ตอนที่ 421 น้องสาวมา
ซ่งอิงย่อมรู้อยู่แล้วว่าเปิดร้านเองจะทำเงินได้มากมาย มิเช่นนั้นจะให้ซ่งหม่านซานถ่อไปทางด้านเมืองยงทำไมกัน
แต่การเปิดร้านค้าต้องใช้เงิน นางเพิ่งเปิดไปหนึ่งร้าน เงินที่มีอยู่ในมือจึงไม่เพียงพอ อีกอย่าง อำเภอหลี่ไม่ได้ใหญ่โตขนาดเมืองยง นางอยากรอให้กิจการทางด้านเมืองยงนั่นใหญ่โตเสียก่อนแล้วค่อยพิจารณาเปิดเป็นสาขาย่อยทางด้านนี้
ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน
ต้องมีร้านค้าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว และต้องมีเงินก็ด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณพี่ฮวามากเจ้าค่ะที่กล่าวตามตรง วันข้างหน้าเราสองร้านไปมาหาสู่กันมากๆ หน่อย หากพี่สาวอยากนำสินค้าเข้าร้าน ข้าก็จะให้ราคาที่น่าพอใจแก่ท่านแน่นอน” ซ่งอิงตรงไปตรงมามากไม่แพ้กัน
เมื่อนางพูดเช่นนี้ เจ้าของกิจการฮวากลับรู้สึกโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดีไปเลย จากนี้หากเหม่ยจื่อชื่นชอบเยียนจือแบบไหนในร้านข้าแห่งนี้ เรื่องราคาก็คุยกันได้เช่นกัน!”
คำพูดนี้หมายความว่า ไม่ถือสาหากซ่งอิงจะเปิดร้านลักษณะเดียวกันในอำเภอหลี่
สบู่ของซ่งอิงนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ ต่อให้ขายเพียงแค่อย่างเดียว ก็จะขายดีได้เช่นกัน
แน่นอนว่า โดยทั่วไปทำกิจการค้าขายทั้งทีจะปล่อยให้ร้านค้าที่ใหญ่โตโล่งไปกว่าครึ่งร้านได้อย่างไร ฉะนั้นไม่ว่าจะหาร้านอื่นร่วมกิจการด้วยก็ดี หรือคิดค้นของน่าสนใจบางอย่างขึ้นมาด้วยตนเองก็ได้ ล้วนเพียงเพราะหวังว่าตู้โต๊ะในร้านจะละลานตาไปด้วยสินค้าเต็มไปหมด
ทว่าซ่งอิงไม่มีความคิดอยากขายเครื่องประทินโฉมแต่อย่างใด
“วิธีการทำสบู่นี้ข้าก็ได้มาโดยบังเอิญเช่นกัน ภายภาคหน้าอยากจะทำกิจการตัวนี้ให้ใหญ่โต จะทำอย่างอื่นอีกเกรงว่าค่อนข้างเปลืองแรงไปหน่อย เพียงแค่นี้ก็ค่อนข้างดีแล้วเจ้าค่ะ” ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย
ทันใดนั้น เจ้าของกิจการฮวาก็วางสบู่นี้ลงบนโต๊ะตู้อย่างมีความสุข
ปัจจุบันเดิมทีก็เป็นการฝากขาย แต่เจ้าของกิจการฮวาไม่กังวลใจเลยสักนิดว่าสบู่นี้จะขายไม่ออก หลังนับจำนวนแล้ว หักลบค่าใช้จ่ายการฝากขาย ก็เอาเงินจากบัญชีออกมามอบให้ซ่งอิงทันทีสิบสี่ตำลึงสองร้อยอีแปะ
“ในเมื่อเหม่ยจื่อเพิ่งเปิดร้านที่เมืองยง แม้ว่ากิจการค้าขายดี แต่นี่เพิ่งเริ่มเปิดกิจการ ไม่ว่าส่วนไหนล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น และสบู่หอมนี้ย่อมต้องขายออกแน่ ดังนั้นเงินนี้ข้าก็สำรองจ่ายไปก่อนเลยแล้วกัน” หลังเจ้าของกิจการฮวาเอ่ยพูดเช่นนั้น ก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ยามที่ส่งสบู่หอมนี้มา ยังคงยึดตามระเบียบปฏิบัติเดิมหรือไม่ แล้วยาสระชิงซือยังเอามาส่งอีกหรือไม่”
ซ่งอิงขบคิดอย่างหนักในทันที หากเจ็ดวันส่งครั้งหนึ่ง…ก็ค่อนข้างเหนื่อยน่าดูเช่นกัน
ธัญพืชในที่ดินก็จะต้องเก็บเกี่ยวแล้ว จึงไม่มีเวลาว่างมากนัก
“ระยะนี้ทางบ้านมีงานต้องทำเยอะแยะไปหมด ยาสระชิงซือก็หยุดไว้ชั่วคราวแล้วกันเจ้าค่ะ ส่วนสบู่ก็ส่งเหมือนที่ผ่านๆ มาเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
เจ้าของกิจการฮวาพยักหน้า
หากซ่งอิงไม่อยากเสียงาน เช่นนั้นเดี๋ยวกลับไปนางก็ต้องทำยาสระชิงซือขึ้นมาอีก เพียงแต่ระยะนี้ร้านชุ่ยเหยียนไจกดดันพวกนาง หากนางจะทำของสิ่งนี้ขายก็ไม่อาจทำมากเกินไปได้ ฉะนั้นปล่อยให้ชุ่ยเหยียนไจได้ใจไปก่อนแล้วกัน!
โรงอี้จวินปัจจุบันก็ไม่ได้รังแกกันง่ายๆ เพียงนั้นแล้ว!
เพียงแต่ ไม่รู้ว่าผู้จัดการร้านชุ่ยเหยียนไจผู้นั้นหากมองเห็นสบู่หอมขึ้นมาอีก จะเกิดความนึกคิดอย่างไรขึ้นมาบ้าง!
เจ้าของกิจการฮวายิ้มเยาะในใจ จากนั้นก็ส่งซ่งอิงออกจากร้านไปอย่างมีความสุข
ทางด้านซ่งอิงยังมีที่คั่นใยใบไม้ต้องขายอีกกว่าพันชิ้น
นางไม่รีบร้อนเช่นกัน ส่งรถเกวียนวัวลากจูงที่เช่ามาคันนั้นไปก่อน จากนั้นตนก็เดินมุ่งหน้าไปสถานศึกษาที่ซ่งสวินเล่าเรียนพร้อมกับต้าไป๋
สถานศึกษาแห่งนี้มีชื่อเสียงในหมู่อำเภอใกล้เคียงสี่ห้าแห่งเป็นอย่างยิ่ง ในนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้เรียนระดับซิ่วฉาย คนเล่าเรียนหนังสืออย่างซ่งสวินที่ไม่ใช่แม้แต่ถงเซิง ระดับขั้นที่อยู่ในนั้นจึงพอๆ กับ…นักเรียนอนุบาล
ค่าใช้จ่ายในการเรียนของสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ใช่ถูกๆ
รับรู้ว่าซ่งอิงมาหา ซ่งสวินประหลาดใจอย่างยิ่ง
น้องสาวเขาผู้นี้ ต่อให้เป็นการเอาของมาส่งให้เขา ส่วนใหญ่ก็จะส่งไปยังบ้านในอำเภอ ส่งของไว้แล้วก็จะกลับไปทันที ไม่เคยรั้งรออยู่นานมาก่อน ซ่งสวินนึกถึงว่าระยะนี้ในตระกูลมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว
“น้องสาวของซ่งเอ้อร์หลางมาหรือ! น้องสาวคนไหน” ครั้นซ่งสวินเดินมุ่งออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ทันไรด้านหลังเขาก็มีคนอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้
ตอนที่ 422 ลองมองดูก็รู้
สหายร่วมห้องเรียนรุ่นนี้ มีจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าซ่งสวินมีน้องสาวคนหนึ่ง เรือนที่เขาอยู่อาศัยก็เป็นน้องสาวเขาให้ยืมอาศัยเช่นกัน
บางครั้งถามขึ้นมา ซ่งสวินจะยกยอปอปั้นน้องสาวผู้นี้แทบลอยขึ้นไปถึงท้องนภาก็ว่าได้ กล่าวว่าน้องสาวทั้งมากความสามารถและชาญฉลาด ถึงขั้นว่ามีครั้งหนึ่งยังบ่นเสียดายที่น้องสาวเขาผู้นั้นไม่ใช่เด็กผู้ชาย มิเช่นนั้นจะต้องเรียนได้ดีเยี่ยมกว่าเขาเป็นแน่…
เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า คนที่สนิทสนมกับซ่งสวินต่างก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
น้องสาวที่ว่าผู้นี้ไม่รู้ว่าลักษณะหน้าตาจะเป็นดั่งธิดาสวรรค์หรือไม่…
“ได้ยินว่าน้องสาวที่ร่วมท้องมารดาเดียวกันของซ่งเอ้อร์หลางมีเพียงคนเดียวเท่านั้น คาดว่านี่ก็คือคนผู้นั้นที่เขาชมเชยอยู่เป็นประจำกระมัง แต่น่าเสียดายที่มีคู่ครองแล้ว” หนุ่มจากตระกูลเหลิ่งผู้นั้นเอ่ย เขามีความสัมพันธ์อันดีกับซ่งสวิน
เขาอายุเท่ากับซ่งสวิน เมื่อก่อนไม่ได้ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือ จึงกลายเป็นนักเรียนหัวโข่งประจำชั้นคนหนึ่งเช่นกัน
ดีที่ในสถานศึกษาแห่งนี้ผู้เรียนที่ยังสอบไม่ผ่านถงเซิงส่วนใหญ่ก็อายุสิบห้าปีขึ้นไป ดังนั้นไม่มีใครดูถูกใครเช่นกัน
ครั้นคำพูดของเหลิ่งต้าหลางหลุดออกมา ก็มีคนส่งเสียงหัวเราะเยาะ
“ข้าเคยเห็นซ่งสวินเถียงกับคนอื่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นน้องสาวของซ่งสวินก็อยู่ตรงหน้า ใส่หมวกหนึ่งใบ ราวกับจะให้ผู้คนเห็นไม่ได้เชียว ทั้งยังได้ยินคนที่ทะเลาะเบาะแว้งกันผู้นั้นกล่าวว่า น้องสาวเขาอัปลักษณ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้…ก็มีแต่พวกเจ้าที่เชื่อในคำพูดของซ่งสวินเยี่ยงนี้” ลู่ข่ายเอ่ยเหน็บแนม
สหายทุกคนล้วนตกตะลึง
ลู่ข่ายดูถูกซ่งสวินมาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งสองคนนี้ นิสัยใจคอเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ ลู่ข่ายมีอุปนิสัยหยิ่งยโส จริงอยู่ที่ว่ามีความสามารถในการเล่าเรียน แต่ก็เป็นจำพวกแปลกแยกจากผู้คนในชั้นเรียนนี้
ลู่ข่ายมีภูมิหลังวงศ์ตระกูลดีงาม บ้านเกิดอยู่ในอำเภอหลี่แห่งนี้ แต่ทว่ามีผู้รับตำแหน่งขุนนางอยู่ในเมืองหลวง เขานิสัยยโสโอหัง คิดแต่จะพุ่งชนเป้าหมายให้ลุล่วงในคราวเดียว ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงยังไม่ได้ไปสอบขุนนาง
ปัจจุบันกลับมายังบ้านเกิด เดิมทีไม่ต้องมายังสถานศึกษาแห่งนี้ก็ได้ แต่บิดาเขารู้สึกว่าเขาไม่รู้จักการเข้าสังคม ภายภาคหน้าสอบขุนนางได้ก็อาจไปสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้ร่วมงานได้เช่นกัน นี่จึงได้จัดการให้เขาเข้ามาที่แห่งนี้
รอบข้างเป็นผู้เรียนที่ไม่มีแม้แต่เกียรติคุณขั้นถงเซิง ลู่ข่ายจึงรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
ดีที่คนส่วนใหญ่ค่อยยกยอเขาและเคารพเขา
ยกเว้นก็แต่ซ่งสวินผู้นี้ ไม่รู้จักยกยอเขา และถึงขั้นว่าจำนวนครั้งที่อาจารย์กล่าวชมเชยซ่งสวินมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำไป
เวลานี้เอ่ยวาจาดูถูกผู้อื่นเช่นนี้ออกมา ลู่ข่ายก็รู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเลือกเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ข้าจำได้ว่าตอนนั้น พี่ซ่งขายผลไม้ป่าอยู่ริมทาง ผลไม้นั่นข้าไม่เคยเห็นในเมืองหลวงมาก่อน รู้สึกว่าค่อนข้างแปลกตาดีจึงมองสังเกตมากหน่อย ส่วนน้องสาวเขาผู้นั้น…นิสัยเผด็จการ ต้มตุ๋นเงินคนอื่นไปได้ตั้งสี่ตำลึงเงิน”
ครั้นทุกคนได้ยินดังกล่าว ต่างก็มองหน้ากันและกัน
“เป็นไปมิได้กระมัง พี่ซ่งปกติแล้วสุภาพสง่างามและทรงคุณธรรม น้องสาวของเขาก็น่าจะไม่เลวเช่นกัน…”
“คางคกมองดูลูกของตัวเองก็รู้สึกไม่น่าขยะแขยงเช่นกันนี่” ลู่ข่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ลู่ข่าย! เจ้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว! ดูถูกผู้หญิงคนหนึ่ง ช่างไร้ความเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ!” บุตรชายคนโตตระกูลเหลิ่งได้ยินคำพูดดังกล่าวก็รู้สึกไม่รื่นหูขึ้นมาทันที
“ข้าเกินไปตรงไหนหรือ พี่ซ่งเอาแต่ชื่นชมน้องสาวตัวเองตลอดทั้งวัน ทำลายความสงบเงียบของข้า และข้าอดเห็นเจ้าถูกเขาหลอกไม่ได้ ก็เลยพูดความจริงเท่านั้นเอง” ลู่ข่ายยิ้มเยาะ มองฝูงชนอย่างดูแคลน “หากพวกเจ้าคิดว่าข้าพูดปด เช่นนั้นไปมองดูก็รู้แล้ว”
ทุกคนลังเลชั่วครู่ แอบไปมองดูผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นจะไม่ค่อยเหมาะสมกับระเบียบปฏิบัติเท่าไรน่ะสิ?
ลู่ข่ายถือว่ามีความน่าเคารพเชื่อถือเช่นกัน ยามนี้เอ่ยปากขึ้นมาทั้งที จึงมีคนไม่น้อยรู้สึกว่าเขาพูดถูก
“น้องสาวของพี่ซ่งมักจะเอาของดีๆ มาให้เขาเสมอ ในบางครั้งก็จะแบ่งปันพวกข้าด้วยจำนวนหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไปกล่าวขอบคุณอย่างเป็นทางการสักหน่อยกันจะดีกว่า?” มีคนเอ่ยปาก—ขึ้น
ซ่งสวินเป็นคนที่ดีงามจากภายใน และไม่ถือว่าเป็นคนที่หลงใหลได้ปลื้มในตัวน้องสาวนักหนาแต่อย่างใดเช่นกัน
เพียงแต่ซ่งอิงดีต่อเขา ก่อนหน้านี้ทุกครั้งมาเยือนตัวอำเภอล้วนเป็นต้องนำสิ่งของจำนวนหนึ่งมาโยนไว้ในบ้านนั้น
ซ่งอิงอยู่บ้านกินเก่ง ทั้งยังต้องเลี้ยงดูเด็กๆ อีกด้วย ช่วงกลางฤดูร้อน นางทำไส้กรอกและปลาแห้งขึ้นมาจำนวนไม่น้อย หลังทำเสร็จก็เอามาให้ซ่งสวินเสียเยอะแยะ แล้วยังมีฮั่วหลิน มักจะเก็บเห็ดที่ไม่ค่อยหากันได้ง่ายๆ ตามเขาเอามาให้เป็นครั้งคราวเพื่อแสดงความสามารถตนเอง ซึ่งซ่งอิงก็ไม่เก็บเอาไว้กินเองแต่เพียงผู้เดียว เป็นผลให้อาหารการกินของซ่งสวินดีขึ้นมากไปตามๆ กัน