายามถึงสิ้นปีของปีนี้ ไม่แน่ว่าจะมีเงินอยู่สิบห้าสิบหกตำลึงเงินในมือ ใครจะรู้ว่าเงินที่ได้จากการทำงานหามาเหน็ดเหนื่อยแทบตายหมดเกลี้ยงแล้ว!
เอาไปรักษาอาการป่วยให้ผู้เฒ่านั่นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ดังนั้นนางก็ไม่สะดวกจะบ่นตัดพ้อ
แต่ในใจกลับยิ่งรู้สึกแย่ และยิ่งไปกว่านั้นคือความร้อนรนใจ
เห็นบุตรชายคนโตของนางผู้นั้นอายุล่วงเลยสิบหกปีแล้ว แม้แต่เงินหนึ่งถึงสองตำลึงเงินยังหามาให้ไม่ได้ นางจึงอดร้อนใจประหนึ่งเพลิงลุกโหมไม่ได้!
“อาสะใภ้สาม ท่านอย่ารีบร้อนดีใจไป ฟังข้าพูดให้ละเอียดก่อนเจ้าค่ะ” ซ่งอิงบอกกล่าวเอื่อยเฉื่อย “ตำรับของกินที่ข้าเอ่ยถึงนั้นเรียกว่าเหลียงผี วิธีทำค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย ทำเองขายเอง หรือจะแค่ทำเพื่อส่งขายเท่านั้นก็ได้เช่นกัน เพียงแต่หากทำส่งไปขายก็ต้องตั้งราคาถูกๆ ชุดหนึ่ง…คาดว่าก็ขายได้เพียงสองอีแปะเท่านั้น หากแพงเกินไป เกรงว่าจะไม่มีคนรับสินค้าเอาไว้ ส่วนแป้งหนึ่งจิน คาดว่าจะทำของสิ่งนี้ออกมาได้ห้าชุด…”
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และเจียวซื่อคิดคำนวณในใจ
ของสิ่งนี้ใช้แป้งสาลีในการทำ เช่นนั้นเจ็ดแปดอีแปะจะซื้อแป้งสาลี่ได้หนึ่งจิน ซึ่งก็หมายความว่า ใช้แป้งหนึ่งจินทำออกมาจะได้เงินสามสี่อีแปะนั่นเอง!
“ไม่น้อยแล้ว ไม่น้อย!” เจียวซื่อในยามนี้ยังคงพอใจมากเช่นเดิม “เพียงแต่ฝีมืออย่างพวกเรา คาดว่าวันหนึ่งจะใช้แป้งจำนวนกี่จินทำออกมาได้หรือ”
เจียวซื่อคิดว่า ถึงอย่างไรก็คงไม่ขนาดว่าวันหนึ่งทำได้ในปริมาณแป้งสิบจินเท่านั้นกระมัง
ซ่งอิงขบคิดครู่หนึ่ง “อาสะใภ้สามขยันและคล่องแคล่วว่องไว หากพยายามเร่งมือหน่อย วันหนึ่งน่าจะทำได้ถึงสี่ห้าสิบจินกระมัง”
สี่ห้าสิบจิน?
เจียวซื่อเบิกตาโต “เช่นนั้น…เช่นนั้นวันหนึ่ง ทำได้มากก็จะเป็นเงินสองร้อยอีแปะ? เมื่อคำนวณเช่นนี้ เดือนหนึ่งก็จะได้…”
เจียวซื่อสมองตามไม่ทัน ครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าคิดอย่างคร่าวๆ เดือนหนึ่งก็จะทำเงินได้ห้าหกตำลึงเงินสินะ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าทำเงินได้มากกว่าที่พี่ใหญ่ทำงานอยู่โรงย้อมสีแห่งนั้นอีกหรือ!”
เอ้อร์ยาเอ่ยปากบอกว่าทำเงินได้ไม่มากมายเท่าไร นางก็คิดว่า วันหนึ่งคาดว่าทำเงินได้สักสามสิบอีแปะ เช่นนั้นก็ไม่เลวแล้ว และนั่นก็พอใจมากแล้วด้วย!
คิดไม่ถึงว่า…
“จะมีเรื่องที่ดีงามถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ซ่งอิงส่ายหน้า “อาสะใภ้สาม เหลียงผีที่ข้าบอกกล่าวไปนั่น ตามจริงก็ถือว่าเป็นงานใช้แรงงาน หากท่านขายทุกวัน ต้องนวดแป้งทุกวัน นั่นจะเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อยมาก อีกทั้งยังต้องหักลบเงินค่าฟืนอีกหน่อย”
“นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทั่วทั้งเขาเต็มไปด้วยไม้ฟืน ของอย่างนั้นต้องเสียเงินที่ไหนกันเล่า!” เจียวซื่อกลับยังคงดีใจมาก “เหน็ดเหนื่อยหน่อยก็ไม่กลัวหรอก!”
ขอเพียงหาเงินได้ ต่อให้ต้องลำบากตรากตรำเพียงใด นางก็ไม่หวาดหวั่น!
อีกทั้งนางเชื่อในความสามารของซ่งอิง ในเมื่อเอ่ยว่าหาเงินได้ เช่นนั้นก็ย่อมหาเงินได้แน่!
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ดูขัดเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตกลง “เอ้อร์ยา เช่นนั้นก็ต้องขอบใจเจ้ามาก”
“ก่อนหน้านี้ตอนที่กลับมาจากเมืองยงข้าก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ในบ้านก็มีงานกันไม่น้อยแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เอ่ยปาก ป้าสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สามก็อย่าตำหนิที่ข้าบอกช้าไปหน่อยล่ะเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
ตอนนี้ไม่บอก แน่นอนว่าเพราะคงยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้
แทนที่จะเอาวิธีหาเงินไปประเคนให้ถึงตรงหน้าอย่างหน้าตาเฉย ไม่สู้ทำให้คนเห็นว่านี่เป็นการที่นางช่วยเหลือบ้านใหญ่และบ้านสามจะดีกว่า
ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างไปจากเดิมแล้ว มองดูแต่ละคนล้วนเหมือนมะเขือที่ถูกน้ำค้างเย็นเฉียบเกาะ โดยเฉพาะอาสะใภ้สาม นี่เพิ่งกี่วันเอง คนทั้งคนดูผอมลงไปเป็นเท่าตัว
ผู้เฒ่าซ่งก็มีความกดดันในใจเช่นกัน เขาคิดว่าเพราะตนเองจึงเป็นผลให้เด็กรุ่นหลังเดือดร้อน
ตอนนี้เอ่ยปากบอก จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มาได้ประจวบเหมาะพอดี
เหลียงผีนั่นแม้ว่าเป็นของที่กินยามฤดูร้อนถึงจะดีที่สุด แต่ฤดูใบ้ไม้ผลิและฤดูหนาวก็ไม่ใช่กินไม่ได้ เอาไปอุ่นให้ร้อนสักหน่อยก็เป็นอันใช้ได้
อีกทั้ง ต่อให้ทั้งสามครอบครัวในตระกูลซ่งขายไปด้วยกัน วันหนึ่งก็ทำออกมาได้ไม่มากมายนัก ตัวอำเภอหลี่มีผู้คนและร้านขายของกินริมทางตั้งมากมายเพียงนั้น สินค้านี้จะขายออกได้โดยง่ายมากแน่นอน