ตอนที่ 461 ผู้มากประสบการณ์
หลังเผชิญหน้าซ่งอิง คราวนี้ลู่ข่ายไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบขออภัยทันที “แม่นางซ่ง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก ขอแม่นางซ่งอย่าได้เก็บเอาไปถือโทษโกรธเคืองกันเลย”
ซ่งอิงเม้มปาก “เกรงใจกันไปแล้ว”
นางไม่เข้าใจมิตรภาพของพวกผู้ชาย
เรือน้อยของพี่ชายกับน้องสาวบทจะพลิกคว่ำก็คว่ำเสียดื้อๆ
“ท่านพี่ ต้องการจ้างเด็กรับใช้ที่คอยติดตามเวลาเรียนไว้สักคนหรือไม่ ครั้งหน้าหากเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่มีคนที่มาส่งข่าวให้แม้แต่คนเดียวเสียนี่ ดีที่วันนี้อากาศแจ่มใส มิเช่นนั้นข้าได้แข็งทื่อไปแล้ว” ซ่งอิงบ่นโอดครวญ
ซ่งสวินยิ้มอย่างละอายใจเล็กน้อยเช่นกัน “ข้าผิดเอง ลืมเวลาไปชั่วขณะ ทว่าเรื่องเด็กรับใช้ไม่มีจะดีกว่า บัดนี้ตัวข้าเองยังไม่ได้เป็นแม้แต่ถงเซิงและมิใช่คนที่เกิดจากตระกูลครอบครัวใหญ่โต จ้างเด็กรับใช้มาจะดูไม่ค่อยเข้าทีเท่าไร”
“ตัวท่านรู้อยู่แก่ใจก็เป็นอันใช้ได้” ซ่งอิงกลอกตามองบนใส่เขาแวบหนึ่ง “ข้าส่งท่านกลับแล้วกัน?”
ซ่งสวินรีบพยักหน้าตกลง
จากนั้นมองลู่ข่ายแวบหนึ่ง ลู่ข่ายค่อนข้างรู้สึกอาลัยอาวรณ์สหายคู่หูที่เพิ่งผูกมิตรกันเมื่อครู่ นึกถึงรถม้าของตระกูลตนเอง แล้วมองไปยังรถลาคันนี้ ชั่งใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “พอจะ…พอจะส่งข้าด้วยได้หรือไม่…”
ซ่งอิงหัวเราะเจื่อน
ได้ นางเป็นผู้มากประสบการณ์ในการควบรถเกวียนอยู่แล้ว
“ขึ้นมาสิ!” จะขึ้นรถม้ามาคนเดียวหรือสองคนก็ต้องไปอยู่ดี ฉะนั้นก็ไม่ต่างกัน
ครั้นทั้งสองขึ้นรถ ซ่งอิงไม่ได้ยกแส้ เพียงส่งเสียงตะโกนขึ้นมาเท่านั้น “ต้าไป๋ เราไปกัน”
ลู่ข่ายตะลึงงันไปชั่วขณะ กำลังสงสัยว่าซ่งอิงพูดกับใคร ทันใดนั้นรถลาคันนี้ก็เคลื่อนที่ เมื่อมองไปยังลาที่อยู่ข้างหน้าก็พลันรู้สึกแปลกประหลาด!
เพราะซ่งอิงไม่ได้ดึงเชือก กล่าวว่าควบคุมรถ แต่ในความเป็นจริงเป็นการนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนั้นโดยไม่ทำอะไรเลยเสียมากกว่า!
ลาตัวนี้…จำทางได้ด้วยหรือ
ลู่ข่ายเกรงใจเกินกว่าจะถามให้มากความ อย่างไรเสียเติบใหญ่มาเพียงนี้แล้ว เขาก็เพิ่งเคยนั่งรถอย่าง ‘ไม่มีหลังคาและผนังกั้นข้าง’ เป็นครั้งแรก สายลมพัดโชยมาทั่วสารทิศ ยังดีที่อากาศไม่หนาวเย็น มิเช่นนั้นได้เจ็บหน้าแย่
แต่ที่น่านับถือคือคนข้างๆ สหายซ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นิ่งสุขุมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เก่งกาจจริงๆ
คนเล่าเรียนหนังสือที่เขาเคยพบเจอล้วนให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทั้งนั้น ต้องสวมอาภรณ์ชั้นดี กินดี ใช้ของดีๆ ในหมู่สหายร่วมห้องเรียนก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดจากครอบครัวยากจนลำบาก แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตาคนในครอบครัวของสหายร่วมชั้นเรียนเหล่านั้นมาก่อน
ถึงขั้นว่าผู้เล่าเรียนเหล่านั้นทั้งที่ยากจน ทว่าแต่ละคนกลับห่วงภาพลักษณ์อย่างยิ่ง ในมุมมองเขา นั่นไม่ต่างกับการยืนกรานทำสิ่งที่เกินความสามารถของตัวเอง
ซ่งสวินแตกต่างจริงๆ เขาไม่แยแสสายตนคนนอกเลยสักนิด
อย่างเช่นกระดาษที่เขาใช้ ส่วนใหญ่ล้วนระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก กระดาษที่เขียนตัวอักษรใหญ่ๆ นั่นก็จะไม่ทิ้งขว้าง เก็บเอาไว้ใช้เขียนอักษรตัวเล็กๆ ต่อ ต้องรอกระทั่งกระดาษไม่มีพื้นที่เหลือให้จรดพู่กันแล้ว จึงได้ยอมทำใจเอาไปเก็บ
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่านี่เป็นความตระหนี่ถี่เหนียวของคนในตระกูลเล็กๆ แต่ตอนนี้…
นี่เป็นความใจกว้างต่างหาก!
“หยุด!” ขณะลู่ข่ายกำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย รถลาก็พลันหยุดลงกะทันหัน
ซ่งอิงกวาดตามองร้านที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง และขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหันหน้าไปมองซ่งสวิน “ท่านพี่ ท่านเข้าไปข้างในนั้นที หากเห็นท่านลุง…ก็ลากตัวออกมาเลย หากเขาไม่เชื่อฟัง ท่านก็บอกว่าท่านปู่ต้องตีขาของเขาหักแน่”
“…” ซ่งสวินเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจ “ท่านลุงอยู่ในนั้นหรือ”
ลู่ข่ายหันมองไปด้วยเช่นกัน
ที่นั่นคือโรงพนัน
ตระกูลซ่งนี้มีญาติผู้ใหญ่ที่เล่นพนันด้วยหรือ
ทว่าน้องสาวของซ่งสวินผู้นี้ก็ดุไปหน่อยกระมัง จะอย่างไรซ่งสวินก็เป็นพี่ชายนาง หากเข้าไปบีบบังคับลากคนเขาออกมา คงได้เป็นอันเสียชื่อเสียงกันพอดีกระมัง…
“น้องสาวตระกูลซ่ง ให้พี่ซ่งเข้าไปจะดูไม่เหมาะหรือไม่” ลู่ข่ายคิดว่า อย่างน้อยตนก็เป็นสหายที่ดีของพี่ซ่ง สมควรช่วยเอ่ยคัดค้านสักหน่อย
“เขาไม่ไปแล้วเจ้าจะไปหรือไม่” ซ่งอิงกล่าวเสียงเรียบเฉย “ท่านพี่ ท่านก็บอกว่าข้ารออยู่ข้างนอก ขืนลุงใหญ่ไม่ออกมา ข้าจะกลับบ้านไปเรียกคนในครอบครัวมา แม้มืดค่ำดึกดื่นแล้วก็ตาม”
ซ่งสวินพยักหน้า “ตกลง”
โรงพนันเป็นสถานที่อโคจร ควรให้ลุงใหญ่รีบๆ ออกมาโดยเร็ว จะมัวเสียเวลาแม้แต่น้อยไม่ได้ เกิดลุงใหญ่ขายตัวเองไปจะทำอย่างไร
แน่นอนละ คาดว่าตัวท่านลุงก็คงไม่มีมูลค่าสักเท่าไรเช่นกัน แต่ท่านลุงยังมีลูกชายอีกคน แล้วยังมีทรัพย์สินอย่างที่นาอยู่ด้วยนี่…
ตอนที่ 462 สับมือ
แต่ทว่าซ่งสวินก็ไม่เคยไปสถานที่ประเภทนี้เช่นกัน หลังลงจากรถ ไม่รู้จะเอามือทั้งสองวางไว้ตรงไหน ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงได้เดินเข้าไป
ลู่ข่ายเห็นดังกล่าว ลนลานและวิตกกังวลอย่างยิ่ง เขานึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้นำข้ารับใช้ของตระกูลตนเองติดตามมาด้วย…
แต่สหายคนสนิทเดินเข้าไปแล้ว เขาจะไม่เข้าไปด้วยก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรหรือไม่
โดยเฉพาะเป็นการอยู่ต่อหน้าน้องสาวของซ่งสวินอีกด้วย…
น้องสาวจากตระกูลซ่งผู้นี้จะไม่คิดว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหนที่ไม่อาจร่วมทุกข์ร่วมยากกับสหายได้หรอกกระมัง
ต้องขอกล่าวว่า คนเล่าเรียนหนังสือมักนึกคิดอะไรมากมาย เพียงชั่วพริบตาเดียวในสมองล้วนขบคิดความนึกคิดของซ่งอิงไปหลายตลบ ในท้ายที่สุดหลังครุ่นคิดอย่างหนัก อืดอาดยืดยาดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากรถเช่นกันแล้วเดินเข้าไปกับซ่งสวิน
อย่างไรก็ตาม ซ่งอิงยามนี้ไม่ได้คิดอะไรพาดพิงไปถึงลู่ข่ายเลยจริงๆ
ไม่ว่างขนาดนั้น!
ในสมองนาง กำลังครุ่นคิดว่าท่านลุงมีเงินติดตัวอยู่มากน้อยเท่าไร…แล้วก็…
จะทำอย่างไรให้ผู้เป็นลุงของตระกูลนางจำขึ้นใจ?
ทรัพย์สมบัติของบ้านใหญ่ปัจจุบันป้าสะใภ้ใหญ่เป็นผู้ดูแลจัดการ ในมือท่านลุงต้องมีเพียงเศษเหรียญทองแดงเป็นแน่ นอกจากนี้ไม่รู้เช่นกันว่าท่านลุงเล่นพนันมานานแค่ไหนแล้ว หากเป็นช่วงเวลาอันสั้นก็ยังพอแก้ไขให้ดีได้ แต่หากเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแล้ว อาจจำเป็นต้องให้ผู้เฒ่าซ่งสับมือ[1]เขาเสียเลย…
ด้านในโรงพนัน เต็มไปด้วยควันยาสูบคละคลุ้ง
ซ่งสวินรู้สึกเพียงแสงด้านในค่อนข้างสลัว สิ่งที่ปะทะเข้ามาตรงหน้าคือกลิ่นเหม็นเหงื่อ
บรรดาชายวัยกลางคนเกาะกันเป็นกลุ่มๆ บางส่วนส่งเสียงตะโกนด้วยความประหม่า หากไม่มีกลิ่นก็คงแปลกน่าดู
“น้องชาย ไฉนเจ้าจึงเข้ามาด้วยเล่า” ซ่งสวินหันหน้าไปมองเห็นลู่ข่าย รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อยทีเดียว
สถานที่จำพวกนี้ เป็นอะไรที่ผู้เล่าเรียนหนังสือดูถูก ไม่คิดจะย่างกรายเข้ามาด้วยซ้ำ!
“จะปล่อยให้พี่ซ่งเข้ามาคนเดียวได้อย่างไรกัน!” ลู่ข่ายค่อนข้างตื่นเต้น เขาเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ร่วมเดินหน้าทำอะไรบางอย่างกับคนอื่น!
“ท่านลุงข้าอยู่ตรงหน้า” หลังจากซ่งสวินกวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็หาตัวคนเจอ จากนั้นเร่งรีบสาวเท้าเดินเข้าไป ดึงแขนเสื้อของซ่งฝูซานและเอ่ยปากกล่าว “ท่านลุง อาอิงคอยท่านอยู่ข้างนอก นางบอกว่าหากไม่ออกไป ท่านปู่ก็จะมาที่นี่”
ซ่งฝูซานเดิมทีได้ยินไม่ชัด แต่เมื่อหันไปมองเห็นว่าเป็นซ่งสวิน ก็สีหน้าซีดเผือดในทันทีทันใด
เมื่อหวนนึกคิดอีกครั้งถึงคำพูดที่ซ่งสวินเอ่ยเมื่อครู่ ก็เบิกตาโตและสะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่ได้ “หลานสวิน นี่ข้ามาเป็นครั้งที่สองเอง! จริงๆ นะ ก็แค่อยากมามองดู ข้าเองก็ไม่มีเงินเล่นพนันด้วย!”
“…” ลู่ข่ายค่อนรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย เขายังนึกว่าคนผู้นี้จะอาละวาดใหญ่โตเสียอีก ทำไมจึงเอ่ยอธิบายกับเด็กรุ่นหลังไปเสียได้?
ซ่งสวินก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน
ท่านลุงไม่ใช่คนที่ให้ความเคารพยำเกรงเด็กรุ่นหลังประเภทนี้นี่?
“อาอิงกำลังคอยอยู่ข้างนอกขอรับ…” ซ่งสวินกล่าวทั้งที่ยังงุนงงสับสน
ซ่งฝูซานกลืนน้ำลายอย่างหวั่นเกรง มองเงินทองแดงสามสี่เหรียญที่ตนเพิ่งโยนลงไปบนโต๊ะ แต่ก็คงไม่ดีเช่นกันหากจะเอ่ยว่าให้ซ่งอิงรอเดี๋ยว ด้วยเหตุนี้จึงตัดใจแล้วกล่าว “ข้าจะออกไปกับเจ้า…เดี๋ยวนี้ละ เจ้า เจ้าช่วยอธิบายกับน้องสาวเจ้าหน่อยแล้วกันนะ!”
ความรู้สึกซ่งฝูซานที่มีต่อซ่งอิงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง
แต่ก็หวาดกลัวอยู่ด้วยเล็กน้อยเช่นกัน
หากผู้เฒ่าซ่งเป็นฮ่องเต้ชรา เช่นนั้นซ่งอิงหลานสาวคนนี้ก็เป็นประหนึ่งขันทีใหญ่หมายเลขหนึ่งที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้คอยอยู่ข้างกายฮ่องเต้ชรานั่นเอง
‘ขันทีใหญ่’ ที่ว่านี้ หลายวันก่อนเพิ่งทำให้บุตรชายเขากระเด็นออกจากตระกูลไป แล้วยังยุยงบิดาเขาให้มาตักเตือนเขาถึงตัวอำเภอ ถึงขั้นว่าเอาเงินส่วนตัวที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปจากเขาด้วย…
ซ่งฝูซานรู้สึกกระวนกระวายใจ และรู้สึกเช่นกันว่าตนออกจะซวยไปหน่อยแล้ว
เด็กสาวคนนี้จะมาตอนไหนก็ไม่มา กลับโผล่มาตอนที่เขาโยนเหรียญทองแดงลงไปแล้ว…เขายังไม่รู้เลยว่าตนเองจะชนะได้หรือไม่…
หลังเดินมุ่งหน้าออกจากห้องนั้นมาได้ระยะทางหนึ่ง ซ่งฝูซานครุ่นคิดอยู่ในสมองไม่หยุดหย่อน ตนต้องมีความดุดันของการเป็นผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดต้องขู่ให้ซ่งอิงกลัว ทำให้ซ่งอิงไม่กลับบ้านไปพูดอะไร…
แต่อย่างไรก็ตาม หลังมองเห็นแสงสว่างด้านนอก อะไรต่อมิอะไรก็เปลี่ยนไปแล้ว
ซ่งอิงเลิกผ้าคลุมหน้าที่ห้อยติดกับหมวกขึ้น แสยะยิ้มขณะมองซ่งฝูซาน “ท่านลุงช่างขยันจริงๆ นะเจ้าคะ ช่วงเวลาตอนนี้เพิ่งเลิกงานจากโรงย้อมสีนี่? อย่างน้อยท่านก็น่าจะพักผ่อนเสียหน่อยแล้วค่อยมาเล่นพนันนะเจ้าคะ”
———————————-
[1] สับมือ (剁手) เป็นการเปรียบเปรยถึง รู้ว่าตนเองอาจเสียใจภายหลัง แต่กลับยับยั้งการใช้จ่ายที่มากมายเกินไปไม่ได้ จึงมีการใช้คำว่าสับมือ มาแสดงถึงว่า หากใช้จ่ายเงินอย่างสิ้นเปลืองเกินไปอีกก็จะสับมือ เพื่อจะได้ไม่อาจใช้จ่ายเงินสิ้นเปลืองได้อีก