ตอนที่ 479 คนโง่ที่หัวแหลม
ซ่งอิงเดินช้ามาก และถือสิ่งของเอาไว้ในมือด้วยจำนวนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ถือว่าหนักเกินไป มีบางสิ่งที่นางอาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นเอาใส่เข้าไปในช่องว่างระหว่างมิติ เช่นนี้ระหว่างเดินเหินก็ไม่ถือว่ายุ่งยากเกินไป
นางเดินวกไปวนมาอยู่ตามตรอกซอกซอยและพบเห็นผู้คนน้อยลงไปทุกที จากนั้นอีกไม่นานนักก็เดินไปถึงทางตันแห่งหนึ่ง
ซ่งอิงรู้สึกเช่นกันว่าไม่ง่ายเลย
คิดไม่ถึงว่ากว่าจะหาทางตันเจอช่างยากเย็นขนาดนี้
“หลานสาว” ปรากฏว่ามีเสียงของเว่ยไฉแว่วลอยมาจากด้านหลัง เสียงนั้นเจือความหยาบกระด้างเล็กน้อย
ซ่งอิงหันหน้าไปมอง ก่อนจะนำสิ่งของวางลง “ที่แท้ก็ลุงเว่ยนี่เอง นี่ท่านช่างจิตใจดีงามเกินไปแล้วกระมัง คงมิใช่เป็นห่วงว่าข้าจะเป็นอันตรายระหว่างเดินทางอยู่แถวนี้กระมัง จึงได้เดินตามมาต้อยๆ เยี่ยงนี้”
“ช่วยแสร้งโง่ใส่ข้าให้น้อยๆ หน่อยเถอะ!” เว่ยไฉเผยสีหน้าโมโห “เอาเงินและสัญญามา!”
“จะได้อย่างไรกัน หากท่านมีความสามารถก็มาแย่งไปด้วยตนเอง เพียงแต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่านก็แล้วกัน หากแย่งไม่ได้ก็อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะ” ซ่งอิงสงบนิ่งอย่างยิ่ง
นางตอนนี้เป็นถึงคนที่มีการพัฒนาร่างกายแล้ว ไม่แน่ว่าพละกำลังนั่นจะมากกว่าหนิวต้าลี่ด้วยซ้ำ
เว่ยไฉถูกซ่งอิงหัวเราะใส่
จะกล่าวว่าแม่นางคนนี้โง่เขลา? นางเป็นคนหัวแหลมมากเสียมากกว่า หลอกเอาทรัพย์สินและบ้านของเขาไปได้แล้ว แต่หากเชยชมว่านางฉลาดเป็นกรด ก็ยังมีความโง่เขลาอยู่บ้างไม่น้อย นางคิดจริงๆ หรือว่าใต้หล้านี้ตนเองไร้เทียมทาน?
ในบริเวณรอบๆ ตรอกเล็กๆ สายนี้ไร้ผู้คน ตอนที่ผ่านมาตามทางเขามองอย่างละเอียดแล้วเช่นกัน บ้านเรือนผู้คนโดยรอบสามสี่หลังคล้ายว่าว่างเปล่าทั้งหมด และมีบ้านเก่าแก่ที่ทรุดโทรมจำนวนไม่น้อย เกรงว่าต่อให้ส่งเสียงตะโกนจนคอแตกก็ยังไม่คนน้ำใจงามผ่านมาสักคน!
เมื่อเป็นเช่นนี้ยังไม่รีบคุกเข่าอ้อนวอนอีก เอาแต่พูดจาคุยโวอยู่ได้?!
ช่างเป็นสาวน้อยที่น่าตลกสิ้นดี!
แต่ทว่า…
เว่ยไฉเลียริมฝีปาก
หลานสาวผู้นี้เสียงนุ่มนวลอ่อนโยน เกรงว่ารูปลักษณ์ก็คงไม่แย่เช่นกันกระมัง หากได้…
เว่ยไฉยิ้มเล็กน้อยอย่างหื่นกาม ภรรยาเขาผู้นั้นหนีไปพร้อมลูกแล้ว นี่ไม่ได้ลิ้มรสสตรีมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว…วันนี้อย่าโทษเขาแล้วกัน เป็นหลานสาวผู้นี้เองที่รนหาเรื่องถึงที่ สิ่งที่เขาทำก็ไม่ถือว่าเกินไปเช่นกัน ไว้เดี๋ยว…ฉุดนางเข้าไปในเรือนที่ไม่มีผู้คนบริเวณใกล้ๆ นี้แล้วกระทำเรื่องไม่ดีไม่งามสักยก…
ใช่แล้ว หลานสาวคนนี้มีเงินอยู่ในมือหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงินอีกด้วย
เมื่อคนเป็นของเขาแล้ว เงินก็ย่อมเป็นของเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดเยี่ยงนี้ เว่ยไฉก็เขยิบเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สองมือคู่นั้นถูไถกันไปมา คลี่ยิ้มมุมปากใส่ซ่งอิง
เขายื่นมือออกไปหมายคว้าจับ
เสียงดัง ‘ปึก!’ ซ่งอิงถีบเขาล้มลงกับพื้นในเท้าเดียว
เว่ยไฉยังไม่ทันเรียกสติกลับคืนมา คนทั้งคนก็ล้มหงายหลังไปแล้ว รู้สึกเพียงอวัยวะภายในแทบจะฉีกขาดก็ไม่ปาน เนื้อตัวเจ็บปวดไปหมด ถึงขั้นลุกขึ้นมาไม่ไหวด้วยซ้ำ!
ซ่งอิงเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มตาหยี จากนั้นก็เหยียบลงบนมือของเว่ยไฉด้วยเท้าสองข้าง “ลุงเว่ยไฉ ข้าให้ท่านระวังแล้วนะ ไฉนท่านจึงไม่เชื่อฟังเพียงนี้”
“เจ้า เจ้า…ซี้ด…” เว่ยไฉเจ็บปวดจนกัดฟันแน่น
“เรื่องที่ให้ท่านทำ แค่ไปจัดการให้เรียบร้อยก็พอ ขอเพียงผลลัพธ์ออกมาไม่เลวก็จะมีอาหารดีๆ ให้กินสักคำ แต่ท่านกลับกล้าดี เดินไปบนเส้นทางที่มีชีวิตดีๆ ไม่ชอบ เลือกเดินไปทางตายเสียได้ ท่านว่า หากวันนี้ข้าทำลายมือและเท้าของท่าน จะมีคนช่วยทวงความเป็นธรรมให้แก่ท่านหรือไม่” ซ่งอิงแสยะยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เว่ยไฉรู้สึกหนังศีรษะชายิบไปทันทีทันใด
มีก็บ้าแล้ว!
บริเวณนี้ไม่มีผู้คน ไม่มีใครเห็นว่านางเป็นผู้ลงมือด้วยซ้ำ!
“หลานสาว! มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา…” เว่ยไฉรีบเอ่ยปากทันควัน แต่เพิ่งสิ้นเสียงก็รู้สึกเพียงนิ้วมือเล็กๆ แว่วเสียงที่นำมาซึ่งความเจ็บปวด ก่อนเขาจะส่งเสียงร้อย ‘โอ๊ยๆ’ ดังลั่นขึ้นมาทันที
ซ่งอิงให้บทเรียนแก่เขาเล็กๆ น้อยๆ เป็นอันดับแรกแล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไปหาเรื่องร้านชุ่ยเหยียนไจ ข้าไม่สนว่าท่านจะใช้วิธีการอันใดทั้งนั้น ไว้ตอนที่ข้ามาตัวอำเภอครั้งหน้า ข้าหวังว่าในเขตตัวอำเภอนี้ผู้คนจะรู้ว่าผู้ดูแลงานในร้านรวมไปถึงผู้จัดการร้านชุ่ยเหยียนไจล้วนไม่ใช่คนดี หากพวกเขาไม่อาจดำเนินชีวิตที่ดีได้ เช่นนั้นวันคืนดีๆ ของท่านลุงก็จะมาเยือน”
เมื่อซ่งอิงพูดจบก็หันไปหยิบสิ่งของของตนเอง
จากนั้นก็นำสิ่งของเข้าไปในช่องว่างระหว่างมิติต่อหน้าต่อตาเว่ยไฉผู้นี้
ตอนที่ 480 เซียนสวรรค์
เว่ยไฉรู้สึกเพียงตนเองตาฝาดไปชั่ววูบ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในมือสตรีผู้นี้ยังถือสิ่งของพวกขนมและผ้าอะไรทำนองนี้เอาไว้ แต่ไยเพียงชั่วพริบตาเดียวสิ่งของก็หายไปแล้ว?!
สถานการณ์ต่อมาคือ จู่ๆ ก็เกินสายลมพัดผ่านมาระลอกหนึ่งอย่างกะทันหัน
สายลมเบาๆ ที่ธรรมดาในเวลานี้กลับทำให้เว่ยไฉรู้สึกถึงความน่าเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด ในชั่วพริบตาเดียวกางเกงก็เปียกชื้นไปหมด “เจ้า เจ้าเป็นตัวอะไร…”
“ท่านเห็นแล้วหรือ” ซ่งอิงเปล่งเสียงราวผีก็ไม่ปาน
“…” เว่ยไฉตระหนกตกใจ “ไม่ ไม่เห็น…ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วย! ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“เห็นแก่ความที่ท่านยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ก็จะไว้ชีวิตน้อยๆ ของท่านแล้วกัน! แต่หากท่านกล้าพูดจาเหลวไหลแพร่งพรายออกไป…” ซ่งอิงชะงักนิ่งไปทันใด “ข้าก็จะจับท่านไปตุ๋นกินเสีย”
เมื่อพูดจบ ซ่งอิงก็เดินจากไป
ทิ้งเงาแผ่นหลังที่ห้าวหาญและน่าเกรงขามเอาไว้ แต่ในความเป็นจริง ซ่งอิงที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมหน้าเกือบหลุดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้ว
ทักษะวิเศษอันเป็นตัวช่วยชั้นยอดนี้ช่างสนุกจริงๆ!
นางไม่กลัวเช่นกันว่าเว่ยไฉผู้นี้จะพูดจาเหลวไหล อย่างไรเสีย…ก็ต้องมีคนเชื่อจึงจะได้เรื่องนี่! แล้วนับประสาอะไรกับเว่ยไฉที่เพิ่งพ่ายแพ้จนสิ้นเนื้อประดาตัว หากบอกกล่าวออกไปต่อๆ กันว่าเขาบ้าแล้วและมองผิดไปยังค่อยน่าเชื่อกว่าที่บอกว่านางเป็นปีศาจตนหนึ่งเสียอีก!
ทำตัวเป็นคนชั่วร้ายก็ต้องทำตัวเป็นคนชั่วอย่างตระหนักรู้ได้ ซ่งอิงรู้สึกว่าที่ตนทำไม่ได้เกินไปเลยสักนิด
ส่วนร้านชุ่ยเหยียนไจ…ให้เจ้าคนสิ้นเนื้อประดาตัวผู้นี้ไปก่อความวุ่นวายเสียก่อนแล้วกัน
หลังทำสิ่งเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย ซ่งอิงก็ไม่ได้ลืมเรื่องหลักไปแต่อย่างใด ก่อนนางกลับไปก็ไปพูดคุยกับเจ้าของกิจการฮวาเกี่ยวกับสถานการณ์การฝากขายสบู่หอมในระยะนี้
สบู่หอมได้รับความนิยมยิ่งกว่ายาสระผม สินค้าที่ซ่งอิงเอามาส่งไม่เพียงพอให้โรงอี้จวินขายด้วยซ้ำ อย่างไรเสียตัวอำเภอแห่งนี้ก็กว้างใหญ่เพียงนี้ สิ่งของราคายี่สิบอีแปะ เป็นสิ่งที่เกือบทุกครอบครัวล้วนซื้อได้ แล้วนับประสาอะไรกับสบู่หอมก้อนหนึ่งยังใช้ได้ค่อนข้างหลายวันอีกด้วย จึงค้าขายดียิ่งขึ้น
ส่วนร้านสาขาก็ต้องเปิดอย่างแน่นอน
อีกทั้งหลังเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วงานในบ้านก็จะน้อยลงไปมาก จึงหาเวลาว่างมาได้มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมีเงินอยู่ในมือหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการขายสบู่หอมและที่คั่นใบไม้ระยะนี้ แน่นอนว่ายังไม่รวมรายรับของทางด้านเมืองยงแต่อย่างใด
ไว้เดี๋ยวให้อาสี่นำเงินมาส่งให้หน่อย หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานเพียงนี้แล้ว ทางด้านเมืองยงนั่นน่าจะทำรายรับเอาไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้วเช่นกันจึงจะถูก
ซ่งอิงมั่นใจได้ว่าขอเพียงเปิดร้านขึ้นมาไว้สักร้าน ก็จะทำให้ร้านชุ่ยเหยียนไจในตัวอำเภอนี้ถดถอยไปได้!
ซ่งอิงจึงส่งจดหมายไปให้ซ่งหม่านซานในวันเดียวกันนั้น
หลังผ่านไปอีกสามวัน ซ่งอิงก็ได้รับจดหมายตอบกลับ นอกจากนี้ ซ่งหม่านซานยังให้สหายที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้นำตั๋วเงินมามอบให้เป็นที่เรียบร้อย
“พี่ใหญ่บอกไว้ว่าหนึ่งเดือนมานี้ขายดีจริงๆ ผู้ร่ำรวยทางด้านตัวอำเภอเหมือนคนโง่เขลา พวกเราไม่ต้องกังวลใจเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังสั่งสินค้าของร้านเราเป็นระยะยาวกันอีกด้วย เถ้าแก่วางใจได้ บัดนี้ทำเงินต้นทุนคืนมาได้แล้ว และบรรดาสหายต่างก็มีเนื้อหมูให้กินกันถ้วนหน้า!” คนที่เอาเงินมาให้นามว่ากวนลี่ฉาง เป็นบุตรชายของป้ากวนที่ช่วยงานทางด้านร้านอาหารนั่นเอง
กวนลี่ฉางเลื่อมใสในตัวซ่งอิงอย่างยิ่ง
แน่นอนว่า เขาก็เคยเห็นหน้าซ่งอิงมาก่อนครั้งสองครั้ง แม้ไม่เคยพูดคุยมาก่อน แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขาที่จะเคารพนับถือเถ้าแก่ร้านผู้นี้แต่อย่างใด
พวกเขาเป็นสหายของซ่งหม่านซาน ว่ากันตามหลัก หลานสาวของสหายก็คือเด็กรุ่นหลังของพวกเขาเช่นกัน แต่มารดาเขากล่าวไว้ว่า ผู้ที่ช่วยให้มีกินมีใช้เป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง จะมองข้ามไม่ได้
พวกเขาแต่ละคนแม้ว่าปกติแล้วใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักเหตุจักผล
เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีซ่งอิงผู้นี้ แม้กระทั่งพี่ซ่งหม่านซานก็ทำได้เพียงหางานการทำอย่างซื่อตรง เดือนหนึ่งได้เงินสองสามตำลึงเงินแค่นั้น…
ต่อมา หลานสาวที่คล้ายเซียนสวรรค์ผู้นี้ก็ตกลงมาจากฟากฟ้า พวกเขาจึงมีเงินไว้ใช้จ่าย
เหนื่อยและยากเย็น แต่ก็ทำเงินได้มากเช่นกัน
บรรดาสหายอย่างพวกเขา ที่ได้มากๆ หน่อยเดือนหนึ่งประมาณสิบตำลึงเงิน ที่น้อยสุดก็ประมาณสี่ห้าตำลึงเงิน
หาเงินด้วยความสามารถของตนเองทั้งหมด ทำได้ดี ทำได้เยอะ พี่หม่านซานก็จะให้เงินมากและเห็นความสำคัญยิ่งๆ ขึ้น
พี่หม่านซานพูดไว้แล้วเช่นกันว่านี่เป็นร้านค้าแห่งแรกจึงทำเงินได้ไม่มากไปสักเท่าไร ไว้ภายภาคหน้าเปิดร้านค้าสบู่หอมนี้ทั่วหล้าแล้ว ถึงเวลาพวกเขาก็จะเป็นผู้ดูแลงานในร้านได้ด้วย!