ตอนที่ 456 แทงใจดำ
เมื่อซ่งอิงร้องขอ ซ่งสวินย่อมต้องไปทำให้อยู่แล้ว
เพียงแต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร อยู่ตรงนี้ช่วยส่งอิงขายของก่อนพักหนึ่ง บนรถลาของซ่งอิงคันนี้นอกจากที่คั่นใบไม้ก็ยังวางสบู่หอมเอาไว้ด้วยจำนวนหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น ได้รับการตอบรับดีมาก นางตัวคนเดียวจึงหยิบจับขายไม่ค่อยทัน
ผู้คนไม่น้อยต่างรู้ว่าที่คั่นใบไม้นี้มีขายเพียงในอำเภอหลี่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคนที่ฝากผู้เรียนอยู่สถานศึกษาแห่งนี้ซื้อเอาไปให้ด้วย
ที่คั่นใบไม้กว่าสองพันชิ้นรวมไปถึงสบู่หอมกว่าสี่ร้อยก้อนที่ซ่งอิงนำมาวันนี้ ไม่ถึงสองชั่วยามก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว!
แน่นอนละว่าที่ซื้อของไม่ใช่แค่ผู้เล่าเรียนหนังสือเท่านั้น แต่ยังมีร้านหนังสือใหญ่โตหลายแห่งในอำเภอหลี่อีกด้วย
ซ่งอิงจึงถือโอกาสพูดคุยเจรจาการค้าขายกับสามร้านหนังสือใหญ่ไว้ด้วยเสียเลย
หลังจากนี้ต้องส่งที่คั่นใบไม้จำนวนหนึ่งพันชิ้นไปยังสามร้านหนังสือใหญ่ที่ว่านี้ทุกๆ เดือน โดยกำหนดราคาอยู่ที่ชิ้นละสิบอีแปะ
จำนวนไม่ใช่น้อยๆ การทำที่คั่นใบไม้ค่อนข้างกินเวลานาน แต่ซ่งอิงคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า ก็เลือกคนที่แปรงเนื้อใบไม้ครั้งก่อนออกมาสามครอบครัว ตัวนางรับผิดชอบแค่ต้มใบไม้ ส่วนที่เหลืออย่างการเก็บใบไม้ แปรงเนื้อใบไม้ รวมไปถึงผึ่งลมและกดทับให้เป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยจะแบ่งหน้าที่ให้พวกเขาทำทั้งหมด แม้แต่ลานที่จะใช้ในการผึ่งลมนางก็ไม่ต้องจัดหาแต่อย่างใด
ถึงเวลานางก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งห้าอีแปะ หนึ่งเดือนสามพันใบจะเป็นรายรับเพิ่มขึ้นมาสิบห้าตำลึงเงิน
ส่วนสามครอบครัวนั้น ครอบครัวหนึ่งทำเพียงหนึ่งพันชิ้นเท่านั้นเอง ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันคาดว่าก็ทำเสร็จแล้ว เดือนหนึ่งจะมีรายรับเพิ่มขึ้นห้าตำลึงเงิน เกรงว่าจะมีแต่คนแย่งกันทำ
แน่นอนละว่า งานนี้มอบให้ใคร นางจะไม่เป็นคนตัดสินใจ หากแต่จะมอบให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้คัดสรรก็ดี หรือจะยึดตามประสบการณ์การทำงานก็ดี ล้วนได้ทั้งนั้น
แต่ละครอบครัวที่ทำงานให้นางครั้งก่อนล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ และหลังจากนี้มีคนอื่นคอยจับตาดูอีกแรง งานที่คั่นหนังสือนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาใหญ่โตขึ้นมาได้แต่อย่างใด
ช่วงเวลาอันสั้นเพียงนี้ ซ่งอิงก็คิดวางแผนในใจไว้เสร็จสรรพแล้ว
เมื่อขายของเสร็จสิ้น ซ่งสวินก็ไปหาเรื่องก่อกวนลู่ข่ายตามคำสั่งของซ่งอิง
ตอนที่วางที่คั่นใบไม้ลงตรงหน้าลู่ข่าย ซ่งสวินสังเกตเห็นกับตาว่าลู่ข่ายสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะโกรธหรืออับอายกันแน่
เขาพลันรู้สึกสะใจอย่างยิ่ง
ใครใช้ให้ลู่ข่ายรังแกน้องสาวของเขาเล่า
“คุณชายลู่ชื่อเสียงโด่งดัง หลังน้องสาวข้าได้ข่าวคราวจึงให้ข้าเอาของขวัญมาแสดงความยินดีด้วยเป็นการพิเศษ” ซ่งสวินยิ้มเล็กน้อย มองดูเหมือนคนที่ไร้พิษภัย
“…” ลู่ข่ายรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่มาแสดงความยินดีเฉยๆ เช่นนี้
พวกเขาไม่สนิทสนมกันเสียหน่อย จะมอบของขวัญอะไรกันเล่า!
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นการจงใจแทงใจเขา!
“ได้ยินว่าบัดนี้เว่ยกงชมเชยสหายลู่ว่ามีความสามารถพอจะเข้าสอบขุนนางได้แล้ว? เช่นนั้นเห็นทีว่าไม่ต้องถึงสามหรือห้าปี สหายลู่ก็คงได้ขี่ม้าตัวใหญ่ผูกดอกไม้แดงแล้วสินะ” ซ่งสวินจงใจเอ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ
ลู่ข่ายดูถูกชาติกำเนิดเขาเสมอมา แม้กล่าวได้ว่าซ่งสวินนิสัยดี แต่ก็ยังขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเขา
ลู่ข่ายสีหน้าแดงก่ำ อดกลั้นอยู่พักใหญ่ และแล้วท้ายที่สุดก็ก้มหน้าลง “ข้าเองก็รู้สึกอัปยศ เรื่องราวก่อนหน้านี้ เป็น…ข้าเองที่ทำผิด”
ซ่งสวินกลายเป็นฝ่ายตะลึงงัน ไม่คาดคิดว่าลู่ข่ายจะทนไม่ได้กับการถูกล้อขนาดนี้
นี่เพิ่งพูดไปกี่ประโยคเอง
ตอนนั้นยามที่ต้องการเห็นรูปลักษณ์น้องสาวเขา ไม่ใช่ว่าองอาจหาญกล้า ไม่ใช่ว่าไม่แยแสใดๆ ทั้งสิ้นหรอกหรือ
“คุณชายลู่พูดอะไรกันเล่า ท่านอุดหนุนกิจการของน้องสาวข้า ข้าหรือจะกล้ารับคำขอโทษขอท่าน อีกทั้ง หลังจากท่านได้รับความสนใจจากเว่ยกง กิจการน้องสาวข้าก็ดีตามไปด้วย ข้าต่างหากควรเป็นฝ่ายขอบคุณท่านจึงจะถูก” ซ่งสวินยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คำพูดนี้แต่ละถ้อยวจีฟังดูให้ความเกรงใจ แต่ลู่ข่ายฟังแล้วกลับได้ยินการเยาะเย้ยเจืออยู่ในคำพูดเขา
ขอโทษ? ขอโทษเขาจะมีประโยชน์อะไร ที่ถูกรังแกคือน้องสาวเขา ไม่ใช่เขา
เดิมทีลู่ข่ายเป็นคนหยิ่งยโส หากเป็นเมื่อก่อนเจอคนที่แปลกประหลาดประเภทนี้ เขาจะไม่ปรายตาขึ้นมองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ไม่มีความมั่นใจนั้นเลยจริงๆ
ประการแรก ในวันที่อยู่ต่อหน้าเว่ยกง หากไม่มีสิ่งของของน้องสาวซ่งสวิน เกรงว่าเว่ยกงจะไม่ชายตามองเขาด้วยซ้ำไป
แม้ว่าบิดาเขาเป็นขุนนาง แต่ต่อให้เป็นบิดาเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเว่ยกงก็ยังต้องก้มหัวให้เช่นกัน
ประการที่สอง ครั้งนี้หลังได้รับการชมเชยจากเว่ยกง ผู้อาวุโสในตระกูลก็ชื่นชมเขายกใหญ่ ได้ยินว่าที่คั่นหนังสือของเขาเป็นของที่สหายร่วมห้องเรียนขาย คิดว่าเขาให้การสนับสนุนกิจการของสหายร่วมห้องเรียนเป็นการเฉพาะ จึงส่งจดหมายไปหาบิดาเขา บอกกล่าวว่าเขาผู้นี้พัฒนาขึ้นแล้ว รู้จักรู้ความและผูกมิตรสัมพันธ์กับสหายดีๆ ในสถานศึกษาได้แล้ว!
ตอนที่ 460 สุภาพบุรุษผู้ต่ำต้อย
สวรรค์เป็นพยานได้เลยว่า ซ่งสวินใช่สหายที่ดีของเขาเสียที่ไหนกันเล่า!
แต่ย่าของเขาไม่ฟังคำอธิบาย รู้สึกกว่าปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา ยากจะจ่ายเงินเพื่อซื้อที่คั่นหนังสือหนึ่งร้อยชิ้นได้ จึงต้องมีความสนิทสนมกลมเกลียวกับซ่งสวินผู้นั้นเป็นแน่!
จริงสิ นอกจากนั้นยังถามไถ่ถึงสถานการณ์ของซ่งสวินอีกด้วย!
หลังทำความเข้าใจแล้ว ผู้เป็นย่าก็เอ่ยชมเชยยกใหญ่!
ประการแรกกล่าวว่าซ่งสวินเกิดจากครอบครัวชาวนาแต่ก็ยังไม่ลืมใฝ่เล่าเรียน การมีทัศนคติเช่นนี้นับเป็นสิ่งล้ำค่า แม้มาจากครอบครัวยากจนแต่ไม่ช้าก็เร็วจะได้เป็นคนใหญ่คนโตแน่
ประการสองกล่าวว่าซ่งสวินได้เล่าเรียนช้า แต่ฟังดูความสามารถไม่ธรรมดา จะเห็นได้ว่าเป็นคนที่นิสัยอดทนต่อความยากลำบาก
ประการสามกล่าวว่าน้องสาวซ่งสวินขายของที่หน้าประตูทางเข้าออกสถานศึกษา พี่ชายคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจแล้วยังรู้จักช่วยเหลืออีกด้วย นี่แสดงถึงนิสัยใจคอที่ซื่อตรง
ประการที่สี่กล่าวว่า…
ในสายตาย่าของเขา ซ่งสวินก็คือสุภาพบุรุษแสนดีคนหนึ่งนั่นเอง
เมื่อเอ่ยไปถึงตอนท้ายสุด ได้ยินว่าซ่งสวินอายุสิบเจ็ดปีแล้วแต่ยังไม่ได้หมั้นหมาย ถึงขั้นต้องการให้เขาชวนกลับมาบ้านเพื่อเห็นหน้าค่าตาเสียหน่อย…
ลู่ข่ายรู้สึกตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เมื่อถูกผู้เป็นย่าพูดจาเช่นนี้ใส่ เขาก็อดนึกถึงการวางตัวเข้าสังคมของซ่งสวินขึ้นมาในสมองไม่ได้
นั่นช่างเป็นอะไรที่หาข้อติไม่ได้เลยจริงๆ…
ดังนั้นยามนี้เมื่อซ่งสวินมาตรงหน้า แม้ว่ารู้สึกโดนดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสงบนิ่งเอาไว้ได้
“พี่ซ่ง…เรื่องครั้งก่อนเป็นข้าเองที่ผิดไปแล้ว ไว้ครั้งหน้าเจอแม่นางซ่ง ข้าจะขอโทษนางจากใจจริงแน่นอน ขอพี่ซ่งอย่าได้ถากถางข้าอีกเลย” ลู่ข่ายกล่าวอย่างจริงใจ
คราวนี้ซ่งสวินเป็นอันประหลาดใจโดยแท้จริง
ซ่งสวินมองเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาประหลาด และถึงขั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าลู่ข่ายผู้นี้อาจถูกเว่ยกงทำอะไรแทงใจดำจนเสียสติไปแล้วก็เป็นได้
คนหนึ่งที่ยโสโอหัง นึกไม่ถึงว่ายามนี้จะกล่าวขอโทษจากใจจริง?
“ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว…เคยเห็นพวกท่านสองพี่น้องมีปากเสียงกับผู้อื่น ต่อมาค้นพบว่าพี่ซ่งก็เป็นคนที่เล่าเรียนหนังสือเช่นกัน จึงรู้สึกว่าพี่ซ่งทำลายภาพลักษณ์ของผู้เล่าเรียนหนังสือ เป็นผลให้รู้สึกไม่ชอบหน้าพี่ซ่งสักเท่าไร แต่ยามที่อยู่บ้าน ท่านย่าตำหนิอบรมข้า ข้าจึงได้รู้ว่าตนเองคิดผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ลองนึกคิดในมุมของพี่ซ่ง ก็คาดเดาไปด้วยตนเองเสียแล้ว ช่างเป็นการกระทำที่ไม่ดีเลยจริงๆ” ลู่ข่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“…” ซ่งสวินพลันรู้สึกงุนงงสับสนเล็กน้อย
เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งฝีก้าว
“ท่านย่ากล่าวว่า หากข้ามีความสงสัยอันใดก็ควรจะถามท่านด้วยตนเอง…” ลู่ข่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“คุณชายลู่…อยากถามอันใดหรือ” ซ่งสวินขบคิดอย่างหนักครู่หนึ่ง ก็สงบจิตสงบใจขึ้นมาได้เล็กน้อย
“ข้าเพียงแค่ไม่ค่อยเข้าใจว่าตอนนั้นเหตุใดพวกท่านสองพี่น้องจึงจงใจหลอกเอาเงินคนผู้นั้น ระยะนี้ลองนึกคิดดู ตอนนั้นข้าเพียงแค่เห็นช่วงครึ่งหลังเท่านั้น ก่อนหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วข้าหารู้ไม่…” ลู่ข่ายพูดตามความจริง ยามนี้พลันรู้สึกในใจสว่างจ้าและผ่อนคลายขึ้นมาก
แท้จริงแล้ว…การลดตัวอ่อนข้อเสียบ้างก็ไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นขนาดนั้น
“คุณชายลู่พูดถึงสหายร่วมห้องเรียนของข้าตอนที่เรียนในโรงเรียนประจำหมู่บ้านสินะ ข้ากับคนผู้นั้นเดิมทีก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ตอนอายุสิบสอง เขากับคนอื่นร่วมกันใส่ร้ายข้าต่อหน้าท่านปู่ข้าว่าติดเล่นไม่ตั้งใจเรียน ตอนนั้นในครอบครัวก็ยากจน และด้วยสาเหตุต่างๆ นานาก็เป็นผลให้ท่านปู่เข้าใจผิดหลงเชื่อคำพูดของเขา นี่จึงได้ต้องล้มเลิกการเรียนกลับไปบ้าน พอหยุดเรียนไปก็เป็นเวลานานถึงห้าปี…ตอนนั้นข้าขายของกับน้องสาว เขาก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองและคิดจะเอาเปรียบกัน…”
ซ่งสวินเดิมทีก็ไม่คิดเช่นกันว่าต้องอธิบายเพิ่มเติมเสียมากมาย แต่นึกถึงว่าซ่งอิงน้องสาวแสนดีที่ฉลาดเฉลียวและรู้ความเพียงนั้น กลับถูกคนเข้าใจผิดเสียได้ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร จึงเอ่ยพูดหลายประโยคหน่อย
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าจะสนทนากันไปไม่น้อย
ซ่งอิงยังคงรอเขามารายงานสถานการณ์ ใครจะรู้ว่ารอไปรอมาก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
ดีที่ซ่งอิงมีลาตัวหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน มิเช่นนั้นยามนี้คงทำได้เพียงอยู่ด้านนอกกระวนกระวายใจ
กระทั่งยามที่ซ่งสวินออกมา ซ่งอิงถึงกับตกตะลึง
เขาออกมากับลู่ข่ายผู้นั้นสองคน นึกไม่ถึงว่าจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาด้วย
พูดไว้ดิบดีว่าจะช่วยระบายความโกรธเกรี้ยวให้นาง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองคนนี้ก็ถึงขั้น ‘หลิ่วหูหลิ่วตา’ ให้กันแล้ว? อารมณ์ความรู้สึกและท่าทีนั่นไม่ต่างกับพี่น้องที่ดีต่อกันเลย!
ซ่งสวินเดิมทีก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ากับผู้อื่นง่าย ตราบใดที่ลู่ข่ายไม่เอาแต่หยิ่งยโสโอหัง ทั้งสองคนย่อมเข้ากันได้เป็นธรรมดา อย่างไรเสียลู่ข่ายก็เป็นคนมากความสามารถโดยแท้จริง สิ่งที่ทั้งสองคนเข้าใจจึงถือว่าอยู่ในระดับพอประมาณกัน อายุก็ไล่เลี่ยกัน นอกจากนั้นยังมีความทะเยอทะยานเช่นกัน จึงคุยกันถูกคอไปโดยปริยาย