ตอนที่ 463 ไม่มีบรรทัดฐานล่างเลยสักนิด
ซ่งฝูซานใจเต้น ‘ตึกตัก’ อย่างแรง และมีสีหน้าตึงเครียด
ลู่ข่ายเดินมาเห็นดวงหน้านี้ของซ่งอิงเข้าพอดีเช่นกัน ทันใดนั้นก็ถึงกับอึ้งทึ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าเขากับซ่งสวิน ‘ดี’ ต่อกันแล้ว แต่ตามจริงก็มั่นใจในใจแล้วว่า หน้าตาน้องสาวซ่งสวินผู้นี้น่าจะไม่ถึงขั้นงดงามอะไร
ในยุคราชวงศ์ต้าติ้ง สตรีออกจากบ้านไม่บ่อยครั้งนัก แต่ยังไม่ถึงขั้นเดินไปไหนมาไหนโดยเปิดเผยหน้าตาไม่ได้ ถึงขั้นว่าหากเทียบกับยุคก่อน ฐานะของสตรียุคนี้ยังยกระดับขึ้นมามากกว่าด้วยซ้ำ ทางด้านเมืองหลวงนั่น เรียกได้ว่ายังมีสตรีชนชั้นสูงควบม้าตามท้องถนนอีกด้วย!
ดังนั้นเดิมทีเขาคิดว่า หลังจากนี้อยู่ต่อหน้าพี่ซ่งจะต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำให้มาก แม้ว่าอยากรู้อยากเห็น ก็จะเอ่ยถึงเรื่องรูปลักษณ์ของน้องสาวจากตระกูลซ่งขึ้นมาอีกไม่ได้เช่นกัน เพื่อที่จะไม่ทำให้สหายดีๆ ที่กว่าจะผูกมิตรได้ไม่ใช่ง่ายๆ โกรธเคืองแล้วหนีเตลิดไป
คนอย่างเขาผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแยแสความคิดของผู้อื่น จึงไม่ไปทำความเข้าใจใครสักคนเป็นการเฉพาะ
ยกเว้นก็แต่พี่ซ่งผู้นี้ เป็นบุคคลที่ดีงามสำหรับท่านย่าเขา ฉะนั้นจะไม่ทำความเข้าใจไม่ได้เชียว และหลังจากลองได้ทำความเข้าใจ เข้าก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าน้องสาวจากตระกูลซ่งผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่ควรไปหาเรื่องสุ่มสี่สุ่มหา
เพียงแต่เขาคิดให้ตายเท่าไรก็คิดไม่ถึงว่า น้องสาวจากตระกูลซ่งผู้นี้หน้าตาไม่อัปลักษณ์เสียหน่อย!
รูปโฉมนี้…
ด้วยความที่อยู่ใกล้ จึงมองเห็นว่าบนใบหน้ามีร่องรอยแผลเป็นสามขีด แต่ทว่าดูคล้ายจะเกิดขึ้นค่อนข้างหลายปีก่อนหรือไม่ก็เป็นแผลที่ไม่ได้ลึกจนเกินไป ดังนั้นมองดูไม่ชัดเจนเป็นพิเศษแต่อย่างใด
หากมองข้ามลอยแผลเป็นจางๆ นั่น น้องสาวจากตระกูลซ่งผู้นี้ก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่งดงามอย่างยิ่งคนหนึ่ง!
รูปลักษณ์ของซ่งอิงไม่ถือว่างามล่มบ้านล่มเมือง อย่างไรเสียก็เป็นพื้นเพของเจ้าของร่าง และจู่ๆ จะให้งามสะพรั่งขึ้นมาเลยก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน แต่ทว่าบุคลิกนี้กลับแตกต่างจากผู้อื่นไม่น้อย นางไร้ความหวั่นไหวในแววตา และมักเผยรอยยิ้มจางๆ โดยเฉพาะในเวลานี้ รอยยิ้นของนางเจือความเย็นเยียบเอาไว้เล็กน้อย มองดูให้ความรู้สึกค่อนข้างน่าเกรงขาม
“เอ้อร์ยา” ซ่งฝูซานส่งเสียงเรียกทั้งที่ยังตะลึงงัน หลังเอ่ยปากก็รู้สึกประหม่าและขายหน้า จึงรีบกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด อย่าไปบอกกล่าวท่านปู่เจ้าเลย”
“ได้สิเจ้าคะ เพียงแต่ว่าจะอย่างไรท่านลุงก็ต้องให้ค่าปิดปากแก่ข้าสักหน่อยกระมัง” ซ่งอิงเลิกคิ้ว เผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นมา
ครั้นนางเอ่ยพูดเช่นนี้ ซ่งฝูซานก็ตกตะลึงนิ่งไป จากนั้นก็เผยสีหน้าอับอายจนกลายเป็นความหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้า เจ้าเด็กคนนี้ไฉนจึงมีแต่เงินเต็มสมองไปหมด”
“ท่านลุง คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก หากเชื่อถือญาติพี่น้องไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องอาศัยเงินมิใช่หรือ ท่านให้ข้าเก็บความลับ จะอย่างไรก็ต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นเรื่องอะไรข้าต้องช่วยท่านเก็บงำความลับด้วยเล่าเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวหน้าตาเฉยก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยหันหน้าไปมองซ่งสวิน “ท่านพี่ ท่านว่าจริงอย่างที่ข้าว่าหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่” ซ่งสวินพยักหน้า
“…” ลู่ข่ายมองคู่หูที่เขาผูกมิตรมาหมาดๆ อย่างเหลือเชื่อเล็กน้อย
สหายคู่หูผู้นี้ออกจะไม่ค่อยมียางอายเท่าไรใช่หรือไม่
ก่อนหน้านี้ยังเป็นบุรุษผู้เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เลย? ไฉนยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวจากตระกูลตนเองจึงไม่มีบรรทัดฐานล่างเลยสักนิด!
ไฉนจึงจ้องกรรโชกญาติผู้ใหญ่ไปเสียได้!
ลู่ข่ายไม่กล้าเชื่อจริงๆ
บ้านเขาก็มีท่านอาชายที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งนิสัยเกเรอยู่คนหนึ่งเช่นกัน อาผู้นั้นไม่ถนัดพนันแต่เจ้าชู้กะล่อน ทุกครั้งก่อปัญหาอะไรมาล้วนต้องให้เขาช่วยปิดบัง เขาเองไม่อยากช่วย แต่ในฐานะหลาน การเปิดโปงเรื่องผิดๆ ที่ญาติผู้ใหญ่กระทำไว้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนดีๆ เขาทำกันหรอก!
ซ่งฝูซานสีหน้าแดงก่ำ “นี่ข้ามาเป็นครั้งที่สอง! เมื่อครู่เพิ่งโยนเหรียญทองแดงลงไป แต่ยังไม่ทันได้…”
“อ้อ นี่ครั้งที่สองแล้วด้วยหรือ” ซ่งอิงถอนหายใจ “ท่านลุง หากท่านปู่รู้เข้า อาจจะถือแท่งไม้เขี่ยฟืนเตาถ่านของบ้านเราออกมาเลยก็เป็นได้ ถึงเวลาต่อให้ท่านเป็นรุ่นญาติผู้ใหญ่ ก็คงได้อับอายขายหน้าแน่ อีกทั้ง…ระยะนี้ท่านปู่ต้องการปรับบรรยากาศในครอบครัวให้เรียบร้อย ท่านเล่นการพนัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่แน่ว่าจะเอาเรื่องไปถึงทางด้านหอบรรพบุรุษเลยก็เป็นได้…”
ซ่งฝูซานเบิกตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าต้องการเท่าไร ข้าจะไปหายืมมา”
ซ่งอิงขบคิดอย่างหนัก
“ห้าตำลึงเงินก็พอเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
ซ่งฝูซานขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโมโห การหายืมเงินไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่…คิดหาวิธีหน่อยก็คงเอามาได้เช่นกัน เพียงแต่ระยะสองปีมานี้คงใช้คืนไม่ได้ ต้องรอหลังจากผู้เฒ่าในตระกูลผ่อนปรนท่าทีลงหน่อย เขาจึงจะได้เก็บหอมรอบริบไว้เป็นการส่วนตัว…
ตอนที่ 464 ไร้ยางอาย
ซ่งอิงเผยสีหน้าแน่วแน่เด็ดขาด ซ่งฝูซานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าในท้ายที่สุด “เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา แล้วรอข้าประเดี๋ยวหนึ่ง…”
ซ่งฝูซานพูดจบ ไม่ขึ้นรถลาของซ่งอิง ต้องการเดินเท้ามุ่งไปข้างหน้าด้วยตัวเองให้ได้
ซ่งอิงก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน นางเคลื่อนตามหลังไปอย่างเนิบช้า
“ท่านไม่ควบคุมน้องสาวท่านหน่อยหรือ กรรโชกเงินจากญาติผู้ใหญ่ ขืนแพร่งพรายออกไปคงไม่ค่อยดีต่อชื่อเสียงนัก?” ลู่ข่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
ซ่งสวินมองซ่งอิงที่อยู่ข้างหน้าสุด จากนั้นยิ้มอ่อนอย่างเอ็นดู “น้องชายวางใจเกิด น้องสาวข้ามิใช่คนประเภทนั้น ต่อให้เงินนี้นางรับเอาไว้ อีกเดี๋ยวก็จะคิดหาวิธีเอาไปอยู่ในมือป้าสะใภ้ใหญ่หรือไม่ก็ท่านปู่ข้า นางเพียงแค่อยากให้บทเรียนแก่ท่านลุงก็เท่านั้นเอง”
ลู่ข่ายแคลงใจอย่างยิ่ง
ซ่งสวินเชื่อในตัวน้องสาวผู้นี้อย่างไม่ลืมหูลืมตาไปหน่อยหรือไม่
โรงพนันแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงย้อมสีที่ซ่งฝูซานทำงานไม่ไกล ไม่นานนัก ซ่งฝูซานก็ไปวนเวียนในโรงย้อมสีรอบหนึ่ง หลังออกมาก็ยื่นเงินห้าตำลึงเงินให้ซ่งอิง
ซ่งอิงเลิกคิ้ว
นำเงินใส่ลงไปในถุงใส่เงินใบย่อมอย่างหน้าตาเฉย จากนั้นกล่าวกับซ่งสวิน “ท่านพี่ ท่านไปขอลาหยุดกับเถ้าแก่ของท่านลุงสักหน่อยสิเจ้าคะ”
ซ่งสวินพยักหน้าอีกเช่นเคย ก่อนจะเดินไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ซ่งฝูซานตกตะลึง “ลางานทำไมกัน!”
“ข้ากลัวว่าถึงเวลาท่านถูกท่านปู่ทุบตีจนเป็นอะไรไป อย่างน้อยๆ ก็ต้องนอนพักผ่อนบนเตียงสักสี่ห้าวัน ในเมื่อตอนนี้มาโรงย้อมสีแล้ว เช่นนั้นก็ถือโอกาสจัดการเรื่องนี้ไปด้วยเสียเลย เพื่อที่เดี๋ยวกลับไปแล้วท่านปู่จะได้ไม่ต้องถ่อมาที่นี่เป็นการเฉพาะแทนท่านอีกครั้ง” ซ่งอิงกล่าวอย่างหน้าตาเฉยอีกครั้ง
ลู่ข่ายถลึงตาโตในทันทีทันใด
นี่หมายความว่าอะไร จะกลับคำหรือ! ไฉนจึง…ไร้ยางอายถึงเพียงนี้!
“เจ้า เจ้าเด็กสาวคนนี้ ทั้งที่เอาเงินข้าไปแล้วห้าตำลึงเงินแท้ๆ!” ซ่งฝูซานตกตะลึงจนอึ้ง
ซ่งอิงถอนหายใจ “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ข้านึกว่าท่านลุงจะยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวจะกินแล้วเสียอีก ใครจะรู้ว่านี่ท่านหายไปครู่เดียวก็ยืมเงินได้แล้วห้าตำลึงเงิน…”
“…” ลู่ข่ายรู้สึกว่าตนฟังผิดไปแล้ว
ส่วนซ่งฝูซานโมโหและร้อนรนใจจนแทบกระโดดโล้ดเต้น “ซ่งเอ้อร์ยา! ขืนเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีกระวังข้าจะเฆี่ยนเจ้า เชื่อหรือไม่!”
“เชื่อ? ถึงอย่างไรท่านก็เป็นผู้อาวุโส จะเฆี่ยนก็เฆี่ยน อย่างมากท่านตีข้าทางด้านนี้ ไว้กลับไปข้าค่อยให้ท่านปู่ตีท่านเอาคืนแทนข้าก็ได้” ซ่งอิงคลี่ยิ้มกว้าง “ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้บอกกับท่านใช่หรือไม่ว่า ตอนนี้ข้าก็ถือเป็นครึ่งหนึ่งของผู้มีอำนาจตัดสินใจในตระกูลแล้ว พูดอะไรไปท่านปู่ก็จะเชื่อฟังเสียด้วยสิ”
ซ่งฝูซานจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันเล่า!
บุตรชายในครอบครัวเขาผู้นั้นบอกกล่าวเขาว่าในตระกูลซ่งคำพูดเอ้อร์ยาคือประกาศิต คำไหนคำนั้น!
ถึงขั้นว่าผู้เฒ่าซ่งก็เกรงกลัวเอ้อร์ยาด้วยซ้ำไป!
เอ้อร์ยาจะถ่อไปทางด้านบ้านฝั่งมารดาเป็นครั้งคราว และเช้าตรู่ก็ต้องการให้ผู้เฒ่าซ่งทำท่าทางประหลาดๆ อย่างกับลิงก็ไม่ปาน เป็นผลให้หลานคังของบ้านสี่ในตระกูลก็มาเรียนรู้ตามไปด้วย!
แน่นอนละว่า ไม่เพียงแค่ผู้เฒ่าซ่งกลัวเอ้อร์ยา ต่อให้ภรรยาเขาผู้นั้น ปัจจุบันครั้นเอ่ยถึงเอ้อร์ยาก็จะเกรงใจอย่างยิ่ง!
ก็เพราะรู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นยามที่ได้ยินว่าซ่งอิงรออยู่ด้านนอกโรงพนัน เขาจึงได้ไม่ลังเลที่จะเดินออกมา!
แม้แต่เงินเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งเหล่านั้นก็ไม่กล้าเอา!
“เอ้อร์ยา เด็กสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว นี่เป็นเรื่องของตระกูลฝั่งมารดา ตอนนี้เจ้าเป็นคนของตระกูลฮั่ว ตระกูลวิญญาณฮั่วที่เสียชีวิตไปแล้ว เจ้าจึงไม่มีสิทธิ์มาบงการกันแต่อย่างใด” ซ่งฝูซานกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ตกลง คำพูดนี้ข้าก็จะเอาไปพูดกับท่านผู้เฒ่าซ่งให้กระจ่างชัดแจ้งด้วยเช่นกัน” ซ่งอิงสีหน้าไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด
“…” ซ่งฝูซานถึงกับพูดต่อไม่ออก
ไม่นานนัก ซ่งสวินก็เดินออกมา “ระยะนี้ไม่ค่อยยุ่งมากนัก เถ้าแก่ของโรงย้อมสีกล่าวไว้แล้วว่าให้ท่านลุงหยุดได้เจ็ดวัน น่าจะพอกระมัง?”
“ก็น่าได้อยู่กระมัง หากท่านปู่โกรธจัด อย่างมากก็แค่สับมือทิ้ง และจากนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนหาเลี้ยงเป็นอันสิ้นเรื่อง” ซ่งอิงไม่แม้แต่จะปรายตามองสักหน่อย “ท่านลุง ท่านก็ขึ้นรถมาพร้อมกันเลยเถอะ ข้าจะพาพี่ชายข้าแล้วก็คุณชายลู่ท่านนี้ส่งกลับไปก่อน แล้วเราสองคนค่อยกลับหมู่บ้านไปพร้อมกัน”