ตอนที่ 501 ตะลีตะลาน
ดีที่ฮั่วเจ้ายวนยังคงจำได้ว่าฮั่วหรงเป็นใคร ดังนั้นนอกจากความจงเกลียดก็ยังมีความปลื้มใจด้วยเล็กน้อย
“เช่นนั้นเรื่องงานแต่งนี้ก็ไว้ค่อยว่ากันอีกทีภายภาคหน้าแล้วกัน เจ้าเลือกให้ดีๆ ก็เป็นพอ” ฮั่วเจ้ายวนพยักหน้า มองไปยังคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นพริบตาหนึ่ง สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดของผู้คนรอบข้างเช่นกัน ในเมื่อเขาลุล่วงเป้าหมายแล้ว อยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ภายภาคหน้าหากยังอยากชมดอกไม้เหล่านี้อีก ไม่ต้องมาถึงที่นี่หรอก ข้างๆ ก็คือจวนของข้า ข้าบอกกับผู้ดูแลจวนเอาไว้สักหน่อยก็สิ้นเรื่อง ต่อให้ข้าไม่อยู่ เจ้าอยากจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ก็ได้เช่นกัน”
“มิกล้ารบกวนท่านอาเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างเกรงใจ
“เป็นคนครอบครัวเดียวกัน หากเจ้าไปก่อเรื่องขายหน้าข้างนอกแล้ว เช่นนั้นก็เป็นตระกูลฮั่วข้าที่ขายหน้า” ฮั่วเจ้ายวนน้ำเสียงเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “เรื่องราววันนี้ข้าหวังว่าจะไม่มีคนนำไปป่าวประกาศสู่ภายนอกจนรบกวนความสงบของหลานสาวผู้นี้ในตระกูลข้า”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ” นายท่านผู้เฒ่าลู่ปาดเหงื่อ
แม่นางซ่งผู้นี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องอันลึกซึ้งเช่นนี้กับฮั่วเจ้ายวน เห็นได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่ถ่อมตนและไม่โอ้อวด
“เอาละ พวกเจ้ายุ่งเรื่องของพวกเจ้ากันต่อเถิด” ฮั่วเจ้ายวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจึงเดินจากไป
เขาไปแล้ว แต่ตัวตนของเขายังคงหลงเหลืออยู่มากพอตัว
เห็นเพียงคนที่ยืนอยู่ในลานบ้านนี้แทบจะคุกเข่าลงคารวะส่งคนเขากันทุกคนแล้วก็ว่าได้
ซ่งอิงอ้าปากพะงาบคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ดูค่อนข้างรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมไม่น้อยทีเดียว
คนเราช่างลึกลับซับซ้อน อิจฉาคนที่ตายจากไปแล้วจริงๆ เลย
หากตอนที่ข้ามภพมาเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวย มีหรือต้องลำบากตรากตรำเช่นนี้อีก
ต่อให้เป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง นางก็เปิดแน่บหลังทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรและลั้นลาอย่างมีความสุขได้ ไม่เหมือนตอนนี้ ทำได้เพียงมองท่านอาใต้เท้าผู้นี้ที่วางตัวเป็นผู้ปกครองตาปริบๆ
ซ่งอิงถอนหายใจ
เอาแค่พอประมาณก็แล้วกัน จะร้ายจะดีคนที่สง่างามยิ่งใหญ่ผู้นี้…ก็มีความเป็นญาติของนางครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ศัตรู จึงไม่ผิดแต่อย่างใด
อีกทั้งคนเขาเพิ่งช่วยนางระบายความโกรธเกรี้ยวอีกด้วย นางยังต้องยกนิ้วโป้งให้ด้วยซ้ำ และคงต้องกล่าวว่า ขอบคุณท่านอาใต้เท้า…
ซ่งอิงหน้านิ่วคิ้วขมวดถอนหายใจออกมา ทำให้คนตระกูลลู่ตระหนกตกใจไม่เบาจริงๆ
“แม่นางซ่ง…มีส่วนใดที่ไม่พึงพอใจหรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าลู่ยามนี้พยายามคลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน
ซ่งอิงเบิกตาเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เพียงแค่รู้สึกอ่อนใจก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”
นายท่านผู้เฒ่าลู่ยิ้มเล็กน้อย แล้วรีบเรียกผู้ดูแลจวนมาถามไถ่ เมื่อถามไถ่ก็เข้าใจเรื่องราวในงานเลี้ยงชัดแจ้งแล้วเช่นกัน ทันใดนั้นเป็นอันเข้าใจได้ว่า ทำไมใต้เท้าฮั่วที่ไม่ชอบออกมาพบเจอผู้คนมาแต่ไหนแต่ไรผู้นั้นจึงมาถึงบ้านตระกูลลู่อย่างกะทันหัน
หากเด็กรุ่นหลังในตระกูลเขาถูกคนอื่นรังแก เขาก็คงรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน!
ทันใดนั้นจึงถลึงตาใส่ลู่ข่ายเขม็ง
“แม่นางซ่ง หลานชายข้าผู้นี้ไม่ค่อยรู้ความ ท่านอย่าได้ถือโทษเอาความกันเลย นี่ก็ถึงยามเที่ยงวันแล้ว แม่นางน่าจะหิวแล้วเช่นกันกระมัง อยู่รับประทานอาหารกลางวันสักมื้อจะได้หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าลู่เอ่ยพูด
พี่น้องตระกูลกัวสีหน้าย่ำแย่ไปตามๆ กัน
ยามนี้ยังกล้าอยู่ต่ออีกเสียที่ไหนกันเล่า โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดของนายท่านผู้เฒ่าลู่ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที “ท่านปู่ลู่ น้องสาวข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าขอตัวพานางกลับก่อนเลยแล้วกันขอรับ…”
แทบจะเป็นคำพูดเดียวกับที่ซ่งสวินเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้
“ไปเถอะ” นายท่านผู้เฒ่าลู่ไม่ได้รั้งไว้เช่นกัน
ถึงขั้นรู้สึกตำหนิในใจเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ตระกูลลู่เขาเชิญคนมาร่วมงานก็เพื่อผูกมิตรไมตรี หลานชายเขาผู้นี้ไม่เคยชอบคบหาสมาคมกับผู้คนมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อมายังอำเภอหลี่แห่งนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เชิญคนมาตั้งมากมายขนาดนี้ ดังนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีส่วนที่ดูแลไม่ทั่วถึงและไม่รู้ความไปบ้าง แต่ที่ไม่รู้ความมากที่สุดก็ยังคงเป็นพี่น้องตระกูลกัวต่างหากเล่า!
ไม่ใช่เจ้าของงานที่นี่ แต่กลับทำเรื่องกำเริบเสิบสานเช่นนี้ รังแกแขกเหรื่อที่มาเยือนงานของหลานชายเสียได้!
เพียงแต่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว การมีอารมณ์ปะทะกันบ้างก็ถือว่าไม่ใช่ความผิดใหญ่โต เขาคนอายุรุ่นราวคราวนี้จะคิดเล็กคิดน้อยเอาความกับเด็กๆ ก็ไม่ดีนัก
พี่น้องตระกูลกัวเกือบตะลีตะลานเผ่นกลับไป ยังมัวคำนึงถึงสวี่ไฉเย่ว์อีกเสียที่ไหนกันเล่า
สวี่ไฉเย่ว์ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างประหม่า สีหน้าลนลาน ครั้งนี้มองดูน่าสงสารอย่างแท้จริง
ตอนที่ 502 ใจดีมีเมตตา
ใต้เท้าฮั่วผู้นี้เอ่ยกับปากแล้วว่าให้นางอยู่แต่ในบ้านสำนึกผิดเสีย เดี๋ยวคงต้องส่งคนไปแจ้งให้ตระกูลสวี่รับทราบเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่านางจะไม่ได้ออกมาอีกแล้วจริงๆ!
“แม่นาง…แม่นางซ่ง…” สวี่ไฉเย่ว์มองซ่งอิง “ล้วนเป็น…ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ขอให้ท่านช่วยอธิบายกับใต้เท้าฮั่วจะได้หรือไม่…”
“อธิบาย? เดิมทีก็เป็นเรื่องจริง เหตุใดต้องอธิบายด้วย” ซ่งอิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
การได้เกาะคนที่มีอำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็เป็นประโยชน์ดีจริงๆ
อย่างคุณหนูสวี่ท่านนี้ ยามนี้ถึงกับเผยลักษณะอย่างหนูเจอแมวก็ไม่ปาน
“แม่นางซ่ง ล้วนเป็นเพราะข้า…หวั่นกลัวไปชั่วขณะ กังวลใจว่าแม่นางหนิวจะทำลายชื่อเสียงของข้าในภายนอก ดังนั้นจึงได้พูดจาเหลวไหล…หากท่านช่วยข้า ข้ารับประกันว่าจะไม่นำเรื่องนั้นเอ่ยพูดออกไปเด็ดขาด…” สวี่ไฉเย่ว์กล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงอดหัวเราะไม่ได้
คำพูดนี้กลายเป็นการข่มขู่ไปเสียแล้ว
“เรื่องที่เจ้าพูดหมายถึง…หนิวต้าลี่เป็นปีศาจ?” ซ่งอิงเอ่ยพูดเชิงติดตลก “เห็นทีว่าคุณหนูสวี่จะยังไม่หายดีจากอาการเสียสติ กลับบ้านไปดูแลรักษาตัวให้ดีๆ เถอะ”
สวี่ไฉเย่ว์พลันเกิดความลนลานในใจ เร่งรีบเตรียมจะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ครั้นคนตระกูลลู่เห็นดังกล่าวก็รีบเอ่ยขัดทันที “เด็กสาวตระกูลสวี่ผู้นี้ ครั้งก่อนได้รับความตื่นตระหนกเข้าแล้วจริงๆ ยามนี้ก็มาก่อกวนแม่นางซ่งอีกเสียแล้ว…”
“เข้าใจได้เจ้าค่ะ คนเขามีอาการป่วยอยู่นี่” ซ่งอิงส่งเสียงหัวเราะ กวาดตามองไปยังผู้ดูแลจวนที่อยู่ด้านหลังคนนั้น ครานี้ไม่หลบซ่อนแล้วเช่นกัน เอ่ยพูดออกไปตามตรง “ท่านปู่ลู่ ข้าจะอยู่รับประทานอาหารก็ได้เจ้าค่ะ เพียงแต่ระยะนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง ไม่ทราบว่าพอจะขอให้ผู้ดูแลจวนของตระกูลท่านผู้นี้ช่วยอะไรสักอย่างได้หรือไม่เจ้าคะ”
นายท่านผู้เฒ่าลู่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หันหน้ามองไปยังผู้ดูแลงานในบ้านของตระกูลตนเอง
ผู้ดูแลงานในเรือนท่านนี้…
ไม่ใช่ข้าทาสของตระกูลเขาน่ะสิ…
“แม่นางซ่งมีบางอย่างที่ไม่รู้ จินเซียนเซิงถือเป็นแขกของตระกูลข้า เมื่อนานมาแล้วเคยช่วยงานข้าอย่างหนึ่ง จึงเชิญเขามาเป็นแขก ต่อมาภายหลังเห็นทักษะการจัดการอาหารการกินได้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งและมีความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน จึงจ้างมาทำงานบางส่วน…ไม่ถือว่าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลข้า ดังนั้น…ข้าให้คนสักสองคนให้แม่นางเลือกจะดีกว่าหรือไม่”
“ในเมื่อไม่ใช่ เช่นนั้นข้าขอถามความเห็นของเขาหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว
นายท่านผู้เฒ่าลู่รู้สึกอธิบายไม่ได้ในใจ
หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้ฐานะตัวตนของแม่นางซ่งผู้นี้ เขาจะไม่แยแสคำขอนี้แต่อย่างใด
ทว่าตอนนี้แตกต่างไปแล้ว ย่อมไม่คิดว่าแม่นางผู้นี้ดูเสียมารยาทไปหน่อยเป็นธรรมดา
จินเซียนเซิงเดินเข้ามาแล้วคารวะให้นายท่านผู้เฒ่าลู่ “ข้าดีใจอย่างยิ่งที่จะได้ช่วยเหลือแม่นางซ่ง”
นายท่านผู้เฒ่าลู่ตกตะลึงเล็กน้อย “เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อเซียนเซิงยินยอม ข้าก็ย่อมไม่ขัดขวางเช่นกัน”
ซ่งอิงถอนหายใจ
แท้จริงแล้วการใช้อำนาจก็เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ใช้การได้ดีกว่าเงินเสียด้วยซ้ำ
เมื่อซ่งอิงบรรลุเป้าหมายแล้วจึงกล่าวลา ซ่งสวินงุนงงไปหมด ตั้งแต่ต้นจนท้ายสุดกลับไม่ได้เอ่ยวาจาเลยสักประโยค ในมุมมองเขา น้องสาวพบเห็นอะไรต่อมิอะไรมามากกว่าเขา การตัดสินใจอะไรก็ตามย่อมมีเหตุผลของนาง เขาไม่จำเป็นต้องแทรกแซงแต่อย่างใด
ส่วนคนตระกูลลู่ หลังจากซ่งอิงไปแล้วก็ยังคงรู้สึกเหมือนฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
โดยเฉพาะลู่ข่าย ยามนี้ถึงขั้นไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรหงุดหงิดใจ
สหายคนสนิทมีที่พึ่งพิงอันยิ่งใหญ่ นั่นถือเป็นการเชิดหน้าชูตาอย่างใหญ่หลวง แต่…ที่พึ่งพิงอันยิ่งใหญ่ท่านนั้นช่างดุไปหน่อย พูดจาไม่กี่ประโยคก็วิจารณ์เขาเสียจนหมดเปลือก เล่นเสียเขาไม่มีหน้าพบเจอผู้คนเลยก็ว่าได้…
“ท่านปู่…” ในใจลู่ข่ายค่อนข้างรู้สึกย่ำแย่
“เจ้าเองก็ไม่ต้องเสียใจไป เมื่อครู่ท่านผู้นี้เพิ่งไว้หน้าเจ้าแล้ว มิเช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงมุ่งมาที่งานเลี้ยงของเจ้าว่าเป็นส่วนที่ทำให้คนของเขาขายหน้า และสรรหาเหตุผลมาปะปนให้ครอบครัวพวกเราไม่เป็นอันสงบสุขจนได้” นายท่านผู้เฒ่าลู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ได้ยินมานานแล้วว่าอ๋องอู่เฉินใจดีมีเมตตา บัดนี้ได้เห็น ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องโกหกเช่นกัน”
“นี่ยังถือว่าใจดีมีเมตตาด้วยหรือ” ลู่ข่ายเบิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าก็ไม่ใช่ไม่เคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน เมืองหลวงทางด้านนั้น ตราบใดที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเชื้อพระวงศ์อยู่บ้าง ใครบ้างไม่หยิ่งยโสและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ใต้เท้าฮั่วแม้ว่ากล่าวเจ้าสองสามประโยค แต่กลับมีเหตุผล บัดนี้เจ้าอายุเท่านี้แล้ว เรียกได้ว่าความรู้ความสามารถเหลือล้น แต่กลับไม่มีเกียรติคุณสักอย่าง มองผิวเผินคนอื่นชื่นชมและยกยอปอปั้นเจ้า แต่ในใจก็จะคิดว่าเจ้าไม่ได้มีความรู้ความสามารถโดยแท้จริง ก็แค่แสร้งวางมาดบาตรใหญ่ไปเท่านั้น หลานเอ๋ย หากเจ้าอยากเป็นคนที่เชิดหน้าเชิดตาได้ ก็ต้องพึ่งพาตนเอง คว้าเอาเกียรติคุณอันทรงคุณค่ามาให้ได้จึงจะถูก!”