ตอนที่ 467 ครอบครัวกลมเกลียว
ซ่งอิงกวาดตามองบริเวณพื้นที่โล่งในบ้านตระกูลลู่พริบตาหนึ่งและไม่ได้พูดอะไรอีก
จากนั้นไม่ทันไร ลาก็เดินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งซ่งสวินกลับไปยังบ้านในตัวอำเภอ
บ้านที่ตระกูลซ่งซื้อเอาไว้ในตัวอำเภอแห่งนี้แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับเรือนหลังโตโอ่อ่าของตระกูลลู่ เรือนหลังนี้ก็แค่บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ของถนนทิศเหนือ ครอบครัวผู้คนโดยรอบต่างก็เป็นผู้หาเช้ากินค่ำ เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยถึงขั้นว่ายังมองเห็นซ่องนางโลมที่ไม่ค่อยถูกต้องตามระเบียบแห่งหนึ่งอีกด้วย
ดังนั้นทุกครั้งซ่งอิงจึงไม่ได้อยู่นานนัก
ขณะนี้ก็เช่นกัน หลังส่งเขาเป็นที่เรียบร้อย นางไม่แม้แต่จะเข้าประตูบ้านก็เหยียบย่างไปบนเส้นทางกลับหมู่บ้านเสียแล้ว
ก่อนกลับหมู่บ้าน ซ่งอิงไปยังร้านตีเหล็กแล้วซื้อเอามีดตัดกระดูกมาใหม่หนึ่งเล่มเป็นการเฉพาะ
จากนั้นก็ไปร้านขายเนื้อที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซื้อเอากระดูกสองชิ้นใหญ่กับของเล็กๆ น้อยๆ จำนวนหนึ่ง
ต้าไป๋ของนางวิ่งอย่างรวดเร็ว ทว่าระหว่างทางก็มองไม่เห็นซ่งฝูซานแต่อย่างใด คนผู้นี้ไม่แน่ว่ายังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตามทางตรงไหนสักแห่ง
และก็เป็นอย่างเช่นที่ซ่งอิงกล่าว ซ่งฝูซานครั้งนี้ไม่มีเงินแล้วจริงๆ ไม่เหลือแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว
เมื่อไม่มีเงินเช่ารถเกวียนวัวก็ทำได้เพียงหันกลับไปหายืมเงินคนอื่นอีกครั้ง แต่เมื่อครู่คนที่อยู่ในโรงย้อมสีล้วนเห็นว่าเขายืมเงินไปแล้ว ในช่วงเวลาอันสั้นเพียงนี้ก็กลับมาอีกครั้ง เป็นเหตุให้ผู้คนซักถาม ดังนั้นเขาทำได้เพียงเดินอ้อมแล้วไปหาสหายคนสนิทที่อยู่ในอำเภอเพื่อยืมเงินสักห้าหกเหรียญทองแดง
เพื่อสิ่งนี้ กว่าจะได้มาท้องนภาก็ใกล้ตกเย็นแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดของซ่งอิง เขาจึงรีบร้อนกลับไปบ้านโดยไม่กล้าหยุดพัก
ไม่รู้เช่นกันว่าเด็กสาวผู้นั้นพูดถึงเขาเสียๆ หายๆ ต่อหน้าผู้เฒ่าซ่งไว้อย่างไรบ้าง
ซ่งอิงไม่ได้รีบร้อนฟ้องเรื่องราวแต่อย่างใด
การแทงข้างหลังไม่เหมาะกับนาง นางจำเป็นต้องรอให้คู่กรณีมาถึงแล้วค่อยเอ่ยปาก ถึงเวลาจะได้เผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้า
ซ่งเหล่าเกินมองออกว่าซ่งอิงมีเรื่องราวบางอย่าง
แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้คืออะไร จึงแอบขบคิดอย่างหนักอยู่ในใจ
“ไฉนวันนี้จึงนึกซื้อกระดูกชิ้นใหญ่มาเสียได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกกับเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่ามากินข้าวที่บ้านไม่ต้องให้เจ้าซื้อของเหล่านี้มา เดี๋ยวคนอื่นจะเกิดความคิดต่างๆ นานาขึ้นมาอีก” ซ่งเหล่าเกินบ่นกับซ่งอิงเช่นเคย
คนอื่นที่เขาพูดถึงนั้น แน่นอนว่าคือบรรดาลูกสะใภ้ในตระกูลซ่งนั่นเอง
ซ่งอิงออกเรือนไปแล้ว หากวันๆ เอาแต่ส่งของดีๆ มาให้ทางด้านตระกูลฝั่งมารดา เมื่อเวลานานวันเข้าบางคนอาจเคยชินคิดว่านี่เป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้ว
ซ่งเหล่าเกินไม่ยินดีที่จะเอาเปรียบด้วยเรื่องประเภทนี้เช่นกัน
“วันนี้กระดูกชิ้นใหญ่นี่เอาไว้มอบให้ท่านลุงเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ” ซ่งอิงพูดหน้าตาเฉย
เจียวซื่อเพิ่งเดินพ้นประตูเข้ามา เตรียมใจไว้เรียบร้อยว่าจะถามไถดูเสียหน่อยว่ากระดูกนี้ซ่งอิงอยากเอามาทำอะไรกิน ใครจะรู้ว่ากลับได้ยินคำพูดนี้เข้าหู ทันใดนั้นจึงรู้สึกผิดหวังไปเล็กน้อย
จะอย่างไรก็คิดไม่ตกว่า ตนมีตรงไหนให้ชวนรังเกียจอีกแล้วหรือ
“เอ้อร์ยา ข้าก็ไม่ได้อยากได้กระดูกชิ้นใหญ่สองชิ้นนี้หรอก เดิมทีก็แค่อยากเอามาทำให้เจ้าและท่านปู่เจ้ากิน ไฉน…จึงเอามอบให้เหล่าต้าเสียได้” เจียวซื่อครุ่นคิด แต่ด้วยความที่ทำใจยอมรับไม่ค่อยได้จึงเอ่ยถามขึ้นในท้ายที่สุด
ซ่งอิงปรายตามองเจียวซื่อแวบหนึ่ง
เห็นเพียงบัดนี้เจียวซื่อสวมอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งชุด บนศีรษะยังคงเป็นปิ่นไม้เล่มหนึ่ง แต่รูปแบบดูงดงาม
บนใบหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมากด้วยเช่นกัน ไม่เหมือนเช่นเมื่อก่อนที่มองดูแล้วห่อเหี่ยว
ตัวเจียวซื่อเองได้สวมเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว ดังนั้นเสื้อผ้าที่มอบให้บรรดาบุตรชายก็คงจะไม่ขาดวิ่นอีกแล้วแน่นอน นางเกือบบรรลุเป้าหมายพื้นฐานแล้วก็ว่าได้
“ไว้รอถ้าลุงกลับมาแล้วท่านก็จะรู้เองเจ้าค่ะ อาสะใภ้สาม ถึงเวลาต่อให้ข้ามอบกระดูกนี้ให้ท่าน ท่านก็คงไม่อยากจะได้แล้วละเจ้าค่ะ” ซ่งอิงยิ้มกริ่ม
ถึงเวลาคงชวนให้รู้สึกค่อนข้างอนาถทีเดียวเชียวละ
เจียวซื่อพลันตกใจ นึกถึงยามซ่งอิงต่อกรกับเผยซื่อตอนนั้น
ทันใดนั้นก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
ระยะนี้ในบ้าน…ก็ค่อนข้างกลมเกลียวกันดีนี่?
บรรดาลูกหลานเชื่อฟัง ซานยาก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างไม่บ่นอิดออด ตอนอยู่กับเอ้อร์ยาทางด้านนั้นยังรู้จักช่วยเอ้อร์ยาทำงานอีกด้วยเล็กน้อย รู้ความเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทั้งที่รู้ว่าสถานการณ์ในครอบครัวตนเองตอนนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว แต่เจียวซื่อยามนี้สบเข้ากับสายตาของซ่งอิง กลับรู้สึกไม่ค่อยมีความมั่นใจเช่นนั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ
เจียวซื่อเดินออกมาจากในเรือนหลังกลางอย่างงุนงงสับสน มองเห็นเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็กล่าวพึมพำขึ้นมา “พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ข้ามองเห็นเอ้อร์ยา ไฉนจึงมีความรู้สึกประเภทที่ข้ามองเห็นย่าในตระกูลฝั่งมารดาผู้นั้นของข้าไปเสียได้”
ตอนที่ 468 ข้าผิดไปแล้ว
ตอนที่หญิงชราของตระกูลมารดาเจียวซื่อผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็คือหญิงปากตลาดที่ร้ายกาจผู้หนึ่ง กดขี่ข่มเหงลูกสะใภ้และดูถูกดูแคลนหลานสาว
ตอนที่เจียวซื่อยังเด็ก ถูกย่าของนางผู้นั้นเพ่งเล็งเป็นพิเศษไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งต้องหิวท้องกิ่วแล้วยังไม่กล้าบอกกล่าว
ตอนนี้มองเห็นซ่งอิง นึกไม่ถึงว่านางจะเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาจากลึกๆ ในใจ ลิ้นแทบจะพันกันแล้วก็ว่าได้!
“เจ้าเพิ่งมีความรู้สึกเช่นนี้ในตอนนี้เองหรอกหรือ” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่มองน้องสะใภ้แวบหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ตอนที่เอ้อร์ยาพูดคุยกับบิดาฝั่งตระกูลข้า ข้าก็รู้สึกแล้วว่านางไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าเคยเห็นเด็กสาวพูดคุยกับปัญญาชนเป็นเรื่องเป็นราวได้สักกี่คนเชียว”
“เอ้อร์ยาก็เคยเล่าเรียนหนังสือมาเช่นกันนี่ พูดคุยกันได้ก็ไม่เห็นจะแปลก?” เจียวซื่อกล่าว
“พ่อข้าอายุปูนนี้แล้ว คนหนุ่มสาวสักกี่คนจะยินดีฟังคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมา แต่เอ้อร์ยากลับรู้สึกว่าพ่อข้าพูดจามีเหตุมีผล อีกทั้งเจ้าไม่เคยเห็นใช่หรือไม่ พ่อสามีเราเหมือนหลานชายคนหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเอ้อร์ยาเข้าไปทุกที…” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตนพูดเกินไปหน่อยแล้ว จึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เอ้อร์ยาให้ยืมเงินได้ทันการณ์จึงช่วยชีวิตพ่อสามีเราไว้ได้ ปัจจุบันก็ช่วยให้เราแต่ละครอบครัวมีทักษะฝีมือติดตัว ก็ด้วยสองประเด็นนี้ พ่อเฒ่าก็ไม่อาจไม่ไว้หน้านางได้แล้ว”
“นี่ยังดูเป็นหลานสาวเสียที่ไหนกันเล่า…นี่เป็นผู้ปกครองทั้งวงศ์ตระกูลด้วยซ้ำ” เจียวซื่ออ้าปากเล็กน้อย
“แล้วเจ้าไม่ชอบผู้ปกครองวงศ์ตระกูลเช่นนี้หรือไร” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน
“ชอบสิ” เจียวซื่อตอบกลับตามจิตใจสำนึก
เมื่อพูดจบตนถึงกับนิ่งอึ้งไป
ชอบที่ซ่งอิงทำให้นางหาเงินได้หรือ จะว่าเช่นนี้ก็ไม่ได้เสียทีเดียว
นางเพียงแค่รู้สึกว่านับแต่เอ้อร์ยากลับมาบ่อยครั้ง และหลังจากข้องเกี่ยวกับพวกเขาตระกูลซ่งหลายครั้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านก็เปลี่ยนไป
ผู้เฒ่าซ่งไม่เข้าข้างครอบครัวบุตรคนโตอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นแล้ว เริ่มมีเหตุมีผล เด็กๆ ในครอบครัวก็โดดเด่นมากความสามารถขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังรู้ความและมีมารยาทอย่างยิ่ง ชวนให้ผู้คนมองเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบ
เมื่อก่อนลูกอู่ของครอบครัวนางก็เป็นคนหนึ่งที่ซื่อบื้อ ซานยาก็เป็นคนหนึ่งที่ป้ำๆ เป๋อๆ
ปัจจุบันรู้จักพูดจาหวานๆ กับเขาขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ทั้งที่ชีวิตยังคงวุ่นวายและยากลำบากเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่นางกลับรู้สึกว่าเรื่องราวมากมายแตกต่างไปแล้ว แต่ก็บอกไม่ถูก
“ช่างเถอะ” เจียวซื่อไม่อยากคิดแล้วเช่นกัน “เอ้อร์ยาบอกว่ากระดูกชิ้นใหญ่จะเอาไว้ให้บ้านเจ้า ไม่รู้เช่นกันว่าเพื่ออันใด ข้าไปต้มน้ำแกงไข่ไก่สักอย่างก็แล้วกัน”
ไม่มีน้ำแกงจากกระดูกหมู เช่นนั้นเอาเป็นผักกวางตุ้งและไข่ไก่ก็ได้เช่นกัน ตีไข่ไก่สองฟองก็ทำน้ำแกงออกมาได้หนึ่งชามใหญ่ๆ แล้ว…
เจียวซื่อครุ่นคิดดูอีกครั้ง ระยะนี้ในครอบครัวก็มีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ ชีวิตสุขสบายขึ้นมากแล้ว ข้าวสารและแป้งสาลีที่อยู่ในบ้านก็ไม่ต้องใช้อย่างกระเหม็ดกระเเหม่ขนาดนั้นแล้วเช่นกัน วันนี้ซ่งอิงมาเยือนทั้งที ทั้งยังถึงคราวที่บ้านนางเป็นฝ่ายทำกับข้าว จะให้ขายหน้าไม่ได้เชียว เดี๋ยวสามีจะว่านางทำไม่ดีอีก
ดังนั้นเจียวซื่อจึงนานๆ ทีใจกว้างด้วยการหุงข้าวขาวหนึ่งหม้อใหญ่ๆ!
หุงออกมาได้ลักษณะขาวผ่องดังหิมะก็ไม่ปาน แม้แต่ตัวนางมองดูแล้วยังอึ้งทึ่งและค่อนข้างสงสัยในตัวเองว่าเสียสติไปแล้วหรือไม่
ข้าวและน้ำแกงบ้านสามเป็นผู้ตระเตรียม แต่บ้านใหญ่และบ้านสองก็จะสลับหมุนเวียนเอากับข้าวมาด้วยอย่างสองอย่าง จากนั้นก็ยกมายังที่ผู้เฒ่าซ่งอยู่แล้วรับประทานอาหารด้วยกัน
ยามที่พวกเขาเตรียมเริ่มกินข้าว ซ่งฝูซานก็มาถึง
ซ่งอิงมองไปยังดวงตะวัน จากนั้นยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะจับจ้องซ่งฝูซานที่เดินพ้นประตูเข้ามา
ซ่งฝูซานนึกคิดในใจ ซ่งอิงต้องนำเรื่องเขาบอกกล่าวไปแล้วเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง ‘ปึก’ ทันทีที่เหยียบพ้นประตูเข้ามา
“ท่านพ่อ! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ครั้งหน้าข้าไม่กล้าทำแล้วโดยเด็ดขาด!” ซ่งฝูซานเอ่ยปากก็พร่ำพูดทันควัน
เป็นผลให้ซ่งเหล่าเกินตระหนกตกใจ ข้าวและอาหารตรงหน้าพลันหมดความหอมหวนไปทันที
“เรื่องอะไร เจ้าทำผิดอันใดแล้ว” ซ่งเหล่าเกินชักสีหน้าเย็นชา
มิน่าล่ะ วันนี้ตอนที่เอ้อร์ยามาจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมชวนตกใจ เขาขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน กระสับกระส่ายในจิตใจ ครุ่นคิดอยู่ในสมองว่าหรือหลานเสี่ยนทางด้านนั้นก่อปัญหาอะไรขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่ ใครจะรู้ว่ากลับเป็นเรื่องของบุตรชายคนโตเสียนี่?!