ตอนที่ 499 จริงหรือ
ซ่งอิงเอือมระอา แสร้งทำเป็นไม่หือไม่อือ ยืนนิ่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง ไม่เอ่ยวาจาใดๆ แม้แต่ประโยคเดียว
นางเป็นคนทระนงในเกียรติศักดิ์ศรี การประจบสอพลอต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนั้นไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
“ได้ยินว่าเมื่อครู่หลานสะใภ้ข้ามีปัญหาขัดแย้งกับแขกเหรื่อสามท่านจากจวนผู้สูงศักดิ์แล้วหรือ” ฮั่วเจ้ายวนไม่รู้เช่นกันว่าตนหงุดหงิดมาจากไหน จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ข้าในฐานะผู้อาวุโส จะให้ลูกหลานตระกูลตัวเองรังแกคนอื่นก็ไม่ดีนักเช่นกัน ไม่ทราบว่าจะเชิญทั้งสามท่านนั้นมาถามไถ่ดูเสียหน่อยได้หรือไม่ หากมีส่วนใดที่ทำไม่ถูก ข้าจะได้ขออภัยพวกเขา”
“…” นายท่านผู้เฒ่าลู่ริมฝีปากสั่นระริก
อ๋องอู่เฉินเป็นท่านอ๋องที่ทั้งน่าสงสารทั้งน่ากลัวที่สุดตั้งแต่รัชสมัยต้าติ้งมีมา
ตระกูลฮั่วเป็นถึงวงศ์ตระกูลใหญ่โตในรัชสมัยก่อน ยามที่กำจัดราชวงศ์ก่อนสูญสิ้น ตระกูลฮั่วมีส่วนสร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ตอนนั้น ผู้นำตระกูลฮั่วยังคงเป็นเพียงจอมพลทหารม้า ต่อมาภายหลังยามที่ฮั่วเจ้ายวนถือกำเนิด ทั้งวงศ์ตระกูลฮั่วถูกใส่ร้ายป้ายสี บุรุษทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในวงศ์ตระกูลถูกลงทัณฑ์ประหาร สตรีถูกจับเป็นโสเภณี แต่อาจารย์แห่งตระกูลฮั่วช่ำชองทางป่าเขา ค่ำคืนนั้นที่ได้ยินข่าวคราว สตรีแปดส่วนของวงศ์ตระกูลก็ลงมือปลิดชีพตัวเอง
ที่เหลือสองส่วน ต่อมาต่างก็ถูกกดขี่ทารุณจนถึงแก่ความตาย ยกเว้นก็แต่เหล่าไท่จวินผู้นั้น นางได้รับการปกป้องจากคุณงามความดีของสามีที่ล่วงลับ จึงได้รับการเว้นชีวิตและได้รับการดูแลอยู่ในเมืองหลวง
ฮั่วเจ้ายวนพลัดพรากไปอยู่ภายนอกตั้งแต่เล็ก ได้รับการเลี้ยงดูคนใต้บัญชาในตระกูลจนเติบใหญ่ แต่โลหิตของตระกูลฮั่วยังคงไหลเวียนอยู่ในร่าง ต่อมาก็สร้างคุณงามความดีได้อีก ตระกูลฮั่วพลิกฟื้นมามีอำนาจอีกครา วันนั้นที่กลับมาตั้งตัวได้ ท่านผู้นี้ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องอู่เฉิน แต่อ๋องอู่เฉินผู้นี้ยังไม่ทันได้ตอบแทนคุณเหล่าไท่จวิน อีกฝ่ายก็ล่วงลับไปเสียแล้ว
ดังนั้นชีวิตก็ยิ่งแข็งกร้าวขึ้น
ทั้งวงศ์ตระกูลก็มีแค่เขาตัวคนเดียว ย่อมต้องน่าสงสารเป็นธรรมดา
แต่มีความดีความชอบของบรรพบุรุษ รวมไปถึงความอยุติธรรมที่เคยได้รับคอยปกป้องอยู่ ขอเพียงฮั่วเจ้ายวนไม่ก่อกบฏ ทั้งชั่วชีวิตก็จะสูงส่งสง่างาม ต่อให้เหล่าท่านอ๋องในตระกูลเชื้อพระวงศ์เห็นเขา การแสดงออกภายนอกก็ต้องให้ความเกรงอกเกรงใจเพื่อที่จะไม่ทำร้ายใจของคนทั่วทั้งใต้หล้าเช่นกัน
แต่ตอนนี้ คนลักษณะเช่นนี้มาค้างอยู่ตรงหน้าประตูบ้านเขา ไม่ก้าวเดินเข้ามา แล้วยังเรียกหาเด็กรุ่นหลังหมายกล่าวขอโทษอีก…
นายท่านผู้เฒ่าลู่จะทำอย่างไรได้หรือ นอกเสียจากให้คนไปเชิญมา
ยามที่คุณหนูสวี่และพี่ชายน้องสาวจากตระกูลกัวมาเยือนล้วนงุนงงไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ท่านปู่ลู่…นี่คือ…” คุณชายกัวขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านผู้นี้เป็นอาของแม่นางซ่ง…และก็เป็นใต้เท้าฮั่วผู้ที่อยู่จวนข้างๆ กันนี้ เขาเชิญพวกเจ้ามาเพราะอยากถามไถ่ดูหน่อยว่า…เมื่อครู่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจจากความไม่เป็นธรรมอันใดแล้วหรือไม่…” นายท่านผู้เฒ่าลู่ถึงขั้นรู้สึกละอายใจในสิ่งที่ตนเอื้อนเอ่ย
นี่เป็นการมาเอาเรื่องเอาราวกันเห็นๆ
คุณชายกัวตะลึงงันไปในทันที
ส่วนคุณหนูสวี่และคุณหนูกัวพลันเงยหน้ามองไปตามสัญชาตญาณทันใด
เห็นเพียงใต้เท้าฮั่วผู้นี้ลักษณะเพิ่งยี่สิบกว่าๆ มองดูยังหนุ่มอย่างยิ่ง! จึงรู้สึกค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
“ไม่ทราบว่าหลานสาวที่โง่เขลาของข้าผู้นี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ทั้งสามท่านอย่างไรหรือ” ฮั่วเจ้ายวนสีหน้าเรียบเฉย มองดูคล้ายไม่มีแรงอาฆาตแต่อย่างใด
ซ่งอิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เรียนฮั่วต้าเหริน ข้าเพียงแค่มีความขัดแย้งบางอย่างกับแม่นางซ่งเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” คุณหนูกัวสมองใช้การไม่ค่อยดี และรู้สึกวิตกกังวลในใจด้วยเช่นกัน จึงกล่าวอย่างไม่ทันคิด เมื่อเอ่ยพูดจบก็เสริมขึ้นมาอีกประโยค “เมื่อครู่แนะนำแม่นางซ่งผู้นี้ซึ่งเป็นแม่ม่ายให้ระมัดระวังชื่อเสียงเอาไว้หน่อย เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่เอาไปพูดให้มากความ อย่างไรเสีย ณ ที่นี้…ก็แทบจะเป็นบุรุษที่ยังไม่ได้หมั้นหมายเกือบทั้งหมด หากอยู่ใกล้เกินไปจะดูไม่ดีอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง” ฮั่วเจ้ายวนพยักหน้า ก่อนมองไปยังสวี่ไฉเย่ว์แล้วกล่าว “เจ้าก็เกิดความขัดแย้งกับนางด้วยเหตุนี้เช่นกันหรือ”
สวี่ไฉเย่ว์ลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า “เจ้าค่ะ”
“เห็นทีว่าทั้งสองท่านล้วนเป็นแม่นางที่รู้จักขนบธรรมเนียมและมารยาทกันทั้งนั้น” ฮั่วเจ้ายวนน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากนี้ทั้งสองก็อย่าได้ออกจากเรือนมาเลย บุรุษตามท้องถนนตั้งมากมายเพียงนี้ พูดมากความไปก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเช่นกัน นั่นไม่ค่อยดีเอาเสียเลย”
“หา?” ทั้งสองคนล้วนนิ่งอึ้งไป
“คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่ไม่เอาไหนจากตระกูลข้าผู้นี้จะทำให้ทั้งสามท่านซึ่งเป็นคนนอกต้องเดือดเนื้อร้อนใจเสียแล้ว เห็นทีว่าข้าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทำไม่ถูก” ฮั่วเจ้ายวนแสยะยิ้มเย็นชา “ซ่งซื่อ ใต้หล้านี้มีบุรุษที่เจ้าถูกตาต้องใจแล้วหรือไม่ หากมี ข้าจะตัดสินใจเพื่อเจ้าเอง และรับปากเจ้าเลยว่าจะจัดเตรียมสินเดิมให้เจ้าออกเรือนอย่างอู้ฟู่ หากใครคิดว่าเจ้าไม่ยอมอยู่เป็นแม่ม่าย ข้าก็จะช่วยจัดการนางแทนเจ้าเอง”
“จริงหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงคลี่ยิ้มอ่อนแล้วเอ่ยถามอย่างให้ความร่วมมือ
ตอนที่ 500 ไยต้องกังวล ไยต้องแค้นเคือง
ซ่งอิงเพิ่งเอ่ยถ้อยคำออกมา ก็มองไปยังฮั่วเจ้ายวนอย่างอึดอัด
นางไม่ได้อยากแต่งงานกับใครเสียหน่อยนี่! แต่ทว่าสินเดิมอย่างอู้ฟู่ที่ว่านี้ฟังดูล่อใจมาก จะโทษนางที่นางได้ยินแล้วดีอดดีใจขึ้นมาชั่วขณะก็ไม่ได้เช่นกัน
ฮั่วเจ้ายวนมองนางพริบตาหนึ่งด้วยแววตาสับสน
เด็กสาวผู้นี้ดีใจถึงเพียงนี้ หรือว่ามีคนที่ถูกตาต้องใจแล้ว
ฮั่วเจ้ายวนมองลู่ข่ายปราดหนึ่งหนึ่งอย่างพิจารณา
นับแต่ครั้งก่อน หลังเข้าใจอาสี่ของซ่งอิงผิดไป ฮั่วเจ้ายวนก็ให้คนตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นยามนี้ก็รู้เช่นกันว่าข้างๆ ซ่งอิงท่านนั้นคือซ่งสวินพี่ชายของนาง ฉะนั้นยกเว้นซ่งสวิน บุรุษที่อยู่ ณ สถานที่นี้ในวันนี้ล้วนน่าสงสัยอย่างยิ่ง
แต่จะอย่างไรคนตระกูลลู่ก็คือผู้จัดงานเลี้ยงครานี้ ดังนั้นลู่ข่ายมีความเป็นไปได้มากที่สุด
ลู่ข่ายรู้สึกเพียงขนลุกชันไปทั่วทั้งตัวเมื่อถูกฮั่วเจ้ายวนจับจ้อง
ฮั่วเจ้ายวนขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
“คุณชายลู่ตอนนี้มีเกียรติศักดิ์แล้วสินะ” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยน้ำเสียงเรียบเฉย
ลู่ข่ายเบิกตาขึ้นเล็กน้อย “ยังขอรับ…”
“ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้ารู้ประสีประสาตั้งแต่สี่ขวบ หกขวบก็แต่งบทกวีได้แล้ว เป็นเด็กที่เก่งกาจอย่างยิ่งคนหนึ่ง ไฉนอายุปานนี้แล้วยังไม่มีเกียรติศักดิ์เลยสักอย่าง” ฮั่วเจ้ายวนตัดลู่ข่ายออกจากใจเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นมองไปยังซ่งอิงปราดหนึ่งอย่างตักเตือน
ลู่ข่ายผู้นี้ยังสู้พี่ชายซ่งอิงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ซ่งสวินผู้นี้เรียนมาไม่กี่ปี มิหนำซ้ำยังเคยทิ้งช่วงการเรียนไปเป็นเวลาไม่น้อย บัดนี้ดูลักษณะอย่างคนเล่าเรียนหนังสือมากกว่าลู่ข่ายเล็กน้อยก็ว่าได้
ส่วนลู่ข่ายเล่า ทั้งเนื้อตัวตั้งแต่บนจรดล่าง นอกจากลักษณะท่าทางที่โอหังอวดดีเล็กน้อย ดูควรค่าแก่การฝากฝังชีวิตไว้เสียที่ไหนกัน
ในฐานะบุรุษ อายุสิบหกสิบเจ็ดปีแล้วยังไม่รู้จักอะไรสำคัญไม่สำคัญเช่นนี้ เห็นๆ อยู่ว่ามีความรู้ความสามารถกลับยังคงพึ่งพิงในครอบครัว เด็กไม่รู้จักโต ช่างไม่คู่ควรเอาเสียเลยจริงๆ!
ลู่ข่ายพลันตระหนกตกใจ
เขาเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ถูกคนดูถูกเช่นนี้…
แต่เขาก็ไม่กล้าโต้กลับ!
สีหน้าเขาแดงก่ำขึ้นมา
“ข้าคิดว่าคุณชายกัวไม่เลว” ซ่งอิงยิ้มอย่างแฝงเจตนาร้ายไปที่กัวอั๋ง
ครั้นกัวอั๋งผู้นั้นได้ยิน คางถึงกับสั่นเทาและเกือบหลุดลงมาก็ว่าได้!
ไยต้องกังวล ไยต้องแค้นเคืองไปด้วยเล่า!
ใต้เท้าฮั่วพูดไว้แล้วว่ายินยอมเตรียมสินเดิมอย่างอู้ฟู่เอาไว้ให้ เกิด…ใต้เท้าผู้นี้บีบบังคับให้เขาสู่ขอแม่ม่ายผู้นี้ขึ้นมาจริงจะทำอย่างไร!
กัวอั๋งสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ซ่งสวินกระตุกชายแขนเสื้อของซ่งอิง
ฮั่วเจ้ายวนไม่แม้แต่จะมองกัวอั๋งผู้นั้น เอ่ยพูดออกมาตรงๆ “นี่คงมิได้ เจ้าเป็นคนของตระกูลฮั่วข้า ในเมื่อจะแต่งงานใหม่อีกก็ควรหาบุรุษสักคนที่มากความสามารถและเพียบพร้อมด้วยศิลปะการต่อสู้ ตระกูลกัวฐานะต่ำต้อยเกินไป อีกทั้งหญิงที่คนตระกูลนี้อบรมออกมาก็ไม่เห็นคนอื่นในสายตาเลยเช่นนี้ เห็นได้ว่าการอมรมสั่งสอนในตระกูลไม่ดี”
สายตาของคุณหนูซ่งผิดปกติไปแล้วใช่หรือไม่
จึงได้เลือกคนที่ไม่เอาไหนเลยสักคน ลู่ข่ายสู้ซ่งสวินไม่ได้ ส่วนคนแซ่กัวผู้นี้ยังเทียบกับลู่ข่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อคุณหนูกัวได้ยินคำพูดดังกล่าวถึงกับเกือบเป็นลมล้มพับ
นางจบสิ้นกันพอดี
ถูกใต้เท้าวิจารณ์เช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ หลังจากนี้นาง…ยังจะออกเรือนได้อย่างไรอีก!
จะแต่งให้กับลู่ข่ายยิ่งไม่ต้องพูดถึง!
คุณหนูสวี่เนื้อตัวสั่นเทา พยายามลดการมีตัวตนของตัวเอง ยามนี้ไม่แม้แต่กล้าพูดจาให้มากมาย อยากจะสังหารซ่งอิงให้ตายๆ ไปเสียแทบแย่
ทั้งที่เป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ไฉนจึงรู้จักบุคคลใหญ่โตเช่นนี้ได้เล่า!
ส่วนกัวอั๋งรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรืออึดอัดใจ
น้องสาวถูกคนทำให้อับอาย เขาย่อมโกรธเคืองเป็นธรรมดา แต่ตนกลับหนีพ้นการถูกบังคับให้คู่กับแม่ม่ายได้ ก็เท่ากับน้องสาวไม่ได้เสียสละโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน…
“ท่านอาเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับคุณชายกัว เพียงแค่คิดว่าคุณชายกัวลักษณะอย่างพวกชอบรังแกคนอ่อนแอทว่ากลัวคนแกร่ง ดูไม่เลวจริงๆ จึงทำทีเป็นเล่นๆ เท่านั้นเอง” ซ่งอิงฉีกยิ้ม “ข้าเคยบอกกับท่านอาใต้เท้าไว้แต่แรกแล้วเช่นกันว่าชั่วชีวิตนี้ยินดีอยู่เฝ้าสามีผู้ล่วงลับ จะไม่แต่งงานเป็นครั้งที่สองโดยเด็ดขาด”
ฮั่วเจ้ายวนรู้สึกปวดใจเล็กน้อย
พลันรู้สึกเกลียดฮั่วหรงขึ้นมากะทันหันเสียแล้ว…
เอาความสามารถจากไหนมา จึงทำให้หลานสะใภ้สาวน้อยที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนอยู่เฝ้าเขาชั่วชีวิต?