ตอนที่ 543 เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง
ภูตโสมตกตะลึงเล็กน้อย หนิวต้าลี่กลับกล่าวออกมาอย่างใสซื่อ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร”
“มีวิธี” ชิงเหลียนเผยสีหน้าจริงจัง “กิน บำรุง บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน!”
“พี่กบ นี่หมายความว่าอะไรหรือ ท่านพูดให้กระจ่างหน่อย ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ข้าตาย!” ภูตโสมถึงขั้นกรอบตาแดงระเรื่อ
นึกถึงตอนนั้นหลังมันเปลี่ยนร่าง มีญาติเพียงคนเดียวนั่นก็คือท่านปู่ของมัน
แต่ท่านปู่ไม่ใช่ภูตโสม และเนิ่นนานมากกว่าจะบรรลุ แม้รู้อะไรต่อมิอะไรมากมายแต่ก็อายุไม่ยืนยาว ไม่นานนักเขาก็สูญเสียท่านปู่ ส่วนท่านแม่เป็นคนแรกที่เขาได้คลุกคลีหลังลืมตาดูโลก!
“คนใต้หล้าที่กลายเป็นเซียน นอกจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเหล่านั้น ก็คือการอาศัยความสามารถและการสั่งสมคุณงามความดีด้วยตัวเอง หรือไม่ก็เป็นคนที่คลั่งไคล้การบำเพ็ญเพียรตามลัทธิเต๋าและมีจิตใจกว้างขวาง! เพียงแต่สองสิ่งนี้ก็ยากเหลือเกิน กรณีแรกเพียงแค่ภพชาติเดียวไม่เพียงพอด้วยซ้ำ กรณีหลังเราก็ไม่เข้าใจ” ชิงเหลียนสีหน้าหนักใจ
“อาจลองวิธีการของปีศาจอย่างเราๆ โดยให้ท่านอาจารย์กินของดีมากๆ หน่อย พวกของบำรุงในโลกมนุษย์ อย่างเช่น…” ชิงเหลียนมองไปยังภูตโสมแวบหนึ่ง
ภูตโสมกลอกตาไปมา
“เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง!” ภูตโสมแทบจะกระโดดโหยงขึ้นมา
หรือว่าต้องกินมัน?!
ช่าง…ช่างทารุณเกินไปแล้ว!
“เจ้าคิดไปถึงไหน เจ้าบรรลุแล้วจะกินเจ้าทำไมเล่า ท่านอาจารย์ก็คงไม่ยินดีเช่นกัน ความหมายของข้าคือเหล่าตระกูลเดียวกันกับเจ้าอย่างโสมเอย เห็นหลินจือเอย บัวหิมะเอย หากมีของดีๆ เหล่านั้นก็ตุ๋นให้ท่านอาจารย์บ่อยๆ จะได้บำรุงร่างกาย” ปีศาจกบเขียวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ภูตโสมถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นได้ ขอเพียงเป็นพวกเดียวกันที่ไม่เกิดสติปัญญา ข้าก็ยอมรับได้”
“เช่นนั้นก็ดี” ปีศาจกบพยักหน้า
“ยังมีอีกหรือไม่” หนิวต้าลี่กล่าวขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้
ปีศาจกบเขียวครุ่นคิดอีกครั้ง “ตามจริงข้าคิดว่ายังมีอีกวิธี…”
“พี่กบ ท่านพูดมาสิ! อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งเยี่ยงนี้ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!” ภูตโสมใกล้เสียสติเต็มทน!
“ก็คือการอาศัยความสัมพันธ์อย่างไรล่ะ…” ชิงเหลียนค่อนข้างกระดากอายเล็กน้อย “พวกมนุษย์มีอยู่ประโยคหนึ่งมิใช่หรือที่เรียกว่าหนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย หากท่านอาจารย์ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่เป็นเซียนกลับชาติมาเกิด ไม่แน่ว่าตอนที่อีกฝ่ายกลับสู่จุดเดิม ก็จะพานางไปด้วยเช่นกัน…”
“…” ภูตโสมเม้มปาก
พูดก็เท่ากับไม่ได้พูด คนที่เป็นเซียนลงมาสู่โลกมนุษย์หาเจอกันง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า
อีกอย่าง เซียนสวรรค์ขั้นล่างๆ ที่ธรรมดาๆ ก็ไร้ประโยชน์เสียด้วยสิ?
ปีศาจอย่างพวกมันเหล่านี้ล้วนไม่รู้ว่าเซียนสวรรค์รูปลักษณ์เป็นเช่นไร มนุษย์คนหนึ่งอย่างซ่งอิงยิ่งแล้วใหญ่!
“หากเรามองเห็นคนที่เป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด จะมองออกได้หรือไม่” หนิวต้าลี่เอ่ยถาม
“ได้กระมัง…หาก…หากรวบรวมจิตให้มั่นก็จะมองเห็นบุญกุศลบนตัวของอีกฝ่ายได้ หากประเภทที่ปรากฏแสงสีทองระยิบระยับก็น่าจะเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดบนโลกมนุษย์ บุญกุศลยิ่งมากก็ยิ่งไม่ธรรมดา” ปีศาจกบเขียวกล่าว “น่าเสียดายที่ของอย่างบุญกุศลที่ว่านี้มิใช่ใครๆ ก็มี เมื่อก่อนข้ายังมองเห็นบุญกุศลบนตัวท่านอาจารย์เลย ตอนนี้กลับมองไม่เห็น เหมือนเป็นม่านหมอกขาวปกคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่งเสียแล้ว นอกจากนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านซิ่งฮวา ก็มีหัวหน้าหมู่บ้านซ่งที่บุญกุศลมากที่สุด แต่ก็เป็นเพียงระดับอย่างคนดีๆ ห่างไกลจากความเป็นเซียนสวรรค์อีกเยอะเชียวละ!”
“แสงระยิบระยับสีทอง?” หนิวต้าลี่นิ่งอึ้งไป “ข้าเคยเห็น”
“…” ชิงเหลียนตกตะลึง แทบจะฟังไม่ชัดว่าหนิวต้าลี่พูดอะไร
กระทั่งหลังจากเขาตั้งสติขึ้นมาได้ก็เกือบกระโดดโหยงขึ้นมา “เจ้าเคยเห็นหรือ!”
“ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตัวอำเภอกับพี่สาว มองเห็นคนหนึ่งที่ฐานะดีงามเป็นพิเศษ คนผู้นั้นดุดันค่อนข้างน่าเกรงกลัว มิหนำซ้ำยังเป็นท่านอาของพี่สาวด้วย ตอนนั้นข้าเห็นเขาก็รู้สึกค่อนข้างลนลานเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าจะถูกกดจมลงดินโคลนแล้วอย่างไรอย่างนั้น ก็เลยเผอิญมองไปแวบหนึ่ง…”
“ตอนนั้นแสงระยิบระยับนั่นเกือบแยงตาข้าบอด จึงยิ่งไม่กล้าพูดจาอะไร” หนิวต้าลี่กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“…” ชิงเหลียนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าตนฟังผิดไปแล้ว
เป็นไปไม่ได้ เซียนสวรรค์ไม่ใช่ผักกาดขาว จะมีอยู่ได้อย่างไรกันเล่า เขามีชีวิตมาหลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นเลยสักคน…
ตอนที่ 544 สวมรอย
หนิวต้าลี่ไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากความสามารถของปีศาจซึ่งติดตัวมา นางใช้ชีวิตโดยอาศัยพละกำลังอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
หากไม่ใช่ว่าวันนี้ชิงเหลียนเอ่ยขึ้นมา นางถึงขั้นไม่รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับแสงทองบนตัวฮั่วเจ้ายวนเลยสักนิด
มีอะไรให้น่าประหลาดใจกันเล่า คนผู้หนึ่งที่น่ากลัวขนาดนั้น…
“ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ มีคนที่ปรากฏแสงทองทั้งตัวจริงๆ หรือ” ชิงเหลียนเคร่งขรึมขึ้นมาก
“จริงๆ! เขาไม่เพียงแค่มีแสงระยิบระยับ แต่ยังน่ากลัวมากด้วย เมื่อก่อนข้าก็เคยเห็นคนของทางการขุนนางและถึงขั้นยังเคยเห็นเหล่านักบวชมาบ้างอีกด้วย แต่ไม่เคยรู้สึกแย่เช่นตอนที่มองเห็นเขามาก่อน ก็เหมือนว่า…มีคนถือค้อนใหญ่มาทุบลงบนศีรษะข้า ไม่กล้าทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” หนิวต้าลี่บอกกล่าวอย่างจริงจัง
เพียงแต่คนผู้นั้นคืออาของพี่สาวซึ่งถือเป็นญาติผู้ใหญ่ นางจึงไม่กล้าพูดมาก
“ยอดเยี่ยมเลย หากเป็นจริงเหมือนที่เจ้าว่า…เช่นนั้นคนผู้นี้จะต้องมีภูมิหลังอย่างเซียนสวรรค์แน่!” ปีศาจกบเขียวตื่นเต้นอย่างยิ่ง “ณ ตอนนี้ข้ายังต้องคอยจับตาดูบ้านฮั่ว ไม่อาจไปไหนต่อไหนได้ ไว้ผ่านช่วงนี้ก่อน ข้าจะไปตัวอำเภอเพื่อดูให้เห็นกับตาตัวเอง หาก…หากเป็นจริง ก็จะบอกกล่าวท่านอาจารย์ให้ใกล้ชิดคนผู้นั้นมากๆ หน่อย จะได้มีพลังเซียนติดตัวมาบ้างไม่มากก็น้อยกระมัง”
โดยสรุป มีคนเช่นนี้เพิ่มมาอีกคน ซ่งอิงก็จะอายุยืนยาวขึ้นมาก และอาจเป็นไปได้ว่าจะไม่ตาย
เมื่อปีศาจน้อยทั้งสามตนพูดคุยพึมพำกันเสร็จสิ้น ชิงเหลียนก็ไปเฝ้าหน้าประตูบ้านฮั่ว
เดิมทีเขากบเขียวซึ่งตัวใหญ่ขนาดนี้ก็หลบซ่อนตัวยาก แต่หญ้าป่ามุมหนึ่งของลานบ้านโตจนแทบจะเท่าความสูงคนแล้ว จึงบดบังเขาได้มิดชิดพอดี!
ส่วนคนครอบครัวฮั่วที่มาใหม่ล้วนขี้เกียจเป็นพิเศษทั้งนั้น กว่าจะรับประทานอาหารก็เกือบช่วงเที่ยงแล้ว อืดอาดยืดยาด กินข้าวเสร็จก็ไม่รู้จักทำงาน จึงยิ่งทำให้พวกมันปลอดภัย
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขามัวชักช้าลีลาอยู่ในบ้านแล้วยังส่งเสียงบ่นอีกด้วย
“ไอ้เด็กกำพร้าผู้นั้นช่างน่าโมโหจริงๆ ไข่ไก่ของดีๆ นึกไม่ถึงว่าจะทำแตกเสียได้!” เหมียวซื่อมองสิ่งที่ทั้งดำทั้งเหลวอยู่บนพื้นนั่น รู้สึกเพียงเจ็บปวดรวดร้าว
“ท่านแม่ ก็แค่ไข่ไก่เท่านั้นเองมิใช่หรือ ใช่ปัญหาใหญ่โตเสียที่ไหนกันล่ะ เรายังต้องไปหาพี่สะใภ้ใหญ่จึงจะถูก ข้าหิวจะแย่แล้วจริงๆ ข้าวต้มธัญพืชตอนเช้านั่นไม่พอยาไส้เลยด้วยซ้ำ” ฮั่วเสี่ยวเฉียวบ่นอุบอิบและเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เจ้ายังมีหน้าพูดอีก! ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าสองพี่น้องไม่รู้ความ ทำให้ไอ้เด็กนั่นขุ่นเคืองแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราจะถูกหญิงแก่เหล่านั้นชี้หน้าด่าทอหรือ” เหมียวซื่อสบถฮึ รู้สึกหนักอกหนักใจ
เหมียวซื่อคิดต่างกับฮั่วเสี่ยวเฉียว
นางกลัวว่าลูกสาวและลูกชายคนเล็กในครอบครัวไม่รู้ความแล้วหลุดปากอะไรไป ดังนั้นไม่ได้บอกกล่าวความจริงแก่พวกเขาเลยสักนิด
จริงอยู่ที่ว่าก่อนหน้านี้นางมีสามีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นพี่ชายของสามีปัจจุบันจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็แซ่ฮั่ว เพียงแต่…
ไม่ได้นามว่าฮั่วจางตง นามแท้จริงคือฮั่วต้าโถว
นางกับฮั่วต้าโถวไม่ได้มีลูกด้วยกันแต่อย่างใด เพิ่งแต่งเข้าไปไม่ทันไรคนผู้นั้นก็เสียชีวิต ครอบครัวฮั่วไม่อยากขาดทุนก็เลยให้นางแต่งกับน้องชายสามีเสียเลย จากนั้นก็ให้กำเนิดสามพี่น้องนี้
เรื่องราวนี้โดยปกติไม่มีคนเอ่ยถึงเช่นกัน
เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเกิด ผู้คนทั่วสารทิศต่างก็ต้องเลี่ยงคำต้องห้ามเป็นพิเศษกันทั้งนั้น ต่อมาก็หนีความอดยากมาโดยตลอด ไม่มีญาติและสหายที่รู้จักข้างกายเลยสักคน อดีตที่ผ่านมาเหล่านี้นานวันจึงยิ่งเลือนหายไป
หากไม่ใช่เพราะถูกคนมาหา…
เหมียวซื่อใจลอยคิดไปเรื่อยเปื่อย
ไม่โทษที่นางขาดคุณธรรม ความเป็นจริงก็เพราะไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้แล้วจริงๆ
ครอบครัวนางยากจน ตอนที่อยู่บ้านเกิดก็ถูกผู้คนรังแก หลังหนีความอดยากมาตลอดเส้นทางก็ผ่านประสบการณ์มากมายเหลือเกิน บุตรสาว…ก็ไม่ใช่สาวรุ่นดอกเบญจมาศ มิหนำซ้ำยังเคยแท้งลูกมาแล้ว หน้าตาก็ไม่ได้งดงามสักเท่าไร ภายภาคหน้าไม่แน่ว่าจะเป็นการยากที่จะออกเรือน
บุตรชายคนโต…ได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนที่แย่งธัญพืชกับผู้อื่น
เบื้องบนยังมีหญิงชราที่กึ่งเป็นกึ่งตายอยู่อีกคน เบื้องล่างมีเด็กวัยกำลังโตที่ต้องเลี้ยงดู นางจะทำอย่างไรได้
ถึงอย่างไรซ่งอิงผู้นั้นก็ร่ำรวยขนาดนั้น อีกทั้งไม่มีญาติฝั่งครอบครัวแม่สามี นางสวมรอยสักหน่อยจะเป็นไรไป